การที่มุสลิมคนใดได้ทำการละหมาดฟัรฎูในเวลานั้นแล้ว แต่ได้ละหมาดฟัรฎูนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง ถือว่าการละหมาดฟัรฎูในครั้งสองนั้นเป็นสุนัต ไม่ใช่วาญิบสำหรับเขา เช่น เขาละหมาดศุบฮฺมาจากบ้านแล้ว เมื่อเขาไปมัสยิด เห็นผู้คนกำลังละหมาดศุบฮฺเป็นญะมาอะฮฺอยู่ ก็ให้เขาละหมาดศุบฮฺนั้นร่วมกับพวกเขา หรือเมื่อเขาละหมาดศุบฮฺที่มัสยิดเรียบร้อยแล้ว มีคนหนึ่งเข้ามาละหมาดศุบฮฺ เมื่อเขาละหมาดเป็นอิมาม หรือมะมูมกับคนนั้นอีก หรือเมื่อเขากำลังเดินทาง เขาได้ละหมาดรวมย่อละหมาดดุรีย์กับอัศรีย์เรียบร้อยแล้ว เมื่อกลับถึงบ้าน ยังอยู่ในเวลาอัศรีย์ เขาก็ละหมาดอัศรีย์อีก ถือว่าการละหมาดฟัรฎูครั้งที่2 ที่กล่าวมานั้น ถือเป็นสุนัตสำหรับเขา
ท่านยะซีด บุตรของอัลอัสวัด ร่อฎียัลลอฮุอันฮ์ เล่าว่า
“ฉันอยู่กับท่านรสุลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุออะลัยฮิ วะซัลลัม ในการทำหัจญ์ของท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุออะลัยฮิ วะซัลลัม ฉันละหมาดศุบฮฺพร้อมกับท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุออะลัยฮิ วะซัลลัมที่มัสยิดอัลค็อยฟฺ ครั้นเมื่อละหมาดเสร็จ ท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุออะลัยฮิ วะซัลลัม ก็หันไปเห็นชาย 2 คน ซึ่งเขาไม่ได้ละหมาดร่วมกับท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุออะลัยฮิ วะซัลลัม ท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุออะลัยฮิ วะซัลลัม จึงกล่าวว่า ช่วยเรียก 2 คนนั้นมาหาฉันหน่อยซิ ชายทั้งสองก็มาหาท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุออะลัยฮิ วะซัลลัม ในสภาพที่ตัวสั่น (เนื่องจากความกลัว) ท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุออะลัยฮิ วะซัลลัม ถามว่า มีสิ่งใดที่ยับยั้งท่านทั้งสองไม่ให้ละหมาดร่วมกับพวกเรา ชายทั้งสองตอบว่า ปรากฏว่าเราทั้งสองละหมาด(ศุบฮฺ) ที่บ้านของเรามาแล้ว ท่านรสูล ฮฺ ศ็อลลัลลอฮุออะลัยฮิ วะซัลลัม จึงกล่าวว่า ทีหลังท่านทั้งสองอย่าทำเช่นนี้ แต่เมื่อท่านทั้งสองละหมาดที่บ้านของท่านทั้งสองแล้ว จากนั้นทั้งสองมาที่มัสยิด(ซึ่งกำลังละหมาด)ญะมาอะฮฺ เช่นนั้นท่านทั้งสองจงละหมาดร่วมกับพวกเรา แท้จริงการละหมาดของท่านทั้งสอง(ในครั้งที่สอง) เป็นละหมาด(ที่ได้รับผลบุญเท่ากับ)สุนนัต(ไม่ใช่ฟัรฎูสำหรับเขา)”(บันทึกหะดิษโดยอัตติรฺมีซีย์ หะดิษเลขที่203 นะสาอีย์ หะดิษเลขที่ 8491 อะหฺมัด หะดิษเลขที่ 16829 และอัดดริมีย์ หะดิษเลขที่ 1332)
والله أعلم بالصواب
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น