อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

โอ้ อัลลอฮ์ ฉันได้กลับมาหาพระองค์แล้ว



มีชายคนหนึ่งชื่อมูฮัมหมัด อยู่ในวัยกลางคน ใช้ชีวิตสนุกสนานอย่างเต็มที่ เขาอยากไปเที่ยวประเทศอเมริกา แล้วก็ตัดสินใจขึ้นเครื่องบิน บินตรงไปยังประเทศอเมริกา

.

ตัวเขาเองไม่ค่อยเคร่งครัดในเรื่องศาสนา ละหมาดบางเวลาและก็ทิ้งบางเวลา ในขณะอยู่บนเครื่องบิน เขาก็คิดเรื่อยเปื่อยว่าอยากทำหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น ไปเที่ยว ดื่มสุรา เที่ยวผับ เข้าบาร์ และเขาจะต้องได้เจอกับผู้หญิงค้าบริการ ได้คิดแต่เรื่องมะอ์ซียัต

เมื่อถึงที่อเมริกาแล้ว เขาก็เช่าห้องแล้วก็วางกระเป๋าใบใหญ่ทุกใบ แล้วตัวเองก็ตะลอนเที่ยว เที่ยวตั้งแต่กลางคืนยันจนถึงเช้า แล้วก็นอนยันจนถึงเย็น เสียงอาซานที่แว่ว ๆ เข้าในหูหลายต่อหลายเวลาละหมาด จากหลายทิศทางจากมัสยิดใกล้และไกล(ละแวกมุสลิมที่มีจำนวนไม่มาก) แต่เขาไม่คิดว่านั่นเป็นเสียงเรียกอิบาดัตต่อเอกองค์อัลลอฮ์เลย

เขาได้กล่าวว่า : ชีวิตของฉันจะดำเนินไปอย่างสุขสบาย จะไม่ทำอีบาดัต จะสร้างแต่มะซียัต จนมาถึงคืนหนึ่ง เขาได้เข้าไปในบาร์ที่หนึ่ง ในนั้นเต็มไปด้วยหญิงโคโยตี้ เด็กเชียร์เบียร์ หญิงบริการและอีกหลายประเภท และฉันก็สั่งเบียร์หนึ่งแก้ว แล้วก็ครุ่นคิดในใจ ฉันรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่อัลลอฮ์ห้าม แต่ด้วยนัฟซูและซะฮ์วัตของฉัน และด้วยความอภัยโทษของอัลลอฮ์ (ถ้าฉันดื่มแล้วเตาบัต อัลลอฮ์ก็จะให้อภัยแก่ฉัน) ก็เลยทำให้ฉันสนุกอย่างเต็มที่ ฉันก็เริ่มจ้องผู้หญิงแถวนั้น จู่ ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง เดินมาหาฉันด้วยสายตาอันยั่วยวน แล้วก็นั่งขยับตัวอย่างประชั้นชิด และฉันก็จับมือเธอ ผู้หญิงคนนั้นก็ทิ้งตัวซบลงบนตัวฉัน ฉันก็คิดในใจว่า มันหลายครั้งแล้วที่ฉันได้ทำมะอ์ซียัต แต่ความรู้สึกในตอนนั้น รู้สึกว่ามันต่างกับที่ผ่านมา เพราะครั้งนี้ ฉันรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นคนอาหรับ จู่ ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็พูดอาหรับด้วยสำเนียงไม่ค่อยชัด
ผู้หญิงก็ถามว่า : คุณเป็นคนอาหรับหรอ?
ฉันก็ตอบไปว่า : ใช่
ผู้หญิงก็บอกว่า : ฉันก็เป็นคนอาหรับเหมือนกัน แต่ฉันเป็นคนสัญชาติอเมริกา เพราะฉันเกิดมาที่นี่นานแล้ว
ผู้หญิงก็ถามว่า : คุณชืออะไร?
ฉันตอบเธอว่า : มูฮัมหมัด
ผู้หญิงนั้นพูดว่า : ฉันไม่ชอบชื่อนี้
ฉันก็ถามเธอว่า : ทำไมหรอ?
เธอก็ตอบว่า : ฉันนับถือศาสนาคริสต์

