โดย... อ.มุคตาร ชนะมิตร
ในยุคญาฮิลียะฮ์นั้นนับว่าเป็นยุคมืด ผู้คนเชื่อกันว่าสตรีเป็นที่มาของความชั่วร้ายเป็นที่มาของความสกปรกโสมม
ใครก็ตามที่คลอดลูกเป็นผู้หญิง จะมีความรู้สึกว่าลูกหญิงจะมาสร้างความเสื่อมเสียให้กับครอบครัว
ในสมัยนั้นผู้หญิงจึงเป็นเหมือนสินค้า ที่ถูกแลกเปลี่ยนด้วยเงินตราที่ใช้เปลี่ยนมือกันไป ดังนั้นจึงมีหลายครอบครัว เมื่อคลอดได้ลูกผู้หญิงจะนำลูกไปฝังดินทั้งเป็นถ้าโตขึ้นมาจะถูกกีดกันสิทธิที่จะได้รับมรดก และเมื่อเธอมีประจำเดือน เธอจะถูกขับไล่ออกนอกบ้าน โดยไม่ให้เข้ามาร่วมรับประทานอาหารกับผู้คนในครอบครัว
เมื่อเธอได้ถูกแต่งงานไปแล้วจะถูกหย่าร้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่มีกำหนดจำนวน เมื่อสามีไม่พอใจ จะหย่าร้างทันที เมื่อมีความต้องการเมื่อใดจะมาคืนดีใหม่ทำอย่างนี้เหมือนถูกกักขังไว้บำเรอความสุข
ผู้หญิงจะได้รับความทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องสิทธิใดๆ
สภาพการรังเกียจลูกผู้หญิงได้แพร่ไปในหลายประเทศ เช่น ประเทศจีน อินเดียกรีกและอื่นๆ มีบางประเทศบรรดาสตรีจำนวนไม่น้อยต้องถูกสังเวยชีวิตด้วยความเชื่อถือของคนโบราณ เช่น ถูกโยนลงในแม่น้ำเพื่อเป็นเครื่องเซ่นบวงสรวงกับแม่น้ำคงคาหรือแม่น้ำไนล์
เมื่ออิสลามได้อุบัติขึ้นท่านนะบีมุฮัมมัด ได้นำคำสอนจากพระผู้เป็นเจ้ามาเผยแผ่ทำให้ผู้คนหลุดพ้นจากความมืดไปสู่แสงสว่าง หลุดพ้นจากความโง่เขลา หลุดพ้นจากความอยุติธรรมที่สังคม
ได้สร้างขึ้นอิสลามนำไปสู่ความยุติธรรม อิสลามห้ามการกดขี่ข่มเหงทุกชนิด โดยเฉพาะการข่มเหงกีดกันสิทธิเสรีภาพของสตรี และอิสลามห้ามฝังลูกทั้งเป็น
ท่านนะบี สอนว่า“แท้จริงอัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงห้ามท่านทั้งหลาย ซึ่งการทรยศต่อบิดามารดาห้ามการตระหนี่และงกเอาทรัพย์ผู้อื่นห้ามการฝังลูกหญิงทั้งเป็นอัลลอฮฺไม่ชอบในการที่พวกเจ้ากล่าวว่า คนนั้นว่าอย่างนี้ คนนั้นว่าอย่างนี้และการซักถามมากๆ (หมายถึงมีปัญหามาก) และเกลียดการผลาญทรัพย์”
- อิสลามได้ส่งเสริมให้ผู้เป็นพ่อ เมื่อคลอดลูกออกมา ให้เชือดแกะ แพะ เมื่อครอบครัวนั้นได้ลูกหญิงเพื่อแสดงออกซึ่งความดีใจและเป็นการขอบคุณต่ออัลลอฮฺ ที่ให้ลูกผู้หญิง
-อิสลามได้กำหนดอัตราส่วนสำหรับ
สตรีทุกคน ในเรื่องสิทธิมรดก ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะแม่ พี่สาว น้องสาว บุตรสาวและผู้เป็นภรรยาสิ่งเหล่านี้ในยุคญาฮิลียะฮฺสตรีจะไม่มีสิทธิในการได้รับส่วนแบ่งมรดกแต่อย่างใด
