อิควานุลมุสลิมีน ( الإخوان المسلمين; :Muslim Brotherhood) “ขบวนการภราดรภาพมุสลิม” เป็นขบวนการอิสลามที่เคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสู่รูปแบบและแก่นแท้ของอัลกุรอานและซุนนะฮ์ ซึ่งก่อตั้งโดยท่านอิมามอัชชะฮีด หะซัน อัลบันนา (ค.ศ. 1906-1949) ผู้เขียนได้ตั้งคำถามกับตนเองว่า เหตุใดขบวนการอิควานุลมุสลิมีนในอดีตจึงมีพลังที่เข้มแข็งมากเมื่อเทียบกับยุคปัจจุบัน? หลังจากที่ได้ทำการศึกษาค้นคว้าชีวประวัติและตำราของท่านอิมามหะซัน อัลบันนา มาระยะหนึ่ง ผู้เขียนได้พบว่า ท่านอิมามหะซัน อัลบันนาและแนวทางของท่านนั้น มีความผูกพันกับวิถีซูฟีย์อย่างลึกซึ้ง ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงต้องการนำเสนอ ความเป็นซูฟีย์ของท่าน ซึ่งเป็นอีกแง่มุมหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าน่าสนใจและมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่กลับไม่ถูกกล่าวถึงเท่าใดนัก ผู้เขียนหวังว่าการค้นคว้าในเรื่องนี้จะทำให้เห็นภาพแก่นแท้ (ฮะกีกัต) ของอัลกุรอานและซุนนะฮ์ที่ขบวนการอิควานุลมุสลิมีนดั้งเดิมได้เรียกร้องไว้ อินชาอัลลอฮุ ตะอาลา
ซูฟีย์กับการกำเนิดขบวนการอิควาน
พลังอันยิ่งใหญ่ที่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนขบวนการอิควานุลมุสลิมีนนั้น คือพลังทางจิตวิญญาณที่มีความผูกพันอยู่กับอัลเลาะฮ์ตะอาลาตามแนวทางของซูฟีย์ ท่านอิมามหะซัน อัลบันนา ได้กล่าวถึงระยะหนึ่งของการดะอ์วะฮ์ของท่านว่า “รูปแบบการดะวะฮ์ในระยะนี้ คือเป็นซูฟีย์ทางด้านจิตวิญญาณ และรูปแบทหารในเชิงปฏิบัติการ” (หะซัน อัลบันนา, มั๊จญฺมูอะฮ์ร่อซาอิล อัลอิมาม อัชชะฮีด หะซัน อัลบันนา (ม.ป.ท.: ดารุลหะฎอเราะฮ์ อัลอิสลามียะฮ์. ม.ป.ป.) หน้า 362.)
ท่านสะอีด เฮาวา กล่าวไว้ในหนังสือ ตัรบียะตุนา อัรรูฮียะฮ์เช่นกันว่า “ฉันปรารถนาที่จะทำการวางเท้าของมุสลิมให้อยู่บนทางเดินสู่อัลเลาะฮ์เพื่อเขาจะได้ลิ้มรสของแก่นแท้อีหม่าน และในขณะเดียวกันนี้ ฉันปรารถนาให้มุสลิมรู้ถึงความหมายที่แท้จริงของซูฟีย์ซึ่งเป็นเป้าหมายหนึ่งของการเรียกร้องของท่านอาจารย์หะซัน อัลบันนา ร่อฮิมะฮุลลอฮ์...” (สะอีด เฮาวา, ตัรบียะตุนา อัรรูฮียะฮ์, (ไคโร: ดารุสลาม, พิมพ์ครั้งที่ 6, ค.ศ. 1999/ฮ.ศ. 1419) หน้า 14.)
