อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557

บททดสอบของนบียูนุส


     นบียูนุส (โยนาห์) เป็นที่จักในฉายาว่า “ซุนนูน”(ราชาแห่งปลา) อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวเกี่ยวกับผู้คนของท่านว่า :

فَلَوْلَا كَانَتْ قَرْيَةٌ آمَنَتْ فَنَفَعَهَا إِيمَانُهَا إِلَّا قَوْمَ يُونُسَ لَمَّا آمَنُوا كَشَفْنَا عَنْهُمْ عَذَابَ الْخِزْيِ فِي الْحَيَاةِ الدُّنْيَا وَمَتَّعْنَاهُمْ إِلَىٰ حِينٍ ( 98 )

“มีตัวอย่างของเมือง (ชุมชน) ใดบ้างไหมที่เชื่อ (หลังจากได้เห็นการลงโทษ) และความศรัทธาของชุมชน (ในขณะนั้น) ได้ช่วยเหลือชุมชนนั้นไว้ (จากการลงโทษ) ? (คำตอบคือไม่มี) ยกเว้นแต่หมูชนของยูนุส เมื่อพวกเขาศรัทธา เราจึงได้ปลดเปลื้องการลงโทษอันน่าอับอายออกไปจากพวกเขาในชีวิตโลกนี้ และได้ให้พวกเขาใช้ปัจจัยทั้งหลายแห่งชีวิตชั่วเวลาหนึ่ง” (กุรอาน 10:98)

     ครั้งหนึ่ง ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนิเนเวห์เป็นผู้บูชาเทวรูปที่ใช้ชีวิตโดยไม่มีความละอาย ดังนั้น นบียูนุสจึงได้ถูกลงมาสอนผู้คนเหล่านั้นให้หันมาเคารพสักการะอัลลอฮฺ แต่ผู้คนไม่ชอบให้เขาไปก้าวก่ายการเคารพสักการะเทวรูปของตน ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงโต้แย้งว่า “เราและบรรพบุรุษเคารพกราบไห้วพระเจ้าเหล่านี้มาเป็นเวลานานแล้วและไม่เห็นมีโทษอะไรเกิดขึ้นกับเรา”

     ถึงแม้นบียูนุสพยายามจะชี้ให้เห็นว่าการเคารพกราบไห้วเทวรูปต่างๆ เป็นเรื่องเขลางมงายและกฎหมายของอัลลอฮฺเป็นสิ่งที่ดีงาม แต่ผู้คนก็ไม่สนใจท่าน ลงโทษของอัลลอฮฺก็จะมายังพวกเขา แต่แทนที่จะกลัวอัลลอฮฺ ผู้คนได้บอกนบียูนุสว่าพวกเขาไม่กลัวคำข่มขู่ของท่าน พวกเขาบอกท่านว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันก็จะปล่อยให้พวกท่านได้รับความทุกข์ยากเดือดร้อนกันเอง” หลังจากนั้น ท่าก็ออกจากเมืองนิเนเวห์ไปด้วยความกลัวอัลลอฮฺจะทรงกริ้วในไม่ช้า

     “และจงนึกถึงซุนนูน เมื่อเขาหนีไปด้วยความโกรธ เพราะเขาคิดว่าเราจะไม่เอาความผิดเขา แต่หลังจากนั้น เขาก็วิงวอนต่อเราจากท่ามกลางความมืด โดยกล่าว ‘ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ แท้จริง ฉันอยู่ในหมู่ผู้ทำผิด” (กุรอาน 21:87)

     แต่ยังไม่ทันที่นบียูนุสออกไปจากเมือง ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสีที่เหมือนไฟกำลังไหม้ ผู้คนต่างพากันตกใจกลัวเมื่อเห็นท้องฟ้าเปลี่ยนสีเช่นนั้นและนึกถึงการถูกทำลายของชาวอ๊าด ชาวษะมูดและผู้คนของนูฮฺ หลายคนถามตัวเองว่าจะประสบชะตากรรมเดียวกันหรือไม่ ? แต่แล้วความศรัทธาก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในใจของพวกเขาอย่างช้าๆ หลังจากนั้น ผู้คนทั้งหมดก็ไปรวมตัวกันอยู่บนภูเขาและวิงวอนขอความเมตตาและการอภัยโทษต่ออัลลอฮฺ บนภูเขาที่มีเสียงร้องไห้ของพวกเขาก้องกังวานไปทั่ว นั่นเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสำนึกผิดอย่างแท้จริงใจ

