อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557

มุสลิมะฮ์ ควรภาคภูมิใจ



โดย... อ.มุคตาร ชนะมิตร

ในยุคญาฮิลียะฮ์นั้นนับว่าเป็นยุคมืด ผู้คนเชื่อกันว่าสตรีเป็นที่มาของความชั่วร้ายเป็นที่มาของความสกปรกโสมม

ใครก็ตามที่คลอดลูกเป็นผู้หญิง จะมีความรู้สึกว่าลูกหญิงจะมาสร้างความเสื่อมเสียให้กับครอบครัว

ในสมัยนั้นผู้หญิงจึงเป็นเหมือนสินค้า ที่ถูกแลกเปลี่ยนด้วยเงินตราที่ใช้เปลี่ยนมือกันไป ดังนั้นจึงมีหลายครอบครัว เมื่อคลอดได้ลูกผู้หญิงจะนำลูกไปฝังดินทั้งเป็นถ้าโตขึ้นมาจะถูกกีดกันสิทธิที่จะได้รับมรดก และเมื่อเธอมีประจำเดือน เธอจะถูกขับไล่ออกนอกบ้าน โดยไม่ให้เข้ามาร่วมรับประทานอาหารกับผู้คนในครอบครัว

เมื่อเธอได้ถูกแต่งงานไปแล้วจะถูกหย่าร้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่มีกำหนดจำนวน เมื่อสามีไม่พอใจ จะหย่าร้างทันที เมื่อมีความต้องการเมื่อใดจะมาคืนดีใหม่ทำอย่างนี้เหมือนถูกกักขังไว้บำเรอความสุข

ผู้หญิงจะได้รับความทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องสิทธิใดๆ

สภาพการรังเกียจลูกผู้หญิงได้แพร่ไปในหลายประเทศ เช่น ประเทศจีน อินเดียกรีกและอื่นๆ มีบางประเทศบรรดาสตรีจำนวนไม่น้อยต้องถูกสังเวยชีวิตด้วยความเชื่อถือของคนโบราณ เช่น ถูกโยนลงในแม่น้ำเพื่อเป็นเครื่องเซ่นบวงสรวงกับแม่น้ำคงคาหรือแม่น้ำไนล์

เมื่ออิสลามได้อุบัติขึ้นท่านนะบีมุฮัมมัด ได้นำคำสอนจากพระผู้เป็นเจ้ามาเผยแผ่ทำให้ผู้คนหลุดพ้นจากความมืดไปสู่แสงสว่าง หลุดพ้นจากความโง่เขลา หลุดพ้นจากความอยุติธรรมที่สังคม

ได้สร้างขึ้นอิสลามนำไปสู่ความยุติธรรม อิสลามห้ามการกดขี่ข่มเหงทุกชนิด โดยเฉพาะการข่มเหงกีดกันสิทธิเสรีภาพของสตรี และอิสลามห้ามฝังลูกทั้งเป็น

ท่านนะบี สอนว่า“แท้จริงอัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงห้ามท่านทั้งหลาย ซึ่งการทรยศต่อบิดามารดาห้ามการตระหนี่และงกเอาทรัพย์ผู้อื่นห้ามการฝังลูกหญิงทั้งเป็นอัลลอฮฺไม่ชอบในการที่พวกเจ้ากล่าวว่า คนนั้นว่าอย่างนี้ คนนั้นว่าอย่างนี้และการซักถามมากๆ (หมายถึงมีปัญหามาก) และเกลียดการผลาญทรัพย์”

- อิสลามได้ส่งเสริมให้ผู้เป็นพ่อ เมื่อคลอดลูกออกมา ให้เชือดแกะ แพะ เมื่อครอบครัวนั้นได้ลูกหญิงเพื่อแสดงออกซึ่งความดีใจและเป็นการขอบคุณต่ออัลลอฮฺ ที่ให้ลูกผู้หญิง