แนวทางซูฟีย์ไม่มีอะไรมากไปกว่าการทำความเข้าใจหลักอิห์ซาน หรือหลักที่ว่าด้วยเรื่องจิตวิญญาณที่สร้างความผูกพันอยู่กับอัลเลาะฮ์ตะอาลา เพื่อเป็นการเติมเต็มศาสนาให้มีความสมบูรณ์อย่างเต็มรูปแบบ เพราะแนวทางที่เน้นหลักอิห์ซานเป็นพิเศษก็คือแนวทางของซูฟีย์นั่นเอง ท่านอิมามหะซัน อัลบันนาเอง ก็ตระหนักดีว่า การมีแต่หลักอิสลามและหลักอีหม่านนั้น ยังไม่ทำให้ “อัดดีน” หรือ ศาสนาที่ท่านญิบรีลนำมาสอนบรรดาศ่อฮาบะฮ์และประชาชาติของท่านนะบีย์มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมนั้นมีความสมบูรณ์ เพราะศาสนามีองค์ประกอบหลักๆ อยู่สามประการด้วยกันคือ (1) หลักอิสลาม (2) หลักอีหม่าน และ (3) หลักอิห์ซาน หากต้องการรู้หลักอิสลาม ก็ต้องกลับไปศึกษาอัลกุรอานและซุนนะฮ์ตามความเข้าใจของปราชญ์ฟิกฮ์ ถ้าหากต้องการรู้หลักอีหม่านหรือหลักอะกีดะฮ์ก็ต้องกลับไปศึกษาอัลกุรอานและซุนนะฮ์ตามความเข้าใจของปราชญ์อะกีดะฮ์ และหากต้องการรู้หลักอิห์ซาน ก็จำต้องศึกษาอัลกุรอานและซุนนะฮ์ตามความเข้าใจของปราชญ์ซูฟีย์
เฏาะรีเกาะฮ์อัศศ่อหาฟียะฮ์อัชชาซุลลียะฮ์
ท่านอิมามหะซัน อัลบันนา เล่าถึงความทรงจำของท่านว่า
“ในมัสยิดเล็กๆ แห่งหนึ่ง ฉันเห็นพี่น้องเฏาะรีเกาะฮ์อัศศ่อหาฟียะฮ์อัชชาซุลลียะฮทำการซิกรุลลอฮ์หลังจากละหมาดอีชาอฺในทุกคืน และฉันก็ไปศึกษากับชัยค์ซะฮ์รอนในช่วงเวลาระหว่างมัฆริบกับอีชาอฺเป็นประจำ...ดังนั้นวงซิกรุลลอฮ์ได้ดึงดูดฉันด้วยเสียงของการซิกรุลลอฮ์ที่มีระเบียบพร้อมเพรียง มีการอ่านบทกวีที่ไพเราะ และจิตวิญญาณที่เอ่อล้น บรรดาผู้ซิกรุลลอฮ์ที่มีเกียรติเหล่านั้นเป็นระดับชัยค์และเป็นคนหนุ่มที่มีคุณธรรม พวกเขาเหล่านั้นมีความนอบน้อมถ่อมตนกับพวกเด็กๆ ที่กระโจนเข้ามานั่งร่วมกับพวกเขาเพื่อจะได้มีส่วนร่วมในการซิกรุลลอฮ์และฉันก็หมั่นมานั่งวงซิกรุลลอฮ์ในครั้งอื่นๆ อีก
ดังนั้นฉันต้องการเชื่อมสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นระหว่างฉันกับคนหนุ่มจากพี่น้องเฏาะรีเกาะฮ์อัศศ่อหาฟียะฮ์ ซึ่งในหมู่พวกเขามี 3 แกนนำผู้อาวุโส คือ อัชชัยค์ชะละบีย์ อัรริญาล, อัชชัยค์มุฮัมมัด อะบู ชูชะฮ์, และอัชชัยค์ซัยยิดอุษมาน และบรรดาคนหนุ่มผู้มีคุณธรรมที่มีอายุใกล้เคียงกับเรานั้น ก็มี มุฮัมมัด อะฟันดีย์ อัดดิมยาฏีย์, ศอวีย์ อะฟันดีย์ อัศศอวีย์, อับดุลมุตะอาล อะฟันดีย์ ซังกัล, และพี่น้องคนอื่นๆ
