อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555

อันดับหนึ่งของนักซูฟีย์คือต้องมีครู



         สิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของนักซูฟีย์ทั้งหลายคือต้องมีครู ต้องมีสื่อ(ครูมุรซีรหรือแช็ค)และมุบายิอะห์

จนมีคำกล่าวและความเชื่อในพวกกลุ่มซูฟีย์ว่า

“บุคคลใดก็ตามที่ไม่มีครู  จงรู้ไว้เถิดผู้นำทางของเขาคือชัยฎอน” 

          นักซูฟีย์ได้ให้ความหมายในซูเราะห์ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 35 “โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงเกรงกลัวอัลเลาะห์ และจงแสวงหาสื่อไปสู่อัลเลาะห์”    คำว่า “สื่อ” ในที่นี้นั้นนักซูฟีย์หมายถึง ครู และครูในที่นี้หมายถึงครูมุรซีร หรือ โต๊ะแซะห์ ผู้ที่สามารถพาเข้าใกล้ชิดอัลลอฮฺ     ครูที่จะสามารถออกมุบายิอะฮฺได้  และครูมุรซีรนั้นก็มีทั้ง “นะซับ” และ “ซัลซีละฮฺ”

- ครูนะซับ หมายถึงครูที่มีเชื้อสายต้นตระกูลมาจากท่านร่อซูล ศ็อลลอลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
- ครูซัลซีละฮฺ หมายถึงครูที่ได้รับมอบหมายให้ออกมุบายิอะฮฺได้จากครูนะซับ

           ลักษณะของครูดังกล่าวเป็นดั่งสายโซ่เชื่อมโยงสืบกันไปมา และเป็นสิ่งสำคัญมากของคนซูฟีย์  ในหมู่วงการผู้ที่นิยมแนวซูฟีย์ก็มีการออกมาตักเตือน ควรระวังกันว่า ครูมุรซีรนั้น  มีทั้งครูของจริงและของปลอม  อาจมีครูปลอม  มาแอบอ้างตน ว่ามีสืบสายนะซับ หรือ ซัลซีละฮฺ เมื่อไปรับมุบายิอะฮฺแล้วก็อาจจะได้แต่ของปลอมไป ใครที่ต้องการจะมุบายิอะฮฺกับครูคนไหนก็ควรสืบให้ดีๆ  ก็ว่ากันไป

การมุบายิอะฮฺนั้นเป็นการทำสัตยาบัน ระหว่างครูกับศิษย์ ว่าจะเป็นครูกับศิษย์กันไปตลอดทั้งดุนยาและอาคิเราะห์ ครูจะเป็นผู้ชี้แนะในการรู้จักอัลลอฮฺ เป็นสื่อกลางเชื่อมโยงไปสู่อัลลอฮฺ(วาซีตอฮฺ หรือ สื่อ) อีกทั้งจะต้องให้สัตยาบันกันว่าจะไม่ทรยศ หรือผิดสัญญากัน ต้องยะเก่นต่อครูอย่างหมดใจ ไม่มีความลับใดๆต่อครู  ไม่อนุญาติให้ปฏิเสธคำพูดของครูแม้จะมีหลักฐานมายืนยัน หรือคำพูดของครูที่ไร้สาระไม่ประเทืองปัญญาก็จะต้องถือว่าเป็นเรื่องเฉพาะที่เฉพาะทาง ต้องยอมรับอย่างศิโรราบ

           แท้จริงการให้สัตยาบันที่เจ้าของเฏาะรีเกาะฮฺสายต่างๆ จากพวกซูฟีย์ใช้ และการอนุมัติการให้สัตยาบันดังกล่าวนี้ทั้งหมดเป็นการหลงผิดที่ชัดแจ้ง ในอิสลามไม่มีการให้สัตยาบันใดๆ นอกจากการให้สัตยาบันของบรรดาเศาะหะบะฮฺต่อท่านนบี ศ็อลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม และการให้สัตยาบันของบรรดามุสลิมต่อเฆาะลีฟะฮฺของเขาเท่านั้น

Sufism

เจ้าของหนังสือ อัลอิบรีซฟีมะนากิบิชชัยค์ อับดิลอะซีซ เล่าว่า ชัยค์ของเขาคืออับดุลอะซีซ ได้เล่าเรื่องให้เขารู้ว่าศิษย์จะต้องเชื่อฟังอาจารย์อย่างไร

ลูกศิษย์คนหนึ่งได้รับใช้อาจารย์ของเขาเป้นเวลานาน โดยไม่เห็นแก่เหน้ดแก่เหนื่อยหรือเบื่อหน่าย แล้วอาจาย์ก็คิดจะถ่ายทอดหน้าที่ให้ถ้าลูกศิษย์คนนี้ผ่านการทดสอบ อาจารย์ได้กล่าวแก่ลูกศิษย์ว่า

"นี่เธอ เธอรักฉันไหม"

ลูกศิษย์ตอบว่า "ครับ รักสุดๆเลยครับ"

แล้วเธอเชื่อฟังปฏิบัติตามทุกอย่างที่ฉันใช้เธอไหม?" อาจารย์ถาม

ลูกศิษย์ตอบว่า "ครับ ผมจะปฏิบัติตามทุกอย่าง"

แล้วอาจารย์ก็บอกว่า "ถ้าฉันสั่งให้เธอไปที่บ้านพ่อของเธอ ไปฟันคอเขาแล้วเอาศีรษะของเขามาให้ฉัน เธอจะทำได้ไหม?"

