อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2557

นิทาน "มันไม่ใช่เรื่องของกู"



ได้อ่านนิทานเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่เจ้าหนูไปขอคำปรึกษาจากบรรดาสัตว์ต่างๆ เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่ชาวนาได้ติดกับดักหนูไว้ แต่เจ้าหนูกลับถูกปฏิเสธจากบรรดาสัตว์ที่จะให้คำปรึกษา หรือช่วยเหลือใดๆ และพวกมันอ้างกับดักหนูมันไม่เกี่ยวข้องใดๆกับพวกมัน ชาวนาทำไว้เพื่อดักหนู ไม่ได้ทำไว้ดักพวกมัน ทั้งพวกมันไม่จำเป็นต้องเข้าไปในบ้านที่มีกับดักนั้น เพราะพวกมันหาอาหารอยู่นอกบ้าน จึงไม่ใช่เรื่องของพวกมัน แต่สุดท้ายบรรดาสัตว์เหล่านั้นกลับต้องปลิดชีพของพวกมัน อันเพราะเหตุที่ว่า "มันไม่ใช่เรื่องของกู" นั้นเอง

นิทานเรื่องนี้ ทำให้คิดถึงพี่น้องมุสลิมที่ถูกอธรรมในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องปเลสไตน์ พี่น้องซีเรีย หรือพี่น้องโรฮิงญา ฯลฯ พวกเขาได้รับความอธรรมจากเหล่าศัตรู ไม่ว่าด้วยการฆ่า ทำร้าย ทำลายทรัพย์สิน และถูกขับไล่พจากบ้านเกิดเมืองนอน

แต่มีมุสลิมบางคน หรือบางกลุ่ม กับนิ่งเฉย ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ปล่อยให้พี่น้องผู้ศรัทธาต้องถูกอธรรม และถูกจองจำอยู่ในความทุกข์ทรมาน ไม่ยอมแม้แต่จะคิดช่วยเหลือ หรือปกป้องพวกเขาจากการถูกอธรรมจากมิตรสหายเหล่าศัตรู โดยอ้างว่ามันเป็นเรื่องที่อยู่ไกลพวกเขา มันไม่มีผลกระทบใดๆกับพวกเขา พูดง่ายๆ คือ "มันไม่ใช่เรื่องของกู" เหตุการณ์ดังกล่าวจึงไม่ต่างอะไรกันเลยกับนิทานที่กล่าวมา ซึ่งจะเล่าให้ฟัง ดังนี้

...หนูตัวหนึ่งแอบมองลอดรอยแตกของกำแพง
เพื่อดูว่าชาวนากับภรรยาของเขาแกะห่ออะไร
“จะเป็นอาหารอะไรหนอ” เจ้าหนูสงสัย

มันแทบล้มทั้งยืน
เมื่อรู้ว่าสิ่งนั้นคือ
‘กับดักหนู’

มันจึงวิ่งหัวซุกหัวซุน
ไปที่ทุ่งนา แล้วส่งเสียงร้องเตือน
“มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! ”


แม่ไก่ร้องกุ๊กๆ และคุ้ยเขี่ยไปมา มันผงกหัวขึ้นแล้วพูดว่า
“คุณหนู นี่คงเป็นเรื่องเศร้าสำหรับเธอ แต่มันไม่มีผลอะไรกับฉันหรอกนะ อย่ากวนใจกันเลย”

เจ้าหนูวิ่งไปหาเจ้าแพะและบอกแก่มัน
“ มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! ”
เจ้าแพะเห็นอกเห็นใจ แต่ก็พูดว่า
“ ฉันขอโทษนะคุณหนู แต่ฉันคงทำได้แค่ขอดุอาอ์เท่านั้น ไม่ต้องห่วงฉันจะขอดุอาอ์ให้เธอด้วย”

เจ้าหนูวิ่งไปหาวัว และพูดว่า
“ มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! “
วัวตอบว่า “ โธ่! คุณหนู ฉันก็เสียใจด้วยนะ แต่มันไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับฉันนี่ ”

ดังนั้น เจ้าหนูจึงกลับเข้าบ้าน
นอนลงและเศร้าใจเหลือเกิน
ที่จะต้องเผชิญหน้ากับกับดักหนูเพียงลำพัง

กลางดึกคืนนั้น
เสียงๆ หนึ่งดังก้องไปทั้งบ้าน ฟังเหมือนเสียงกับดักหนูได้จับเหยื่อของมันแล้ว

ภรรยาของชาวนารีบรุดไปดูว่าอะไรที่ถูกจับ
ในความมืดนั้นเธอไม่เห็นว่ามีงูพิษถูกกับดักนั้นหนีบหางเอาไว้

งูกัดภรรยาของชาวนา ชาวนาจึงรีบพาเธอไปส่งโรงพยาบาล

ตอนกลับบ้านเธอมีไข้สูง ใครๆ ก็รู้ว่าเราต้องพยาบาลคนป่วยด้วยซุปไก่
ดังนั้นชาวนาจึงหยิบขวานเดินไปที่ทุ่งเพื่อฆ่าไก่มาทำซุป

แต่อาการป่วยของภรรยาก็ยังไม่ดีขึ้น
เพื่อนฝูงและเพื่อนบ้านต่างมาเยี่ยมดูใจ

เพื่อเลี้ยงอาหารพวกเขา ชาวนาจึงฆ่าเจ้าแพะซะ

ภรรยาของชาวนาก็ยังไม่หาย ในที่สุดเธอก็ตายลง

ผู้คนมากมายต่างมางานศพของเธอ
ชาวนาจึงฆ่าวัวเพื่อให้ได้เนื้อมากพอมาเลี้ยงแขก

เจ้าหนูมองลอดรอยแตกของกำแพงด้วยความเสียใจสุดแสน...


จากนิทานข้างต้น พอที่จะสอนพี่น้องมุสลิมได้ว่า หากพี่น้องผู้ศรัทธาของเรากำลังได้รับความลำบาก ถูกทำร้ายห รือถูกอธรรมนานาประการ ก็จงช่วยเหลือพวกเขา เพราะมุสลิมคือสายเลือดเดียวกัน หากพี่น้องของเราได้รับความเดือดร้อน มันก็ส่งผลกระทบต่อเราไม่มากก็น้อย อย่าปล่อยให้พวกเขาคอยแก้ปัญหาอยู่เพียงลำพัง หากเราทำเช่นนั้น ความเดือนร้อนเหล่านั้น พระองค์อัลลอฮฺก็จะทรงให้กลับมาประสบกับเราเช่นเดียวกัน






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น