     ดังนั้น อัลลอฮฺจึงได้ทรงคลายความกริ้วของพระองค์และประทานความจำเริญแก่พวกเขาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพายุร้ายผ่านไป พวกเขาก็วิงวอนขอให้นบียูนุสกลับมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อจะได้มาชี้นำพวกเขา

     ในเวลานั้น นบียูนุสได้ขึ้นเรือเล็กๆ ลำหนึ่งไปแล้วพร้อมกับผู้โดยสารอีกจำนวนหนึ่ง เรือลำนั้นแล่นออกสู่ท้องทะเลอันสงบตลอดทั้งวัน แต่พอกลางคืน ทะเลก็เปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน พายุร้ายได้หันกระหน่ำราวกับว่ามันกำลังจะทำลายเรือให้แตกออกเป็นชิ้นๆ คลื่นทะเลที่สูงดังภูเขาและลึกเหมือนหุบเขาได้โยนเรือลำน้อยไปมาอยู่กลางทะเลที่โหดร้ายดูน่าร้าย

     ขณะเดียวกัน ด้านหลังของเรือก็มีปลาวาฬขนาดมหึมาตัวหนึ่งกำลังพ่นน้ำและอ้าปากอยู่ อัลลอฮฺได้ทรงบัญชาให้ปลาวาฬนั้นโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำและตามเรือลำนั้นไป ปลาวาฬตัวนั้นจึงโผล่มาเหนือน้ำตามบัญชาและว่ายน้ำตามเรือไปด้วยความเชื่อฟัง

     ความโกลาหลบนเรือยังคงดำเนินอยู่ต่อไปและผู้คุมเรือได้ขอให้ผู้ที่อยู่บนเรือช่วยกันทำให้เบาลง ดังนั้น พวกเขาได้โยนสิ่งของที่นำมาทั้งหมดลงทะเลไป แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่พอ พวกเขาจำเป็นต้องลดน้ำหนักของเรือลงอีกเพื่อความปลอดภัยของทุกคน ดังนั้น พวกเขาจึงได้ตัดสินใจกันเองว่าจำเป็นให้ใครคนหนึ่งออกจากเรือไปเพื่อที่เรือจะได้เบาลง

     กัปตันเรือได้ออกคำสั่งว่า : “เราจะเสี่ยงทายโดยใช้ชื่อของคนที่อยู่บนเรือ ถ้าเสี่ยงทายได้ชื่อของใคร คนนั้นจะต้องถูกโยนลงทะเลไป” นบียูนุสรู้ว่านี่เป็นประเพณีของคนเดินเรือเมื่อต้องเผชิญภาวะวิกฤตกลางท้องทะเล มันเป็นประเพณีของลัทธิบูชาเทวรูป แต่มันถูกนำมาใช้ในเวลานั้น ด้วยเหตุนี้ วิกฤตของนบียูนุสจึงเริ่มขึ้น

     ท่านเป็นนบี แต่ต้องตกอยู่ภายใต้กฎของลัทธิเชื่อถือโชคลางของผู้บูชาเทวรูปที่ว่าทะเลและลมมีเทพเจ้าที่สร้างความปั่นป่วน กัปตันเรือต้องเอาใจเทพเจ้าเหล่านี้ นบียูนุสไม่อยากที่จะเข้าไปร่วมในการเสี่ยงทายนี้ แต่ชื่อของท่านก็ได้ถูกรวมไว้กับชื่อของผู้โดยสารท่านอื่นๆ แล้ว แลเมื่อมีการเสี่ยงทายก็ได้ปรากฏว่าได้ชื่อของ “ยูนุส” ขึ้นมา

     เนื่องจากผู้โดยสารรู้ว่าท่านเป็นผู้มีเกียรติสูงสุดในหมู่พวกเขา ดังนั้น พวกเขาจึงไม่อยากที่จะโยนท่านลงไปในทะเลที่กำลังโกรธกริ้ว ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะทำการเสี่ยงทายอีกครั้งหนึ่ง

นบียู นุสรู้ดีว่า นี่คือพระประสงค์ของอัลลอฮฺ  เพราะท่านได้ทิ้งภารกิจของท่าน มา โดยไม่ได้รับความเห็นชอบ จากอัลลอฮฺ ดังนั้น การเสี่ยงทายจึงจบลง และทุกคนเห็นว่า นบียูนุสควรจะกระโดด ลงทะเลไปเอง นบียูนุสได้ปีนขึ้นไปบนกราบเรือ และมองไปที่ทะเลในยามกลางคืน ที่มืดมิด และไม่มีดวงจันทร์ ดวงดาวก็ถูกบดบังด้วยหมอกหนา แต่ก่อนที่จะกระโดดลงไปในทะเล นบียูนุสได้กล่าวพระนามของอัลลอฮฺ หลังจากนั้น ท่านก็กระโดดลงไปในทะเล ที่กำลังบ้าคลั่ง และหายไปภายใต้คลื่นใหญ่