จู่ ๆ เธอก็เริ่มออกห่างจากตัวฉัน ฉันก็คิดในใจ สงสัยเธอคงไม่ชอบอิสลาม แต่สิ่งนั้น มันก็ไม่ทำให้ฉันรู้สึกกระทบเทือนอะไรเลย เพราะฉันเริ่มจะเห็นใจเธอแล้ว และรู้สึกจะชอบในตัวเธอ เป็นเพราะชาฮาวาตที่อยู่ในใจฉันในตอนนั้นมันขึ้นสูงเรื่อย ๆ แล้วเธอก็เปล่งยิ้มออกมา แล้วก็คุยต่อโดยเปลี่ยนเรื่องคุยกัน
ฉันถามเธอว่า : คุณชอบการเต้นไหม?
เธอตอบว่า : ชอบ
แล้วฉันก็จูงมือเธอแล้วเราก็เดินไปเต้นกัน เวลาผ่านไปนานพอสมควร แล้วฉันก็ขอให้เธอไปกับฉัน แต่ว่าเธอปฏิเสธ แล้วเธอก็เดินหันหลังจากฉันไป สองดวงตาของฉันยังจำภาพผู้หญิงคนนั้น มันทำให้หัวใจของฉันคิดถึงแต่เธอ และทำให้ใจฉันยิ่งวันยิ่งห่างไกลอัลลอฮ์

เวลาผ่านไปสองสามคืน วันเวลานั้นทำให้ฉันคิดถึงแต่เธอ รู้สึกได้ว่าเธอเป็นคนที่ฉันรัก คืนนั้น ฉันก็ไปหาเธออีก
ฉันพูดกับเธอว่า : คืนนี้ ฉันอยากให้คุณมาที่บ้านของฉันและอยู่กับฉัน
เธอก็ตอบว่า : โอเค ได้ แต่คุณต้องสวมใส่อันนี้นะ แล้วเขาก็เปิดกระเป๋าแล้วล้วงออกมาเป็นสร้อยคอธรรมดาเส้นหนึ่ง แต่มีไม้กางเขน
ความรู้สึกของฉันในตอนนั้น มันรู้สึกแปลก เพราะฉันไม่เคยล้ำเส้นที่จะทำบาปอย่างครั้งนี้เลย

ใช่ ฉันเคยทำบาป
ใช่ ฉันเคยทิ้งละหมาด
ใช่ ฉันไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ฉันเป็นเดือนแล้ว
แต่ฉันเป็นมุสลิม แต่.....ความรักของฉันมันใหญ่กว่านั้น
ผู้หญิงก็สวมสร้อยคอไม้กางเขนให้ ทั้ง ๆ ที่ฉันยังยืนอยู่นิ่งและไม่สามารถขยับเขยื้อนและทำอะไรได้เลย
ผู้หญิงก็ทำหน้าตะลึงพร้อมพูดว่า : ว้าวววว...มันสวยมากเลยคุณ ถือว่า นี่เป็นชิ้นของขวัญจากฉันนะ ฉันอยากให้สร้อยเส้นนี้อยู่กับคุณไปตลอด แต่ถ้าคุณไม่ใส่ คุณไม่ต้องมาหาฉันอีก

วันวานของฉัน อยู่แต่กับสร้อยคอเส้นนั้นที่ห้อยอยู่บนคอของฉัน ฉันรู้สีกว่ามันสวยหรู

อยู่มาวันหนึ่ง ฉันก็ขอเธอไปเที่ยวด้วยกันอีกตามเคย แต่ครั้งนี้ ชัยฏอนได้กระซิบเข้าไปในหูของเธอให้เธอตอบกลับว่า : ไม่ ฉันไม่ไป
แล้วฉันก็รู้สีกเสียใจที่เธอไม่อยากไปกับฉัน ฉันก็กลับไปถึงบ้าน ฉันคิดมาก คิดถึงแต่เธอ วัน ๆ ไม่ได้ทำการอะไร เพราะมัวแต่คิดถึงผู้หญิงที่ฉันรัก