ในการรวมกลุ่มที่จำเริญนี้ ฉันได้พบกับอาจารย์อะห์มัด อัซซุกรีย์ เป็นครั้งแรก และการพบกันครั้งนี้มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งในการดำเนินชีวิตของพวกเราทุกคน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาท่านได้ทำให้ชื่อของท่านอัชชัยค์ หัสนัยน์ อัศศ่อหาฟีย์ วนเวียนอยู่ในหูของฉันตลอดเวลา ชื่อของอัชชัยค์อัศศ่อหาฟีย์มีความงดงามที่อยู่ในเบื้องลึกของหัวใจ มีการนึกถึง และคะนึงหาอยากที่จะเห็นท่าน นั่งร่วมกับท่าน และเอาความรู้จากท่านเพื่อฟื้นฟูจิตใจครั้งแล้วครั้งเล่า” (หะซัน อัลบันนา, มุซักกิร็อต อัดดะอฺวะฮ์ วัดดาอียะฮ์ (มิศร์: ดารุลกิตาบ อัลอะร่อบีย์, ม.ป.ป.) , หน้า 10-11)
สาเหตุที่ท่านเลือกซูฟีย์สายอัศศ่อหาฟียะฮ์อัชชาซุลียะฮ์
ก่อนที่ท่านอิมามหะซัน อัลบันนา จะเข้ามาอยู่ในแนวทางของซูฟีย์นั้น ท่านจะทำการอ่านวิริดของท่านอิมามซัรรูก (ปราชญ์ตะเซาวุฟท่านหนึ่งของสายอัชชาซุลลีย์) ทั้งเช้าเย็น ซึ่งเป็นวิริดที่ส่วนมากแล้วจะมีบรรดาอายะฮ์อัลกุรอานและฮะดีษต่างๆ ที่เป็นดุอาให้อ่านเช้าและเย็น (ดู มุซักกิร็อต, หน้า 11)
ในระหว่างนั้นท่านอิมามหะซัน อัลบันนา ได้รับหนังสือมาเล่มหนึ่ง ชื่อ “อัลมันฮัล อัศศอฟีย์ ฟี มะนากิบ หัสนัยน์ อัศเศาะห์หาฟีย์” (แหล่งน้ำที่บริสุทธิ์ในบรรดาคุณความดีของท่านหัสนัยน์ อัศเศาะห์หาฟีย์) ซึ่งท่านชัยค์ หัสนัยน์ อัศเศาะห์หาฟีย์นั้น เป็นครูคนแรกและเป็นบิดาของท่าน อัซซัยยิด อับดุลวะฮ์ฮาบ อัศเศาะห์หาฟีย์ ซึ่งท่านชัยค์ หัสนัยน์ อัศเศาะหาฟีย์นั้นท่านหะซัน อัลบันนาไม่เคยเห็น เพราะท่านเสียชีวิตในวันพฤหัสบดี ที่ 17 เดือนญะมาดิลอาคิร ฮ.ศ. 1328 ขณะที่ท่านหะซัน อัลบันนา อายุได้ 14 ปีเท่านั้นเอง
เมื่อท่านหะซัน อัลบันนา อ่านหนังสือดังกล่าว ท่านพบว่าท่านชัยค์ หัสนัยน์ อัศ-เศาะห์หาฟีย์ เป็นอุลามาอฺอัซฮัร ชำนาญในฟิกห์มัซฮับชาฟิอีย์ และทำการศึกษาวิชาการแขนงต่างๆ อย่างกว้างขวาง หลังจากนั้นท่านได้ศึกษากับบรรดาอุลามาอฺหลายท่านในยุคนั้น ท่านมีความหมั่นเพียรและเอาจริงเอาจังในการปฏิบัติอะมัลอิบาดะฮ์ ซิกรุลลอฮ์ และหมั่นทำการฎออัตอย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งท่านทำฮัจญ์และอุมเราะฮ์หลายครั้ง บรรดามิตรสหายและสานุศิษย์ของท่านเคยกล่าวว่า พวกเราไม่เคยเห็นผู้ใดที่มีความเข้มแข็งในการฎออัตต่ออัลเลาะฮ์ ปฏิบัติอิบาดะฮ์ที่เป็นฟัรดูและสุนัตต่างๆ ยิ่งกว่าไปท่านชัยค์หัสนัยน์ อัศเศาะห์หาฟีย์ แม้กระทั่งในช่วงท้ายชีวิตของท่านก็ตาม
ท่านชัยค์หัสนัยน์ อัศเศาะห์หาฟีย์ได้เคยเรียกร้องไปสู่อัลเลาะฮ์ด้วยวิธีการของปราชญ์ซูฟีย์ ที่ทำให้เกิดความเจริดจรัสและมีรัศมี ท่านเรียกร้องไปสู่อัลเลาะฮ์ด้วยหลักการที่ปลอดภัยและเที่ยงตรง และการเรียกร้องของท่านนั้นอยู่บนพื้นฐานของความรู้ มีการเรียนการสอน สอนวิชาฟิกฮ์ เน้นอิบาดะฮ์ ซิกรุลลอฮ์ กำชับให้กระทำความดีและยับยั้งความชั่ว ต่อสู้กับบิดอะฮ์ และความเหลวไหลต่างๆ ที่มีอยู่ในชาวเฏาะรีเกาะฮ์ที่ท่านเชื่อว่าขัดกับอัลกุรอานและซุนนะฮ์. (ดู มุซั๊กกิร็อต, หน้า 11-12) .
ด้วยเหตุนี้ ท่านหะซัน อัลบันนาจึงประทับใจการทำงานศาสนาของท่านชัยค์หัสนัยน์ อัศเศาะห์หาฟีย์ แต่ต้นไม้ที่เจริญเติบโตเองโดยไม่มีผู้คอยดูแลและรดน้ำพรวนดินนั้น มันจะแตกหน่อแตกใบแต่อาจจะไม่ออกผล
การรับบัยอะฮ์คือการให้สัตยาบันระหว่างศิษย์กับชัยค์ผู้ชี้นำว่าจะปฏิบัติตามกิตา
บุลลอฮ์และซุนนะฮ์ของท่านนะบีย์มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มีซิกรุลลอฮ์หรือวิริดและหมั่นเพียรในการปฏิบัติอะมัลอิบาดะฮ์เพื่อให้ผู้รับบัยอะฮ์นั้นเปลี่ยนแปลงจากชีวิตที่ลืมอัลเลาะฮ์ไปสู่การเตาบะฮ์ ตรวจสอบตนเอง และมุ่งหน้าเข้าหาอัลเลาะฮ์ตะอาลา นอกเหนือจากนั้นยังมีการสอนกะลิมะฮ์เตาฮีด “ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์” เพื่อเป็นการตอกย้ำโดยมีสะนัดหรือซัลซิละฮ์ (สายสืบ) ถึงท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดังนั้นการบัยอะฮ์จึงเป็นการเชื่อมกับท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมทางด้านจิตวิญญาณโดยผ่านทางสะนัดหรือซัลซิละฮ์ (สายสืบ) นั่นเอง