     ปลาวาฬเห็นนบียูนุส ลอยอยู่บนคลื่นต่อหน้ามัน ดังนั้น มันจึงได้กลืนนบียูนุสเข้าไป ในท้องของมัน และปิดปากที่มีฟัน เหมือนงาช้าง ขังท่านไว้ราวอยู่ในคุก หลังจากนั้น ปลาวาฬก็ดำสู่ก้นทะเล ที่เต็มไปด้วยความมืด

     นบียูนุสถูกความมืดครอบคลุมไว้ ถึงสามชั้น ความมืดชั้นแรก คือท้องของปลาวาฬ ความมืดชั้นที่สอง คือความมืดของท้องทะเล ความมืดชั้นที่สาม คือความมืดของกลางคืน นบียูนุสคิดว่า ตัวเองตายแล้ว แต่ความรู้สึกของท่าน ยังคงตื่นอยู่ เมื่อท่านพบว่า ท่านยังสามารถเคลื่อนไหวได้ ท่านรู้ว่าท่านยังมีชีวิต และถูกกักขังอยู่ท่ามกลางความมืด สามชั้น หัวใจของ ท่านเกิดความรู้สึก โดยการระลึกถึงอัลลอฮฺ ลิ้นของท่านเริ่มเคลื่อนไหวขึ้นมา หลังจากที่ได้กล่าวว่า : “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ แท้จริง ฉันอยู่ในหมู่ผู้ทำความผิด” (กุรอาน 21:87)

     นบียูนุสคงวิงวอนต่ออัลลอฮฺ ต่อไป โดยไม่หยุด ปลาต่างๆ รวมทั้งปลาวาฬ พืชใต้ทะเล และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ในทะเล ต่างได้ยินเสียงวิงวอน และคำสรรเสริญอัลลอฮฺ ของนบียูนุส ออกมาจากท้องปลาวาฬ ดังนั้น สิ่งมีชีวิตทั้งหมด ในท้องทะเล รอบปลาวาฬ จึงรวมกันสดุดีอัลลอฮฺ เป็นการตอบรับ ในลักษณะ และภาษา ของมันเอง

     ปลาวาฬตัวนั้น ก็มีส่วนร่วมในการสดุดีอัลลอฮฺ และรู้ตัวว่า มันได้กลืนนบีคนหนึ่งเข้าไป ดังนั้น มันจึงรู้สึกกลัวขึ้นมา อย่างไรก็ตาม มันได้กล่าวกับตัวเองว่า “ทำไมเราจะต้องกลัว ? อัลลอฮฺได้สั่งฉัน ให้กลืนเขาลงไป”

     เมื่ออัลอลอฮฺได้เห็นการสำนึกผิด อย่างจริงใจของนบียูนุส และได้ยินการวิงวอนของท่าน ในท้องปลาวาฬ พระองค์ก็ได้ทรงบัญชา ให้ปลาวาฬ โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ และคายนบียูนุสออกมาไว้ บนเกาะแห่งหนึ่ง ปลาวาฬเชื่อฟังคำบัญชาของพระองค์ และว่ายไปยังด้านที่ไกลที่สุด ของเกาะ หลังจากนั้น อัลลอฮฺก็ทรงบัญชามัน ให้ขึ้นมายังแผ่นดิน ตรงที่มีแสงแดดพอ เป็นที่สดชื่น และ ดินที่ชุ่มฉ่ำ

     ปลาวาฬได้คายนบียูนุสออกมาไว้ บนเกาะที่อยู่ห่างไกล ร่างกายของท่านร้อนผ่าว ไปทั่ว เพราะกรดในกระเพาะปลาวาฬ และเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น แสงแดดก็แผดเผาร่าง ที่ร้อนผ่าวของท่าน จนท่านแทบจะหวีดร้องออกมา ด้วยความเจ็บปวด อย่างไรก็ตาม ท่านก็อดทนต่อความเจ็บปวด และยังคงวิงวอนอัลลอฮฺต่อไป

     หลังจากนั้น อัลลอฮฺได้ทรงทำให้ไม้เลื้อย เจริญเติบโต ขึ้นมาปกคลุมร่างของท่าน อย่างรวดเร็ว และทำให้นบียูนุส มีสุขภาพดีขึ้น นอกจากนี้แล้ว พระองค์ยังได้ทรงให้อภัยท่านด้วย อัลลอฮฺได้บอกนบียูนุสว่า ถ้าหากท่านไม่วิงวอน ต่อพระองค์แล้ว ท่านจะอยู่ในท้องปลาวาฬ ตลอดไป จนกระทั่งวันแห่งการตัดสิน