-อิสลามได้กำหนดอัตราส่วนสำหรับ
สตรีทุกคน ในเรื่องสิทธิมรดก ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะแม่ พี่สาว น้องสาว บุตรสาวและผู้เป็นภรรยาสิ่งเหล่านี้ในยุคญาฮิลียะฮฺสตรีจะไม่มีสิทธิในการได้รับส่วนแบ่งมรดกแต่อย่างใด

- อิสลามมีคำสอนให้ลูกทำดีต่อพ่อแม่ และนับว่า "แม่" เป็นคนแรกของลูกที่ต้องคอยเอาใจใส่ดูแล

รายงานโดย อบูฮุร็อยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุว่า ท่านรอซูล กล่าวว่ามีชายคนหนึ่งมาหาท่านร่อซูล แล้วถามว่า “โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺใครที่สมควรยิ่งที่ข้าพเจ้าจะเอาเป็นเพื่อนที่ดี” ท่านรอซูลตอบว่า “แม่ของท่าน” แล้วชายผู้นั้นก็ถามอีกว่า“มีใครอีกครับ?” ท่านรอซูลตอบว่า “แม่ของท่าน” ชายผู้นั้นก็ถามอีกว่า“มีใครอีกไหมครับ?” ท่านรอซูลตอบว่า “แม่ของท่าน” ชายผู้นั้นถามอีกว่า “มีใครอีกไหมครับ?” ท่านรอซูลตอบว่า “พ่อของท่าน”(บันทึกโดยบุคอรีย์และมุสลิม)
จากหะดีษนี้ชี้ให้เห็นว่า แม่นั้นเป็นบุคคลแรกในโลกที่ลูกจะต้องทำดีกว่าใครๆ ดังนั้นการที่ผู้ชายทำร้ายผู้หญิงนั้นขอให้เขาคิดว่าผู้ที่คลอดเขาออกมา ทำให้เจริญวัยเติบโต ลืมตากล้าแข็ง ก็คือแม่ที่เป็นเพศหญิงนั่นเอง

อิสลามสอนให้สามีทำดีต่อภรรยา ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันด้วยความดีอัลลอฮฺ ตรัสว่า“ท่านทั้งหลายจงอยู่ร่วมกับนางด้วยความดี”

หากสตรีที่อยู่ในฐานะเป็นลูกเธอก็มีสิทธิที่จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี เพราะลูกจะเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อแม่เข้าสวรรค์ได้

ท่านร่อซูล กล่าวว่า“ผู้ใดที่มีลูกสาวสามคนหรือพี่สาวน้องสาวสามคนหรือมีลูกสาวสองคน หรือพี่สาวน้องสาวสองคน แล้วเขาทำดีต่อเธอและทำตามคำสั่งของอัลลอฮฺ ตามสิทธิของเธอทีได้รับ ทำได้อย่างนี้เขาจะได้เข้าสวรรค์”
(บันทึกโดยติรมีซีย์)

ส่วนในบันทึกของอบูดาวูด ใช้สำนวนว่า“เขาได้อบรมลูกสาว ทำดีต่อลูกสาวและจัดการแต่งงานให้แก่ลูก เขาจะได้เข้าสวรรค์”

นอกจากนั้น อิสลามได้ให้เกียรติสตรี โดยที่ฝ่ายชายเมื่อจะแต่งงานกับเธอ ฝ่ายชายต้องเตรียมที่อยู่อาศัยให้เธอ และการแต่งงานจะต้องได้รับการยินยอมจากเธอ เธอมีสิทธิในมะฮัร(สินสอด) จะมากน้อยเป็นไปตามฐานะของแต่ละบุคคล มีการหมั้นหมาย มีการสู่ขอ มีสัญญามีคำเสนอคำสนองตอบด้วยวาจา ว่ายินดีรับเธอในฐานะภรรยา กระทำด้วยความจริงใจมิใช่เป็นการชั่วคราวต้องมีพยานรับรู้ อันนี้เป็นเงื่อนไขของการแต่งงานตามแบบศาสนาอิสลาม และสมควรจัดงานเฉลิมฉลองการแต่งงานซึ่งเรียกว่างาน “วะลีมะฮฺ”