ท่านชัยค์ สะอีด เฮาวา ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “เราเห็นว่าการรับบัยอะฮ์จากนักดาอีย์ที่มีความสมบูรณ์นั้นย่อมเป็นบะร่อกะฮ์แก่ผู้ที่ให้และผู้ที่รับ เพราะการรับบัยอะฮ์นั้นเป็นการฟื้นฟูปณิธานความมุ่งมั่น (ในการเข้าหาอัลเลาะฮ์) และเชื่อมทางด้านจิตวิญญาณ...” (สะอีด เฮาวา, ฆ่อซาอฺ อัลอุบูดียะฮ์, อัชชะบะกะฮ์ อัดดะอ์วียะฮ์ [www.daawa-info.net] หน้า 7)
ดังนั้นท่านอิมามหะซันอัลบันนาได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของด้านจิตวิญญาณนี้ ท่านเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการรับบัยอะฮ์ซูฟีย์ของท่านว่า
“จิตใจของฉันยังคงผูกพันอยู่กับท่านชัยค์หัสนัยน์ อัศศ่อหาฟีย์ ร่อหิมะฮุลลอฮ์ จนกระทั่งฉันได้ไปที่สถาบันอัลมุอัลลิมีน อัลเอาวะลียะฮ์ ที่จังหวัดดะมันฮูร ซึ่ง (ปัจจุบัน) เป็นที่ฝังศพของท่านชัยค์หัสนัยน์ อัศศ่อหาฟีย์ และที่นั่นมีโครงเสาของมัสยิดที่ยังสร้างไม่เสร็จ ซึ่งต่อมาได้สร้างจนเสร็จมีชื่อว่า มัสยิด อัตเตาบะฮ์ ฉันได้เข้าไปนั่งล้อมวงซิกรุลลอฮ์ในมัสยิดแห่งนี้เป็นประจำทุกคืน และฉันก็ได้ถามถึงแกนนำของหมู่พี่น้องในมัสยิดนั้น ฉันจึงรู้ว่าเขาคือบุรุษผู้มีคุณธรรมมีนามว่า ชัยค์ บัสยูนีย์ ซึ่งเป็นพ่อค้า ดังนั้นฉันจึงมีความปรารถนาที่จะรับบัยอะฮ์กับเขา แล้วเขาก็อนุญาตและสัญญากับฉันว่า จะแนะนำฉันให้รู้จักกับ อัซซัยิด อับดุลวะฮ์ฮาบ (บุตรของท่านชัยค์ หัสนัยน์ อัศเศาะห์หาฟีย์) ในตอนที่เขามาถึง ซึ่งในช่วงเวลานี้ฉันยังไม่เคยรับบัยอะฮ์เฏาะรีเกาะฮ์ซูฟีย์อย่างเป็นทางการกับผู้ใดเลยแต่ฉันมีความชื่นชอบ
และเมื่อท่านอัซซัยยิด อับดุลวะฮ์ฮาบ – ขออัลเลาะฮ์ทรงให้ได้รับคุณประโยชน์จากเขาด้วยเถิด- มาถึงที่จังหวัดดะมันฮูร บรรดาพี่น้องก็บอกให้ฉันทราบ ฉันรู้สึกดีใจอย่างยิ่งสำหรับข่าวนี้ ดังนั้นฉันจึงไปหาท่านอัชชัยค์ บัสยูนีย์ โดยมีความหวังว่าจะให้เขานำฉันไปพบท่านอัซซัยิด อับดุลวะฮ์ฮาบ แล้วอัชชัยค์บัสยูนีย์ก็ทำตามที่ฉันหวังไว้ และในช่วงเวลาดังกล่าวคือหลังละหมาดอัสริ ของวันที่ 4 เดือนร่อมะฎอน ปีฮิจญฺเราะฮ์ที่ 1342 หากฉันจำไม่ผิด ก็ตรงกับวันอาทิตย์ ฉันได้รับบัยอะฮ์เฏาะรีเกาะฮ์อัศศ่อหาฟียะฮ์ อัชชาซุลลียะฮ์ กับท่านอัซซัยยิด อับดุลวะฮ์ฮาบ และเขาได้มอบบรรดาวิริดต่างๆ ของเฏาะรีเกาะฮ์ อัศ-ศ่อหาฟียะฮ์ อัชชาซุลลียะฮ์ ให้แก่ฉันและสิ่งที่ต้องอ่านประจำวัน” (มุซักกิร็อต, หน้า 14-15) .
