อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557

ทัศนะของมัซฮับฮานาฟีย์ที่ไม่ยกมือขณะกล่าวตักบีรฺยกเว้นขณะตักบีร่อตุลเอียะฮฺรอม


ทัศนะส่วนใหญ่นอกจากยกมือขณะตักบีร่อตุลเอียะฮฺรอม มีสุนนะฮฺให้ยกมือทั้งสองขณะที่จะรุกัวะอฺ ขณะเงยศีรษะขึ้นจากรุกัวะอฺ และขณะยืนขึ้นเข้าร็อกอะฮฺที่ 3  ซึ่งมีหลักฐานการปฏิบัติของท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) อย่างชัดเจน

รายงานจากท่านอิบนุ อุมัร (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุมา) เล่าว่า
“ท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เมื่อท่านได้ยืนขึ้นละหมาด ท่านได้ยกมือทั้งสองของท่านขึ้นในระดับไหล่แล้วกล่าวตักบีรฺ เมื่อท่านก้มรุกัวะอฺท่านก็ยกมือทั้งสองขึ้นตักบีรฺเช่นกัน เมื่อเงยศีรษะขึ้นจากรุกัวะอฺ ท่านก็ยกมือของท่านขึ้นอีก และกล่าวว่า “สะมิอัลลอฮุลิมันฮะมิดะฮฺ ร็อบบะนา วะละกัลฮัมดุ” (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบุคอรีย์ มุสลิม และอัลบัยหะกี)

“ท่านจะไม่กระทำดังกล่าวขณะที่จะสุญูด และขณะที่จะเงยศีรษะของท่านขึ้นจากการสุญูด” (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบุคอรีย์)

อิบนุลมะดายินี ได้กล่าวว่า
“สำหรับฉันถือว่าหะดิษนี้เป็นหลักฐานแก่ทุกคน เพราะฉะนั้นทุกคนที่ได้ทราบหะดิษนี้แล้ว จำเป็นต้องปฏิบัติตาม เพราะว่าสายรายงานของหะดิษนี้ไม่มีข้อบกพร่องแต่ประการใด และท่านอิมามอัลบุคอรีย์ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เล่มหนึ่งโดยเอกเทศ นอกจากนั้นแล้วอัลหะซัน และมุมัยดฺ อิบนุหิลาล ยังได้เล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ;บรรดาเศาะหาบะฮฺได้กระทำดังกล่าว หมายความถึง การยกมือใน 3 แห่งนั้น โดยที่อัลหะซันมิได้กล่าวยกเว้นเศาะหาบะฮฺคนใดเลย”

สำหรับทัศนะของฮะนะฟีย์ ที่เห็นว่า การยกมือนั้นมิได้กำหนดเป็นบทบัญญัติ นอกจากขณะที่จะตักบีร่อตุลเอียะฮฺรอมเท่านั้น โดยอ้างหลักฐานจากหะดิษของอิบิมัสอู๊ด (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ)

โดยท่านเล่าว่า
“ฉันจะละหมาดแบบการละหมาดของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ให้พวกท่านดุแล้วเขาก็ละหมาดโดยไม่ยกมือนอกจากเพียงครั้งเดียว” 

ทัศนะนี้มีนักวิชาการชั้นแนวหน้าได้วิจารณ์ว่าเป็นหะดิษที่อ่อนหลักฐาน ถือเป็นทัศนะที่ไม่แข็งแรง

อิบนุฮิบบานได้กล่าว่า
“หะดิษนี้ถือว่าหะดิษที่ดีที่สุด ชาวเมืองกูฟะฮฺได้เล่าถึงการที่ไม่ยกมือทั้งสองขณะที่จะรุกัวะอฺและเละเงยจากรุกัวะอฺ ซึ่งความจริงแล้วถือว่าเป็นหะดิษที่อ่อนที่สุด เพรามีข้อบกพร่องหลายประการที่ทำให้หะดิษดังกล่าวอ่อนหลักฐาน หากสมมุติว่าหะดิษนั้นเศาะเฮียะฮฺตามที่อัตติรมีซีย์ได้ชีแจงไว้ แต่ก็ไม่อาจะหักล้างอีกหลายๆหะดิษ ที่มีเศาะหาบะฮฺเป็นจำนวนมากได้รายงานเอาไว้ได้”

เจ้าของหนังสืออัตตันเกียฮฺได้บอกว่า
“อาจเป็นไปได้ที่อิบนิมัสอู๊ดลืมยกมือ เหมือนอย่างที่เคยลืมเรื่องอื่นๆมาแล้ว”



والله أعلم بالصواب



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น