ท่านนบี กล่าวว่า“ท่านทั้งหลายจงจัดงานเฉลิมฉลองการแต่งงาน ถึงแม้ว่าจะใช้แกะสักหนึ่งตัวก็ตาม” เมื่ออยู่กินกันในฐานะสามีภรรยา เกิดมีปัญหาไม่เข้าใจกันหรือหาความสุขในชีวิตคู่ไม่ได้ อิสลามมีทางออกโดยให้หย่าร้างกันด้วยความดี มีระยะการหย่าร้าง เช่น หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง แล้วจึงขาดจากกัน

ส่วนในยุคญาฮิลียะฮการหย่าร้างไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีระยะเวลา ในกรณีที่ฝ่ายชายไม่ยอมหย่าร้างโดยถืออำนาจกดขี่ข่มเหงเธอไว้ฝ่ายสตรีมีสิทธิ์โดยชอบธรรมทางศาสนาที่จะซื้อหย่าด้วยการคืนมะฮัรให้ฝ่ายชายไป นี่เป็นความยุติธรรมที่อิสลามกำหนดไว้เป็นสิทธิสตรี

และยังเป็นการปรามฝ่ายชายมิให้เอาเปรียบสตรีได้นอกจากนี้ในเรื่องของการเดินทางอิสลามได้กำหนดให้มีมะห์รอม
เป็นเพื่อนติดตามการเดินทาง ทั้งนี้เพื่อจะได้ปกป้องสตรีให้พ้นจากอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง หรือให้พ้นจากการติฉินท์นินทาสตรี

จะเห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสตรีระหว่างการเดินทางคนเดียวมีมาก อิสลามจึงมีระเบียบเพื่อปกป้องเป็นการให้เกียรติสตรีและป้องกันปัญหาและความเสียใจภายหลัง เหตุการณ์สตรีถูกลวนลามถูกทำอนาจารข่มขืนถูกฆ่าทิ้งเกิดขึ้นอย่างมากมายส่วนหนึ่งเกิดจากการที่สตรีเดินทางไปไหนมาไหนตามลำพังนั่นเอง

ที่เสนอมาทั้งหมดนี้ จะเห็นว่าอิสลามได้ให้เกียรติสตรีมากที่สุดและเป็นสิ่งที่สตรีมุสลิมะฮฺควรได้ภาคภูมิใจไม่หลงไปตามกระแส ที่ใส่ร้ายโจมตีจากศัตรูของอิสลามที่พยายามป้ายสีว่าอิสลามไม่ให้สิทธิสตรี ห้ามไม่ให้ไปไหนมาไหน หรือใส่ร้ายว่าสตรีถูกบังคับให้คลุมศีรษะเมื่อออกนอกบ้าน แต่ทางตรงกันข้ามอิสลามเท่านั้นที่ให้เกียรติสตรี สอนให้สตรีมีเกียรติมีค่า

ความจริงแล้วไม่มีคำสอนใดที่จะให้เกียรติสตรีปกป้องสิทธิสตรีเทียบเท่าอิสลามไม่มีเหตุผลอันใดทีจะเชื่อคำใส่ร้ายป้านสีของศัตรูอิสลาม บุคคลเหล่านี้มีจิตใจมืดมิด ไม่มองใครอื่นดี นอกจากตัวเองหรือพวกตนเท่านั้น ดังอายะห์อัลกุรอานที่ว่า

فإنها لا تعمى الأبصار ولكن تعمى القلوب التى في الصدور

“แท้จริงสายตาของพวกเขามิได้บอด แต่ทว่าหัวใจที่มีอยู่ในทรวงอกของพวกเขาต่างหาก ที่บอดสนิท”

^^ด้วยรักและดุอาอฺ^

.....................
แวนิต้า โรส


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น