- อิสลามมีคำสอนให้ลูกทำดีต่อพ่อแม่ และนับว่า "แม่" เป็นคนแรกของลูกที่ต้องคอยเอาใจใส่ดูแล
รายงานโดย อบูฮุร็อยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุว่า ท่านรอซูล กล่าวว่ามีชายคนหนึ่งมาหาท่านร่อซูล แล้วถามว่า “โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺใครที่สมควรยิ่งที่ข้าพเจ้าจะเอาเป็นเพื่อนที่ดี” ท่านรอซูลตอบว่า “แม่ของท่าน” แล้วชายผู้นั้นก็ถามอีกว่า“มีใครอีกครับ?” ท่านรอซูลตอบว่า “แม่ของท่าน” ชายผู้นั้นก็ถามอีกว่า“มีใครอีกไหมครับ?” ท่านรอซูลตอบว่า “แม่ของท่าน” ชายผู้นั้นถามอีกว่า “มีใครอีกไหมครับ?” ท่านรอซูลตอบว่า “พ่อของท่าน”(บันทึกโดยบุคอรีย์และมุสลิม)
จากหะดีษนี้ชี้ให้เห็นว่า แม่นั้นเป็นบุคคลแรกในโลกที่ลูกจะต้องทำดีกว่าใครๆ ดังนั้นการที่ผู้ชายทำร้ายผู้หญิงนั้นขอให้เขาคิดว่าผู้ที่คลอดเขาออกมา ทำให้เจริญวัยเติบโต ลืมตากล้าแข็ง ก็คือแม่ที่เป็นเพศหญิงนั่นเอง
อิสลามสอนให้สามีทำดีต่อภรรยา ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันด้วยความดีอัลลอฮฺ ตรัสว่า“ท่านทั้งหลายจงอยู่ร่วมกับนางด้วยความดี”
หากสตรีที่อยู่ในฐานะเป็นลูกเธอก็มีสิทธิที่จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี เพราะลูกจะเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อแม่เข้าสวรรค์ได้
ท่านร่อซูล กล่าวว่า“ผู้ใดที่มีลูกสาวสามคนหรือพี่สาวน้องสาวสามคนหรือมีลูกสาวสองคน หรือพี่สาวน้องสาวสองคน แล้วเขาทำดีต่อเธอและทำตามคำสั่งของอัลลอฮฺ ตามสิทธิของเธอทีได้รับ ทำได้อย่างนี้เขาจะได้เข้าสวรรค์”
(บันทึกโดยติรมีซีย์)
ส่วนในบันทึกของอบูดาวูด ใช้สำนวนว่า“เขาได้อบรมลูกสาว ทำดีต่อลูกสาวและจัดการแต่งงานให้แก่ลูก เขาจะได้เข้าสวรรค์”
นอกจากนั้น อิสลามได้ให้เกียรติสตรี โดยที่ฝ่ายชายเมื่อจะแต่งงานกับเธอ ฝ่ายชายต้องเตรียมที่อยู่อาศัยให้เธอ และการแต่งงานจะต้องได้รับการยินยอมจากเธอ เธอมีสิทธิในมะฮัร(สินสอด) จะมากน้อยเป็นไปตามฐานะของแต่ละบุคคล มีการหมั้นหมาย มีการสู่ขอ มีสัญญามีคำเสนอคำสนองตอบด้วยวาจา ว่ายินดีรับเธอในฐานะภรรยา กระทำด้วยความจริงใจมิใช่เป็นการชั่วคราวต้องมีพยานรับรู้ อันนี้เป็นเงื่อนไขของการแต่งงานตามแบบศาสนาอิสลาม และสมควรจัดงานเฉลิมฉลองการแต่งงานซึ่งเรียกว่างาน “วะลีมะฮฺ”