อัลลอฮฺได้ทรงกล่าว ถึงเรื่องนี้ว่า:

وَإِنَّ يُونُسَ لَمِنَ الْمُرْسَلِينَ ( 139 ) อัศ-ศอฟฟาต - Ayaa 139

และแท้จริง ยูนุสนั้นอยู่ในหมู่ผู้ที่ถูกส่งมาเป็นร่อซูล

إِذْ أَبَقَ إِلَى الْفُلْكِ الْمَشْحُونِ ( 140 ) อัศ-ศอฟฟาต - Ayaa 140

จงรำลึก ขณะที่เขาได้หนีไปยังเรือที่บรรทุกผู้คนเต็มเพียบ

فَسَاهَمَ فَكَانَ مِنَ الْمُدْحَضِينَ ( 141 ) อัศ-ศอฟฟาต - Ayaa 141

ดังนั้น ยูนุสได้เข้าร่วมจับฉลาก แล้วเขาจึงอยู่ในหมู่ผู้ถูกพิชิต (แพ้ในการจับฉลาก)

فَالْتَقَمَهُ الْحُوتُ وَهُوَ مُلِيمٌ ( 142 ) อัศ-ศอฟฟาต - Ayaa 142

แล้วปลาตัวใหญ่ได้กลืนเขา และเขาสมควรที่จะถูกตำหนิ

فَلَوْلَا أَنَّهُ كَانَ مِنَ الْمُسَبِّحِينَ ( 143 ) อัศ-ศอฟฟาต - Ayaa 143

หากว่าเขามิได้เป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้แซ่ซ้องสดุดีแล้ว

لَلَبِثَ فِي بَطْنِهِ إِلَىٰ يَوْمِ يُبْعَثُونَ ( 144 ) อัศ-ศอฟฟาต - Ayaa 144

แน่นอน เขาจะอยู่ในท้องปลาจวบจนกระทั่งวันฟื้นคืนชีพ

يمٌفَنَبَذْنَاهُ بِالْعَرَاءِ وَهُوَ سَقِ ( 145 ) อัศ-ศอฟฟาต - Ayaa 145

แล้วเราได้เหวี่ยงเขาขึ้นบนที่โล่งริมฝั่ง ในสภาพที่ป่วย

وَأَنبَتْنَا عَلَيْهِ شَجَرَةً مِّن يَقْطِينٍ ( 146 ) อัศ-ศอฟฟาต - Ayaa 146

และเราได้ให้มีต้นไม้ (พันธ์ไม้เลื้อย) น้ำเต้างอกเงยขึ้น ปกคลุมตัวเขา

وَأَرْسَلْنَاهُ إِلَىٰ مِائَةِ أَلْفٍ أَوْ يَزِيدُونَ ( 147 ) อัศ-ศอฟฟาต - Ayaa 147

และเราได้ส่งเขาไปยัง (หมู่บ้านของเขา) มีจำนวนหนึ่งแสนคนหรือเกินกว่านั้น

فَآمَنُوا فَمَتَّعْنَاهُمْ إِلَىٰ حِينٍ ( 148 ) อัศ-ศอฟฟาต - Ayaa 148

แล้วพวกเขาก็ศรัทธา ดังนั้น เราจึงปล่อยให้พวกเขามีความสุขสำราญชั่วระยะเวลาหนึ่ง
   (กรุอาน 37:139-148)

     ไม่นานนัก นบียูนุสก็เริ่มแข็งแรง และพบทางกลับนิเนเวห์ อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอน ของท่าน เมื่อไปถึง นบียูนุสดีใจ ที่เห็นการเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นที่นั้น ผู้คนทั่งหมดได้มาต้อนรับท่าน และได้บอกให้ท่านได้ทราบว่า พวกเขาได้หันกลับมา ศรัทธาในอัลลอฮฺกันหมดแล้ว หลังจากนั้น พวกเขาก็นมาซร่วมกัน เพื่อขอบคุณในความเมตตาของพระเจ้า

     อิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า “เราไม่ควรกล่าวว่า ฉันดีกว่ายูนุส อิบนุมัตตา” (บึนทึกโดยบุคอรี)



.........................................
http://www.thaimuslim.com/

เมืองโมซุล(Mosul)(หรือ เมืองนีนะเวห์สมัยนบียูนุส )ในอิรัคสมัยก่อนเกิดสงครามการยึดครองของอเมริกา





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น