อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สิ่งใหม่ในละหมาดฟัรดูห้าเวลา



สิ่งอุตริในด้านอีบาดะฮฺที่เกี่ยวกับการละหมาดฟัรดู 5 เวลา

1. การกล่าวคำนิยัต (อย่างตั้งใจ) ตอนที่จะอาบน้ำนมาซ และตอนที่จะนมาซ การกล่าวคำนิยัตนั้นไม่ว่าจะเป็นตอนอาบน้ำนมาซหรือก่อนที่จะละหมาดนั้นล้วนเป็นบิดอะฮฺทั้งสิ้น

                2. การกล่าวตักบีรโดยการลากเสียงยาวจนถึง 12 หะรอกัต โดยในระหว่างนั้นให้นึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับการละหมาด รวมทั้งการการเกาะศอด ตะอัรรุฎ ตะอ์ยิน และอื่นๆ อีกให้พร้อมสรรพ การกระทำอย่างนี้ไม่มีปรากฎในซุนนะฮฺเลย แม้ว่าจะมีหนังสือหลายเล่มที่แต่งขึ้นในสมัยหลังๆนี้ เขียนว่าการกระทำอย่างนั้นเป็นการดีเยี่ยม

3. การที่มะมูมกล่าวตักบีรรอตุลอิห์รอมดังกว่าอีม่ามก็เป็นบิดอะฮฺเช่นกัน

                4. การอ่านกุลอะอูซูบิรอบบินนาส ก่อนกล่าวตักบีรและการกล่าวรอบบิจญ์ อัลนีมุกีมัศเศาะลาตฺ วามินซุรรียะตีจนจบอายะฮฺ

                5. การไม่กล่าวดุอาฮฺอิฟติตาห์ หลังจากตักบีรรอตุลอิห์รอม ซึ่งบรรดาผู้ที่ตามมัซฮับมาลีกีย์นิยมทำกัน
                6. การไม่กอดอกในขณะยืนนมาซ โดยปล่อยมือลงดังที่พวกที่ถือมัซฮับมาลีกีย์ทำกัน ซึ่งเกียวกับเรื่องนี้มีฮะดีษเศาะหิห์หลายบทที่กล่าวกถึงท่านนบีมูฮำมัด (ศ็อล) ว่าท่านได้กอดอกในขณะนมาซ แม้แต่ในหนังสือ มุวัฏฏออ์ ของท่านอีม่ามมาลิกก็กล่าวถึงฮะดีษที่แสดงถึงการกอดอกในขณะยืนนมาซ

                7. การทาบมือที่หน้าท้องด้านซ้าย  เพราะตามซุนนะฮิของท่นนบีให้ทาบที่หน้าอก

                8. การกล่าว อัลลอฮุมมัฆฟิรลีย์ วาลีวาลีดัยยา วาลิลมุสลีมีน หลังจากที่อ่านฟาตีฮะห์จบแล้ว ก่อนที่จะกล่าว อามีน เพาะตามซุนนะฮฺของท่านนบีมูฮำมัด (ศ็อล)ให้มะมูมนั้นกล่าวคำว่า อามีน พร้อมๆกันอีม่าม โดยก่อหน้านั้นไม่ต้องกล่าวคำอะไรเลย

                9. การอ่านอายะฮฺส่วนใดส่วนหนึ่งจากอัลกุรอานหลังจากอ่านอัลฟาตีฮะห์จบแล้ว เพราะตามซุนนะฮฺให้อ่านซูเราะฮฺใดซูเราะฮฺหนึ่งตั้งแต่ต้นจนจบ หรือจนถึงกึ่งหนึ่งของซูเราะฮฺ ใม่ใช่หยิบเอามาอ่านอายะฮฺใดอายะฮฺอายะฮิหนึ่งของซูเราะฮฺ

                ท่านนบีมูฮำมัด (ศ็อล) เคยอ่านอายฮฺเดียวหลังจากอ่นอัลฟาตีฮะห์ ในนมาซซุนนะฮฺซบฮีเท่านั้นส่วนที่ว่าผู้ใดอ่าน ซูเราะฮฺอาลัมนัสเราะฮฺ และ อาลัมตารอกัย ในนมาซซุบฮีและมัฆริบ แล้วโรคภัยไข้เจ็บจะไม่เข้าไกล้นั้นเป็นฮาด๊ษที่ไม่ถูกต้อง ตามซุนนะฮฺท่านนบี (ศ็อล) อ่านอายะฮฺ กูลูอามันนาบิลลาฮี วามา อุนซิลาอีลัยนา  จนจบอายะฮฺ ในรอกะอัตแรก ในนมาซซุนนะซุบฮี และอายะฮฺ กุลยาอะฮฺลัลกีตาบิ ตะอาเลา อิลา กาลีมาตินสาวาอิน จนจบอายะฮฺ หรือท่านนบี (ศ็อล) อ่านอายะฮฺ อัล-กาฟิรูน ในรอกะอัตแรกในนมาซดังกล่าว และอ่านซูเราะฮฺ อัล-อิคลาส ในเราะกะอัตที่สอง