ในคืนถัดไป ฉันก็ไปหาเธออีก
ก็เลยถามเธอว่า : เมื่อวาน ทำไมคุณปฏิเสธฉัน? คุณต้องการเงินใช่ไหม?
ผู้หญิงก็มองหน้าด้วยสีหน้าไม่พอใจ แล้วตอบว่า : ไม่ แต่ฉันอยากให้คุณนับถือศาสนาคริสต์กับฉัน

โอ้ อัลลอฮ์ โอ้ อัลลอฮ์ คำที่เธอพูดออกมา มันเหมือนมีหอกมาปักเข้าที่หน้าอกแล้วทะลุออกข้างหลัง
ฉันก็ตอบไปว่า : ไม่ได้ ฉันเป็นมุสลิม ให้ฉันทำแบบนั้นได้ไง
ผู้หญิงก็ตอบว่า : งั้นคืนนี้ ฉันก็ไปกับคุณไม่ได้เหมือนกัน
ชัยฏอนที่อยู่ข้าง ๆ ส่งเปล่งยิ้มหวานออกมา แล้วเป่าเข้าไปในหูของฉัน ด้วยคำว่า : ตอบตกลงสิ ตอบตกลงสิ ถ้านายตกลงนะ นายจะมีความสุขและจะได้เห็นรอยยิ้มของคนที่นายรักไง และจงกล่าวว่า : ฉันกูฟุรต่ออิสลาม แค่นี้เอง แล้วนายจะมีความสุขกับเธอแน่นอน

เมื่อยามค่ำคืนได้ผ่านพ้นไป วันใหม่ก็เริ่มขึ้นมา เธอแต่งตัวดูสวยขึ้น ดูน่ายั่วยวน แล้วก็กอดฉันอย่างชิดใกล้ จนใบหน้าของเธอมาชนและสัมผัสกับใบหน้าของฉัน
ผู้หญิงนั้นก็ถามว่า : นี่ ไอ้หัวใจสุดดื้อ คุณยังไม่รู้สึกถึงความรักหรือยังไง?
คำ ๆ นั้น มันทำให้ฉันดีใจที่สุดในชีวิต
และฉันก็ตอบไปว่า : อืมมมม ฉันมีความสุขมาก เมื่อได้อยู่กับคุณและไม่คิดอยากจะจากคุณไปเลย
แล้วผู้หญิงก็ตอบว่า : งั้นน เรามาแต่งงานกันสิ

คำตอบของเธอ มันได้ทำให้ฉันต้องอึ้ง
ฉันได้ลืมทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว
ฉันลืมแล้วว่าตัวเองชื่อ มูฮัมหมัด ซึ่งเป็นชื่อของท่านนบีฯ
ฉันได้ลืมการปลุกละหมาดศุบฮ์โดยพ่อของฉัน
ฉันได้ลืมของขวัญ (สิ่งดี ๆ ที่แม่ของฉันเคยให้) และเลี้ยงดูฉันจนโต
ฉันได้ลืมตัวฉันเอง จนฉันได้เป็นคนที่รักและหลงนัฟซูตัวเอง
และฉันก็เลือกที่จะเดินไปกับเธอ โดยเป็นคนคริสต์อย่างเต็มตัว

มันเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เข้าไปในโบสถ์ น้ำตาที่มันไหลออกมา มันช่างไร้ความรู้สึกสิ้นดี เพราะน้ำตาแห่งอีหม่านนั้นมันหมดไปจากฉันแล้ว ฉันก็ก้าวขาแรกเข้าประตูโบสถ์

โอ้ อัลลอฮ์ ชีวิตฉันที่เหลือ ฉันได้เป็นกาฟิรเต็มตัวแล้ว ผลตอบแทนของฉัน มันเป็นนรกสถานเดียว
นรก.......