การที่ท่านอิมามหะซัน อัลบันนา ได้เข้ามาอยู่ในแนวทางของซูฟีย์บริสุทธิ์นั้น เป็นการเติมเต็มในภารกิจการทำงานศาสนาของอัลเลาะฮ์ จิตวิญญาณที่มีความเข้มเข็งและผูกพันอยู่กับพระองค์นั้น ย่อมเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่อัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ทรงหยิบยื่นให้สำหรับภารกิจสำคัญเพื่อเรียกร้องหัวใจของผู้คนทั้งหลายให้กลับไปสู่พระองค์
แนวทางซูฟีย์กับการขับเคลื่อนขบวนการอิควานฯ
การทำงานศาสนาตามหลักการอิสลามนั้นมิใช่มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้คนมากมายยอมรับและเข้ามาอยู่ร่วมอุดมการณ์ แต่การทำงานศาสนาในอิสลามคือมีเป้าหมายให้อัลเลาะฮ์ตาอาลาทรงตอบรับ แม้ว่าจะมีผู้คนยอมรับน้อยก็ตาม เนื่องจากการทำงานศาสนาที่อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงยอมรับ ก็คือการทำงานที่ไม่มีจิตหรืออารมณ์ใฝ่ต่ำเข้ามามีส่วนร่วมนั่นเอง
ดังนั้นการลุกขึ้นมาทำภารกิจในด้านศาสนานั้น จำเป็นต้องมีการบ่มเพาะจิตใจในระยะแรกก่อนที่จะลงภาคสนามและเป็นที่รู้จักในสังคม เพราะฉะนั้นการทุ่มเทความพยายามในการฝังบ่มเพาะและขัดเกลาจิตใจให้มีความผูกพันกับอัลเลาะฮ์และบริสุทธิ์จากความมัวหมองของดุนยานั้น ก็เพื่อให้ปณิธานความมุ่งมั่นในการทำงานศาสนามีความสูงส่งและอยู่บนแนวทางที่ดีงามตามทัศนะของอัลเลาะฮ์ตะอาลา
การขัดเกลาอบรมบ่มจิตใจในตัวของมนุษย์นั้นเปรียบเสมือนกับการปลูกต้นไม้ หากเมล็ดพันธุ์ที่ต้องการเพาะปลูกนั้นได้ถูกโยนลงบนผืนดินโดยไม่ได้ฝัง ถูกปล่อยทิ้งไว้กลางแจ้งท่ามกลางดินและกรวดทราย แสงอาทิตย์อันร้อนระอุได้สาดส่องลงมาและหมู่เมฆฝนได้แวะเวียนผ่านมายังมันวันแล้ววันเล่า เมล็ดพันธุ์นั้นย่อมตายไปในที่สุด หนทางที่จะให้เมล็ดพืชเจริญงอกงามนั้น ก็คือการนำไปฝังในดินที่ชื้นและปล่อยทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง มันก็จะเกิดปฏิกิริยาและเจริญงอกงาม หลังจากนั้นอัลเลาะห์ตะอะลาก็ให้มันผลิหน่อแตกใบ มีลำต้นขึ้นชูตระหง่านสู่ภาคพื้นดินและออกผลให้ประโยชน์แก่มวลมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
การทำงานขบวนการอิควานุลมุสลิมีนในยุคแรก ก็อยู่ในวิถีทางนี้ ดังที่ท่านหะซัน อัลบันนา ได้กล่าวว่า “และท่านสามารถที่จะกล่าวโดยไม่เป็นความผิดแต่ประการใดว่า แท้จริงอิควานุลมิสลิมีนนั้น เรียกร้องสู่แนวทางสะลัฟ... ตามแนวทางซุนนะฮ์... และฮะกีกัตซูฟีย์ เพราะอิควานุลมุสลิมีนรู้ว่า รากฐานของความดีงามนั้น คือจิตใจมีความสะอาดและหัวใจมีความบริสุทธิ์ หมั่นปฏิบัติอะมัลอิบาดะฮ์ (จิตใจ) หลีกห่างจากมัคโลค มีความรักในอัลเลาะฮ์ และผูกพันกับความดีงาม...” (ดู มั๊จญฺมูอะฮ์ร่อซาอิล หะซัน อัลบันนา, หน้า 122) .