                10 การอ่านกุนุต ในนมาซซุบฮี โดยสม่ำเสมอตลอดไป เพราะฮะดีษที่กล่าวถึงการอ่านกุนุตโดยตลอดไปนั้นเป็นฮาดีษที่มีหลักฐานอ่อนที่สุด ไม่มีฮะดีษเศาะหีห์บทใดที่กล่าวถึงท่านนบี (ศ็อล) ว่าท่านได้กระทำกุนุตมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้บรรดาสาวกกลุ่มหนึ่งได้กล่าวว่า การทำกุนุตโดยสม่ำเสมอตลอดไปนั้นเป็นบิดอะฮฺ และการคว่ำฝามือขณะที่อ่นถึงตอน ลายาซิลลุมันวาลัยต์ นั้นเป็นบิดอะฮฺอย่างยิ่ง
                11. การตักบีรด้วยการลากเสียงยาวตอนที่จะลงสุญูด และตอนที่จะขึ้นจากสูญุดสู่อิริยาบทยืน เพราะว่าตามซุนนะฮฺเสียงตักบีรตอนที่จะลงจากอิริยาบทยืนสู่อิริยาบทสูญูดนั้น ให้จบลงในระหว่างกึ่งกลาง และจากอิริยาบทสูญุดสู่อิริยาบทยืนนั้นก็ให้จบในระหว่างกึ่งกลางเช่นกัน

                12. การกล่าว วาบีฮัมดิฮฺ ในตัสบีห์รูกูห์ และในตัสบีห์สูญุด เพราะในฮะดีษเศาะหิห์และในฮาดีษฮาซันไม่ได้ระบุถึงการกล่าวถึงคำ วาบีฮัมดิฮิ แต่อย่างใด

                13. การเพิ่มคำว่า ซัยยีดีนา ในเศาะลาวาต หลังจากที่ได้กล่าวตะชะฮฮุดจบแล้ว ซึ่งการกล่าวเช่นนี้ไม่มีปรากฏในฮะดีษจากท่านนบี ศ็อลฯ เลย คือแทนที่จะกล่าว อัลลอฮฺฮุมมาศ็อลลีอาลามุฮำมัด กลับเพิ่มคำว่า อัลลอฮฺฮุมมาศ็อลลีอาลา ซัยยีดีนา มุฮำมัด เป็นต้น

                14. การอ่านอัสอะลุกัล-เฟาซะ บิลญันนะฮฺ หลังจากให้สลามข้างขวา หรือ การกล่าวคำว่า อะอูซูบีกามีนันนาร หลังจากให้สลามหันไปข้างซ้าย

                15. การลูบหน้าหลังจากนมาซเสร็จ ก็เป็นบิดอะฮฺเช่นกัน

                16. การกล่าวอิสติฆฟารพร้อมๆกัน ด้วยเสียงดังๆ เพราะตามซุนนะฮฺนั้นให้ต่างคนต่างอ่านอย่างเบาๆ
                17. การอ่านซุบฮานะมันลาญานาวาลายัสฮู ในสูญุดสะห์วี คือการสูญุดเนื่องจากลืมอย่างใดอย่างหนึ่งในนมาซ เพราะเรื่องนี้ไม่มีปรากฏในฮะดีษของท่นนบีมูฮำมัด (ศ็อล) นอกจากพบในฝันของซูฟีคนหนึ่งเท่านั้น

                18. นมาซซุฮฺรีหลังจากนมาซวันศุกร์ มีหลักฐานอย่างมากมายที่แสดงถึงความเป็นบิดอะฮิของการนมาซซุฮฺรี หลังจากนมาซวันศุกร์ แต่ก็มีผู้คนบางพวกที่ยังทำกันอยู่ โดยพวกเขาถือว่า การละหมาดซุฮฺรีหลังจากนมาซวันศุกร์นั้นเป็นนมาซ อิอาดะฮฺ