โอ้ อัลลอฮ์ ความเกรงกลัวของฉันมันหายไปไหน?
ความอับอายของฉันมันหายไปไหน?
ความประเสริฐของมุสลิมในตัวฉันมันหายไปไหน?
ทุกสิ่งทุกอย่างมันสิ้นสุดแล้ว มันหมดแล้ว

ฉันก็กลับไปยังที่บ้านพัก รู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนบ้า
แล้วฉันก็พูดกับตัวเองว่า : เจ้าได้ทำอะไรลงไป โอ้ มูฮัมหมัด ฉันได้ทิ้งศาสนาที่ท่านนบีมูฮัมหมัดฯ ได้นำพาใช่ไหม? แล้วฉันก็ร้องห่มร้องไห้ แล้วก็ปิดประตูห้องด้วยความโศกเศร้า
ชัยฏอนก็เข้ามาใกล้ ๆ แล้วพูดว่า : โอ้ มูฮัมหมัด เจ้าไม่มีทางที่จะกลับไปยังทางเดิม (อิสลาม) ได้อีกแล้ว เพราะตอนนี้ เจ้าเป็นกาเฟรเต็มตัวแล้ว และเจ้าก็จะต้องตายในภาพกาฟิร และในที่สุด เจ้าก็จะตกลงไปในนรก

สักพัก จู่ ๆ ฉันก็นึกเสียงอาซานของปู่ฉัน และนึกอัลกุรอ่านเล่มที่ฉันอ่านอยู่เป็นประจำ และนึกถึงคำนาซีฮัตของเพื่อน ๆ ฉัน ด้วยคำว่า โอ้ มูฮัมหมัดเพื่อนรัก จงระวังตัวด้วยการจบชีวิตที่ไม่ดี
แล้วฉันก็ตะโกนออกมา พร้อมกล่าวว่า : ไม่นะ อัลลอฮ์ ไม่นะ อัลลอฮ์
อย่าดึงชีวิตฉันไปตอนนี้ ฉันจะกลับไปยังอิสลาม ฉันจะกลับไปยังอัลกุรอ่าน ฉันจะกลับไปยังพระองค์ โอ้ อัลลอฮ์

ฉันเข้าห้องน้ำ ดึงสร้อยคอไม้กางเขนออก ฉันก็ล้างหน้าอาบน้ำ ฉันรู้สึกว่า บาปของฉันมันมากกว่าตัวของฉันด้วยซ้ำไป และฉันก็กล่าว

أشهد أن لا إله إلا الله وأشهد أن محمدا روسول الله

โอ้ อัลลอฮ์ ประโยคนี้มั่นช่างสวยงามยิ่ง เป็นกุญแจแห่งความสุข
โอ้ อัลลอฮ์ ฉันได้กลับมาหาพระองค์แล้ว ฉันได้กลับมาหาละหมาดแล้ว ฉันได้กลับทำดีกับพ่อแม่ของฉันแล้ว ฉันได้กลับไปยังพี่น้องของฉันแล้ว ฉันได้กลับไปยังบวชแห่งเดือนรอมฏอนแล้ว ฉันได้กลับไปยังในสิ่งพระองค์ทรงพึงพอใจแล้ว โอ้ อัลลอฮ์

ฉันขึ้นเครื่องบินเพื่อที่จะกลับไปสู่ประเทศของฉัน เสียงแรกที่ฉันได้ยินนั้นเป็นเสียงอาซาน น้ำตาของฉันก็หลั่งไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ฉันเห็นแม่ของฉัน ฉันเข้าไปโอบกอดท่าน ฉันเลยทิ้งตัวของฉันให้ล้มไปอยู่ในอ้อมกอดของแม่ฉัน

ฉันพูดกับแม่ว่า : ฉันจะไม่มีวันทำมะอ์ซียัตต่ออัลลอฮ์อีกแล้ว โปรดอภัยให้แก่ฉันด้วย ที่ฉันเคยก้าวร้าวต่อแม่
แล้วแม่ก็กอดฉันด้วยการกอดที่รัดแน่น
แม่ก็พูดว่า : ลูกชายของฉัน จงทำดีให้กับอัลลอฮ์ เพราะพระองค์เป็นผู้เมตตาและปราณีเสมอ อัลลอฮ์ทรงยินดีเสมอ ที่ใครคนนั้นได้เตาบัตต่อพระองค์