ลุกศิษย์ลุกออกไปโดยไม่ได้ปริปากพูดอะไรสักคำ เขาเดินไปถึงบ้านพ่อของเขาซึ่งกำลังนอนหลับอยู่กับแม่ของเขา เขาได้ตัดศีรษะพ่อแล้ว เอาใส่ถุงหิ้วกลับมายังอาจารย์ของเขาแล้ววางมันไว้ต่อหน้าอาจารย์โดยที่ในบ้านตอนนั้นมืดสนิท

 อาจารย์ได้ถามว่า "นี่อะไรหรือ?"

ลูกศิษย์ตอบว่า "นี่คือสิ่งที่ท่านอาจารย์ใช้ให้ผมไปทำครับ"

อาจารย์กล่าวว่า "ฉันไม่ได้ใช้เธอไปทำอะไรเลยนี่"

ลูกศิษย์กล่าวว่า “คำพูดของอาจารย์สำคัญเสมอสำหรับผมไม่ใช่เรื่องล้อเล่น”

อาจารย์ถามอีกทีว่า “ไหนบอกมาที่ว่านี่คืออะไร”

ลูกศิษย์ตอบว่า “นี่คือศีรษะของพ่อผมที่ท่านอาจารย์ใช้ให้ไปฟันคอแล้วเอาศีรษะกลับมาให้ท่านครับ”
อาจารย์จึงกล่าวว่า “เจ้าฆาตกร ! เจ้าไม่กลัวอัลลอฮิดอกหรือ? เจ้าห่าพ่อของเจ้าซึ่งเป็นการทำบาปใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ ฉันไม่ได้สั่งให้เจ้าไปทำอะไรเลย ฉันเพียงแต่ถามเจ้าเพียงคำถามเดียวเท่านั้น”

ลูกศิษย์ตอบว่า “ผมบอกอาจารย์แล้วไงครับ ว่า ทุกสิ่งที่อาจารย์กล่าวผมถือเป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่ล้อเล่น”
อาจารย์จึงกล่าวว่า “ลาเหาละวะลากูวะตาอิลลาบิลลาฮฺ ไหน จุดตะเกียงแล้วเอามาให้ฉันดูหน่อย” แล้วเขาก้เอาตะเกียงมาให้และนำศีรษะนั้นออกมา ปรากฏว่ามันกลายเป็นศีรษะของนัศรอนีที่เคยเป็นเพื่อนบ้านของพวกเขามาก่อนซึ่งมันเป็นชู้กับแม่ของเขา อาจารย์จึงเปิดเผยแผ่นดินของอัลลอฮฺให้เขาได้เห็นภาพว่า คนนี้จะมาทำซินากับแม่ของเขาเวลานั้นๆ อาจารย์ต้องการที่จะยิงนัดเดียวได้นกสองตัว นกตัวหนึ่งคือลูศิษย์คนนี้ว่าสมควรได้รับมอบหน้าที่หรือไม่ และนกตัวที่สองคือสังหารนัศรอนีคนนี่ที่มาล่วงละเมิดสิ่งที่ต้องห้ามของลูกศิษย์กับพ่อของเขา ดังนั้นอาจารย์จึงถ่ายทอดหน้าที่ให้แก่ศิษย์คนนี้ ทำให้ลูกศิษย์ได้มองเห็นบัลลังก์(อัรช์) และเห็นสิ่งที่อยู่ใต้แผ่นดิน

เรื่องนี้ทำให้ได้ทราบว่าระดับการฏออะฮฺที่บรรดาปรมาจารย์ตะเศาวุฟสอนสั่งลูกศิษย์ทั้งหลาย
ไม่เป็นที่อนุมัติแก่มุสลิมคนหนึ่งคนใดที่จะฏออะฮฺมนุษย์คนไหนให้เชื่อฟังและปฏิบัติตามอย่างไร้ขอบเขตเป็นอันขาด เพราะการฏออะฮฺอย่างไร้ขอบเขตนี้จะกระทำกับใครไม่ได้ทั้งสิ้นนอกจากอัลลอฮฺและรสูลของพระองค์ เพราะอัลลอฮฺคือพระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลโลก และรสูลของพระองค์เป็นการยืนยันหรือหุจญะตุลลอฮฺต่อโลกทั้งผอง เป็นผู้ที่อัลลอฮฺทรงปกป้องคุ้มครองจากสิ่งต่างๆ ที่อัลลอฮฺไม่ได้ทรงบัญชาใช้ พระองค์อัลลฮฺตรัสว่า