                19. การอ่นซุเราะฮฺ อัล- อิคลาส  ซูเราะฮฺ อัล-ฟาลัค  และซูเราะฮฺ อัน-นาส  อย่างละ 7 ครั้งหลังจากนมาซวันศุกร์นั้นก็เป็นบิดอะฮฺ ฮะดีษที่กล่าวถึงให้กระทำ อะมัล เช่นนี้เป็นฮาดีษที่อ่อนหลักฐาน  และการอ่านดูอาร์ต่อไปนี้หลังจากนมาซวันศุกร์อย่างสม่ำเสมอก็เป็นบิดอะฮฺเช่นกัน คือ อัลลอฮฺ ฮุมมายา ฆอนีนียุยาหะมีด ยามุบดิอุ ยามุอีด  อัฆนะบี บิหะลาลีกะฮฺ วะบิฟัฎลีกะฮฺ อัมมัน สิวากะ  อุลามาอฺบางท่านมีความเห็นว่า ผู้ใดอ่นดุอ่ร์ดังกล่าว 70 ครั้ง หลังจากนมาซวันศุกร์แล้ว อัลลอฮฺจะทรงให้เขาร่ำรวย  และจะทรงให้ปลดเปลื้องหนี้สินของเขา  ความเห็นแบบนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องขอหลักฐานจากเขาที่แสดงว่า ความเห็นของเขานั้นเป็นความจริง

                การอ่านกุล ฮุวัลลอฮิ  1.000 คั้งในวันศุกร์ไม่มีฮะดีษใดที่พอจะยึดถือเป็นหลักฐานได้ หะดีษที่ว่าผู้ใดอ่านซูเราะฮฺ อัล-อิคลาส กุลฮุวัลลอฮฺ 1.000 คร้ง อัลลอฮิจะทรงให้เขาปลอดภัยจากไฟนรกนั้นเป็นเป็นฮะดีษปลอมที่เล่าโดยผู้พูดเท็จ ผู้ที่เชื่อถือไม่ได้  การถือหะดีษโดยรู้ว่าผู้เล่าเป็นผู้เชื่อถือไม่ได้นั้น ถือเป็นหะรอม ที่ท่านนบีมูฮำมัด (ศ็อลฯ) ให้เราอ่านในคืนวันศุกร์ ก็คือสูเราะฮฺ อัล-อิมรอน อัล-กะฮฺฟี และศอลาวาตแด่ท่านนบี (ศ็อลฯ)ให้มาก  ตลอดจนให้อาบน้ำแต่งตัวให้สะอาด ส่งเสริมให้ใช้ของหอม แล้วให้รีบไปมัสยิด  เป็นต้น

20. การกำหนดว่าการนมาซวันศุกร์นั้นต้องนมาซในมัสยิดเท่านั้น และการกำหนดว่าถ้าผู้มานมาซไม่ครบ 40 คนจะทำนมาซวันศุกร์ (ญุมอะฮฺ) ไม่ได้-ไม่เศาะฮฺ  ทีจริงไม่มีหลักฐานใดที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างนมาซวันศุกร์กับนมาซอื่นๆ เว้นแต่ ในนมาซวันศุกร์นั้นต้องมีคุตบะฮฺเท่านั้น

21. การอ่านกุลฮุวัลลอฮิ 3 ครั้ง  ในขณะนั่ง ระหว่าง 2 คุฏบะฮฺ  ตามฮะด๊ษที่เศาะหีห์ กล่าวว่าท่านนบีมูฮำมัด (ศ็อลฯ) หยุดนั่งเพียงครู่เดียวเท่านั้นในระหว่าง 2 คุฎบะฮฺ  การกล่าวคุฎบะฮฺที่ 2  ด้วยการศอลาวาตและดุอาร์ต่อผู้นำ โดยไม่ได้บรรจุคำสอนและตักเตือน ก็เป็นบิดอะฮฺ คุฎบะฮฺของท่านนบีไม่ได้ทำในรูปแบบนี้

22. การจบคุฎบะฮฺด้วยคำว่า อุซกุรุลลอฮฺ ฮะ อัซกุรกุม หรือคำว่าเอ็นนัลลอฮิ ยะมีรุ บิลอดลีย์วัลอิฮิสาน โดยตลอดก็เป็นบิดอะฮฺ  เพราะในศตวรรษแรก ๆ เคาะฎีบจะจบคุตบะฮฺด้วยคำว่า อะกูลูเกาลีฮาซา  วัซตัฆฟิรุลลอฮฺลีวาลากุม