วันเวลาได้ผ่านไป อาม้าลทุกอย่างเหมือนเขาได้เริ่มต้นใหม่ เหมือนเด็กแรกเกิด และค่อย ๆ ดีขึ้น และดีขึ้นไปเรื่อย ๆ และทุกครั้งที่ได้นึกถึงการไปเที่ยวอเมริกาในครั้งนั้น มันได้ทำให้ฉันต้องหลั่งน้ำตาทุกครั้ง

เวลาที่แม่เดินผ่านไปหน้าห้องของมูฮัมหมัด เธอจะได้ยินเสียงร้องไห้ทุกครั้ง เมื่อเวลาศุบฮ์มาถึง เธอจะได้ยินเสียงมูฮัมหมัดอ่านกุรอ่านและขอดุอาอ์เป็นประจำ

อยู่มาจนถึงวันหนึ่ง เป็นวันที่แม่ไปปลุกมูฮัมหมัด เพื่อทำการละหมาดศุบฮ์ เมื่อแม่ได้เปิดประตู แม่ได้กลิ่นหอมเข้าจมูก เป็นกลิ่นที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ในห้องที่มืดเพราะไม่เปิดไฟ แม่ก็เดินไปยังเตียงลูกชายของเธอ เพื่อปลุกเละหมาด เมื่อเธอสัมผัสเตียงแล้ว เธอสัมผัสได้แต่ผ้าปูที่นอนและหมอน แล้วเธอก็เริ่มเอะใจว่าลูกของเธอนอนอยู่ที่ไหน แล้วเธอก็หันไปมองข้างเตียง แล้วก็เห็นว่าลูกของเธอกำลังก้มสุญูดอยู่ เธอก็มองก็มองด้วยความเอะใจว่าทำไมถึงได้ก้มสูญูดนาน เธอก็เลยเรียกลูกของเธอ : มูฮัมหมัด ลูก

ลูกของเธอก็ยังไม่เงยหน้า ยังคงความนิ่งและเงียบอยู่ เมื่อผู้เป็นแม่ไปสัมผัสถึงตัวลูก ร่างที่กำลังก้มสูญูดอยู่ก็ล้มไปในที่สุด ก็เลยทำให้ผู้เป็นแม่กลั้นน้ำตาไม่ไหว เพราะเธอรู้ว่าลูกของเธอได้จากเธอไปแล้ว เขาได้จากไปในขณะที่เขากำลังก้มสูญูดอยู่ น้ำตาของแม่ก็ยิ่งพรากไหลออกมา แล้วตะโกนในคนในบ้านได้รับรู้ : ลูก ๆ ใครก็ได้ มานี่เร็ว มาดูมูฮัมหมัด เขาได้เสียชีวิตไปแล้ว เขาได้เสียชีวิตไปในขณะที่เขากำลังก้มสูญูดต่ออัลลอฮ์

แม่รู้ว่ากลิ่นหอมนั้นเป็นกลิ่นรูฮ์ (วิญญาณ) ของมูฮัมหมัดที่บริสุทธิ์ เป็นการกลับไปยังอัลลอฮ์ โดยที่พระองค์ได้ทรงพึงพอพระทัยแล้ว ฉันรักอัลลอฮ์ และฉันก็อยากไปเจอกับอัลลอฮ์ในสภาพอย่างมูฮัมหมัด

ขอแสดงความยินดีกับมูฮัมหมัด ด้วยความรักของอัลลอฮ์ และขอแสดงความยินดีด้วยการจากไปด้วยดี

ไม่ว่าเราจะทำอะไร ขอให้เรายึดมั่นอยู่ในแนวทางของอัลลอฮ์ อย่าไปทำมะอ์ซียัต อย่าคิดว่าฉันจะทำในสิ่งที่ไม่ดี แล้วค่อยมากลับตัวกลับใจ หรือเตาบัตทีหลัง เพราะคนเรา ไม่มีใครได้รับรู้เลยว่า ชีวิตของเรา จะอยู่ได้จนถึงวันไหน และจะลงเอยเช่นไร ?

.
.................................................................................
บทข้อความดีๆโดย : اشرف الخلق محمد صلى الله علية وسلم
ถอดความและเรียงคำโดย : อูลุล อัลบ๊าบ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น