وَمَا يَنطِقُ عَنِ الْهَوَىٰ ( 3 ) 

"และเขามิได้พูดตามอารมณ์"

إِنْ هُوَ إِلَّا وَحْيٌ يُوحَىٰ ( 4 ) 

"อัลกุรอานมิใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะฮีย.ที่ถูกประทานลงมา"

(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัน-นัจญ์มฺ 53:3-4)

ดังนั้นเราขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺให้พ้นจากการขาดสติและการละเมิดบัญญัติศาสนา

تصوف

ในตัลบีส อิบลีส ของหาฟิซ อินุลเญาซี และผู้แต่งหนังสือ "อัชเราะฟุสสะวานิฮฺ อัลเคาะวาญะฮฺ" อะซีซ อัลฮาซัน ซึ่งเขาเคยเป็นศิษย์คนโปรดของอัตตะฮานวี เล่าว่า

"เคยมีความคิดบางอย่างผุดขึ้นในสมองของฉันหลายครั้งว่า ฉันน่าจะเป็นผู้หญิงจะได้แต่งงานกับอาจารย์"

ความรู้สึกรักใคร่นี้มันบังเกิดขึ้นกับเขา ถึงขนาดที่ว่ามันสร้างความปราบปลื้มให้แก่เขา เขาหัวเราะ และเข้ามัสยิด โดยกล่าวว่า

"นี่คือความรักของท่านซึ่งท่านจะได้รับการตอบแทน ท่านจะได้รับการตอบแทน" (อัชเราะฟุสสะวานิฮฺ" 2/12)

ลูกศิษย์คนหนึ่งของชัยค์อัชร็อฟอะลี อัตตะฮานวี ได้เขียนถึงปรมาจารย์ของเขาดังต่อไปนี้

"แท้จริงฉันเห็นตัวฉันในความฝันว่า ทุกครั้งที่พยายามจะกล่าวกะลิมะฮฺชะฮาดะฮฺให้ถูกต้องนั้น ลิ้นของฉันมันจะกล่าวหลังคำว่า "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ" ว่า "อัชร็อฟเราะสูลุลลอฮฺเสมอ"

แล้วอัตตะฮานวีก็ตอบเรื่องนี้ว่า "แท้จริง ท่านนั้นรักฉันสุดยอดถึงระดับนี้ แล้วนี่เป็นผลของความรักอันนั้น"

ซึ่งลูกศิษย์คนนี้ก็ได้เล่าถึงการสนทนากับอัตตะฮานวี อาจารย์ของเขาว่า "แล้วฉันก็ตื่นขึ้นจากความฝัน เมื่อความผิดพลาดของกะลิมะฮฺผุดขึ้นในใจฉัน ฉันต้องการที่จะสลัดสิ่งนี้ออกจากใจฉัน ดังนั้นฉันจึงลุกขึ้นนั่งแล้วเอนไปอีกด้านหนึ่ง ฉันตั้งใจจะกล่าวว่า

"อัศเศาะลาตุ วัสสะลามุ อะลาเราะสูลิลลาฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม"

เพื่อจะได้รู้ถึงความผิดพลาดนี้ แต่ปรากฏว่าฉันกลับกล่าวว่า

"อัลลอฮุมมะ ศ็อลลิ อะลา สัยยิดินา วะนะบิยินา วะเมาลานา อัชร็อฟอะลี"

ซึ่งเวลานั้นฉันตื่นอยู่ ไม่ได้อยู่ในความฝันแล้ว แต่ฉันอยู่ในภาวะที่คับขันและถูกบังคับ ไม่สามารถควบคุมลิ้นของฉันได้เลย" ("บุรฮาน ฟิบรอยิร 195 เดลฮี หน้า 7)

คำตอบของอัตตาฮาวีก็คือ "นี่เป็นการปลอบใจให้แก่ท่านว่าผู้ที่ท่านมีใจผูกพันเลื่อมใสด้วยการช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ และการให้ความสำเร็จของพระองค์นั้น เขาเป็นผู้ปฏิบัติตามสุนนะฮฺ" (วารสาร "อุมะรออิ นิฮามะฮฺ เดือนเชาวาล ฮ.ศ.1325)

ท่านอิมามชาฟิอี กล่าวว่า
"หากว่าใครปฏิบัติตามแนวทางซูฟีย์ตั้งแต่เวลาศุบฮฺจนถึงเวลาซุฮฺรี แน่่นอนสติปัญญาของเขาไม่เหลือแล้ว"!!!!....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น