22. ไม่เห็นถึงความสำคัญในการละหมาดย่อ (นมาซกอซัร) ในระหว่างเดินทาง ซุนนะฮฺอันนี้ผู้คนไม่ค่อยเอาใจใส่มากนัก แม้แต่อุลามาอฺก็ไม่ค่อยบอกกล่าวให้นมาซย่อ ทั้งๆ ที่ในฮาดีษที่บันทึกโดยอีหม่าม อะฮฺมัด  อิบนุ อุมัร  ได้รายงานว่า  ท่านนบี (ศ็ฮลฯ) ได้กล่าวว่า อัลลอฮฺทรงชอบให้เรากระทำการงานที่พระองค์ทรงลดหย่อนให้ง่ายลง และตามบันทึกของอันนะสาอีย์ ท่านนบี (ศ็อลฯ) กล่าวว่า อัลลอฮิทรงใช้ให้เรานมาซ 2 รอกะอัตเท่านั้นในระหว่างเดินทาง หมาถึง นมาซที่มี 4 รอกะอัต คือ ซุฮรี อัสรี และอีซา ให้ละหมาดอย่างละ 2 รอกะอัตเท่านั้น ส่วนนมาซ ศุบฮีและมัฆริบจะละหมาดย่อไม่ได้ ใหละหมาดตามปกติ ท่านนบี (ศ็ฮลฯ) ได้กล่าวอีกว่า การนมาซย่อนั้นเป็นของที่ประทาน (ศอดาเกาะฮฺ)  จากอัลลอฮฺที่ทรงประทานให้แก่เราซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องรับ

23. การเช็ดศรีษะ  ให้ถูกส้นผมไม่กี่เส้นที่ทำวูฎุอ์  (อาบน้ำนมาซ)  เพราะว่าตามซุนนะฮิของท่านนบี (ศ็อลฯ) คือให้ลูบทั่วศรีษะ หรือลูบส่วนหนึ่งของศรีษะ หรือลูบไปบนผ้าโผกศรีษะ (ถ้าโผกผ้าสัรบันอยู่)

24. ลูบศรีษะ 3 ครั้ง เพราะว่าตามซุนนะฮฺแล้วท่านนบี  (ศ็อลฯ)  ลูบเพียงครั้งเดียวพร้อมเช็ดทั้งใบหูด้วย  โดยไม่ต้องจุมมือในน้ำอีก

25. ทำตะยัมมุมตอนลูบมือ  ลูบจนถึงข้อศอก และมือตบดิน 2  ครั้ง  ตามหะดีษเศาะเหี๊ยะฮฺ  การเอามือตบที่พื้นดิน เพื่อทำตะยัมมุมนั้นให้ตบเพียงครั้งเดียว ให้ลูบหน้าและมือจนถึงข้อศอก

26. ไม่ตอบรับอาซาน  เมื่อมุอัซซินได้ทำการอาซานดังที่ท่านนบี  (ศ็อลฯ)  ได้สั่งไว้

27. การกล่าวอาซานด้วยลีลา และทำนองสูงๆ  ต่ำๆ หรืออาซานด้วยการลากเสียงยาวๆ

28. ละทิ้งอาซานครั้งแรกในนมาซศุบหฺ  เพราะตามซุนในการนมาซซุบหฺอะซาน 2 ครั้ง อาซานครั้งแรกก่อนเข้าเวลานมาซศุบหฺเล็กน้อยอะซานครั้งนี้ให้เติมคำว่า “อัศ-เศาะลาตุค็อยรุม มินันเนาวม์”  อะซานครั้งที่ 2  เมื่อเข้าเวลานมาซแล้ว อะซานครั้งนี้ไม่ต้องกล่าวคำว่า  “อัศ-เศาะลาตุค็อยรุม มินัน เนาวม์

29. อะซานในมัสยิดวันศุกร์ต่อหน้าคอฎีบ  หรือไกล้ ๆ มิมบัรและอ่านตัรกียะฮฺ  คือ ซิกรฺ  ชฺญคอฎีบไปบนมิมบัรและกล่าวคำว่า  “อินนัลลอฮฺ ฮะวามาลาอีกาตูฮูยุศอลลูนะอาลันนบี”  จนจบ  แล้วต่อด้วยฮะดีษที่ว่า “ผู้ใดพูดจากันในขณะคอฎีบกล่าวคฎบะฮฺการนมาซของเขาสูญเปล่าไม่ได้ผลบุญอะไรเลย  ตามซนนะฮิให้อาซานที่ประตูมัสยิด หลังจากที่คอฎีบได้ให้สลามและนั่งลงบนมิมบัรแล้ว

30. การกล่าว “อามีน” ด้วยเสียงดังตอนที่คอฎีบขอดุอาอฺในคุฎบะฮฺ

31. นมาซซุนนะฮฺ “กอบลียะญุมอัต”  คือการละหมาด 2  รอกอะฮฺ  หลังจากอาซานครั้งแรก



 والله أعلم بالصوا

✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น