ท่านนบี กล่าวว่า“ท่านทั้งหลายจงจัดงานเฉลิมฉลองการแต่งงาน ถึงแม้ว่าจะใช้แกะสักหนึ่งตัวก็ตาม” เมื่ออยู่กินกันในฐานะสามีภรรยา เกิดมีปัญหาไม่เข้าใจกันหรือหาความสุขในชีวิตคู่ไม่ได้ อิสลามมีทางออกโดยให้หย่าร้างกันด้วยความดี มีระยะการหย่าร้าง เช่น หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง แล้วจึงขาดจากกัน
ส่วนในยุคญาฮิลียะฮการหย่าร้างไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีระยะเวลา ในกรณีที่ฝ่ายชายไม่ยอมหย่าร้างโดยถืออำนาจกดขี่ข่มเหงเธอไว้ฝ่ายสตรีมีสิทธิ์โดยชอบธรรมทางศาสนาที่จะซื้อหย่าด้วยการคืนมะฮัรให้ฝ่ายชายไป นี่เป็นความยุติธรรมที่อิสลามกำหนดไว้เป็นสิทธิสตรี
และยังเป็นการปรามฝ่ายชายมิให้เอาเปรียบสตรีได้นอกจากนี้ในเรื่องของการเดินทางอิสลามได้กำหนดให้มีมะห์รอม
เป็นเพื่อนติดตามการเดินทาง ทั้งนี้เพื่อจะได้ปกป้องสตรีให้พ้นจากอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง หรือให้พ้นจากการติฉินท์นินทาสตรี
จะเห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสตรีระหว่างการเดินทางคนเดียวมีมาก อิสลามจึงมีระเบียบเพื่อปกป้องเป็นการให้เกียรติสตรีและป้องกันปัญหาและความเสียใจภายหลัง เหตุการณ์สตรีถูกลวนลามถูกทำอนาจารข่มขืนถูกฆ่าทิ้งเกิดขึ้นอย่างมากมายส่วนหนึ่งเกิดจากการที่สตรีเดินทางไปไหนมาไหนตามลำพังนั่นเอง
ที่เสนอมาทั้งหมดนี้ จะเห็นว่าอิสลามได้ให้เกียรติสตรีมากที่สุดและเป็นสิ่งที่สตรีมุสลิมะฮฺควรได้ภาคภูมิใจไม่หลงไปตามกระแส ที่ใส่ร้ายโจมตีจากศัตรูของอิสลามที่พยายามป้ายสีว่าอิสลามไม่ให้สิทธิสตรี ห้ามไม่ให้ไปไหนมาไหน หรือใส่ร้ายว่าสตรีถูกบังคับให้คลุมศีรษะเมื่อออกนอกบ้าน แต่ทางตรงกันข้ามอิสลามเท่านั้นที่ให้เกียรติสตรี สอนให้สตรีมีเกียรติมีค่า
ความจริงแล้วไม่มีคำสอนใดที่จะให้เกียรติสตรีปกป้องสิทธิสตรีเทียบเท่าอิสลามไม่มีเหตุผลอันใดทีจะเชื่อคำใส่ร้ายป้านสีของศัตรูอิสลาม บุคคลเหล่านี้มีจิตใจมืดมิด ไม่มองใครอื่นดี นอกจากตัวเองหรือพวกตนเท่านั้น ดังอายะห์อัลกุรอานที่ว่า
فإنها لا تعمى الأبصار ولكن تعمى القلوب التى في الصدور
“แท้จริงสายตาของพวกเขามิได้บอด แต่ทว่าหัวใจที่มีอยู่ในทรวงอกของพวกเขาต่างหาก ที่บอดสนิท”
^^ด้วยรักและดุอาอฺ^
.....................
แวนิต้า โรส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น