ความสำคัญของแนวทางซูฟีย์ตามทัศนะของท่านอิมามหะซัน อัลบันนา
ท่านหะซัน อัลบันนา กล่าวว่า
“ในขณะที่อาณาจักรอิสลามได้เจริญรุ่งเรืองในศตวรรษแรก บรรดาเมืองต่างๆ ถูกเปิด ดุนยาได้หันหน้าเข้าหาบรรดามุสลิมีนในทุกย่อมหญ้า... หลังจากนั้นค่อลีฟะฮ์ของพวกเขาได้กล่าวกับเมฆในท้องฟ้าว่า เจ้าจงไปทางทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตกซิ แล้วสถานที่ใดที่หยดน้ำฝนของเจ้าตก ก็จงเก็บภาษีมาให้ฉันด้วย โดยธรรมชาติแล้วพวกเขาจะหันหน้าให้กับดุนยาแห่งนี้ เพื่อหาความสุข ลิ้มรสความหวานชื่นและความสุขสบายของดุนยา ซึ่งบางเวลาก็อยู่ในความพอดีแต่บางเวลาอยู่ในความสุลุ่ยสุร่าย ดังนั้นธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากการดำเนินชีวิตที่เคยยากลำบากในสมัยของท่านนะบีย์อันเจริดจรัสไปสู่ชีวิตที่มีความสุขสบายในภายหลัง ก็มีบรรดาปราชญ์ผู้ทรงคุณธรรมได้เรียกร้องมนุษย์ทั้งหลายให้มีความสมถะในความสุขของดุนยาที่ไม่จีรังนี้ และพวกเขาก็พยายามเตือนให้ผู้คนทั้งหลายระลึกถึงสิ่งที่พวกเขาจะได้รับในโลกอาคิเราะฮ์ที่จีรัง “และแท้จริงที่พำนักวันอาคิเราะฮ์นั้น คือชีวิต(ที่แท้จริง)หากพวกเขารู้” [อัลอังกะบูต: 64] และปราชญ์ที่เป็นที่รู้จักในระดับต้นๆ ที่ได้ทำการเรียกร้องนี้ คือท่านอิมาม อัลหะซัน อัลบัศรีย์และบรรดาปราชญ์ผู้มีคุณธรรมที่เจริญรอยตามท่านอัลหะซัน อัลบัสรีย์ในการเรียกร้องบนวิถีดังกล่าว ดังนั้นปราชญ์กลุ่มนี้จึงเป็นที่รู้จักในด้านการเรียกร้องสู่การซิกรุลลอฮ์ ระลึกถึงวันอาคิเราะฮ์ มีความสมถะต่อโลกดุนยา ขัดเกลาจิตใจให้มีการภักดีต่ออัลเลาะฮ์และมีความตักวาต่อพระองค์
และข้อเท็จจริงอันนี้ก็คือสิ่งที่ได้เคยเกิดขึ้นพร้อมกับข้อเท็จจริงในวิชาแขนงอื่นๆ ของอิสลาม ดังนั้นข้อเท็จจริงดังกล่าวทำให้เกิดรูปแบบทางวิชาการที่วางระบบพฤติกรรมของมนุษย์และวางแนวทางในการดำเนินชีวิตให้แก่พวกเขาเป็นการเฉพาะ คือช่วงระยะการหมั่นซิกรุลลอฮ์ การทำอิบาดะฮ์ การรู้จักอัลเลาะฮ์ และสุดท้ายก็คือการไปสู่สวรรค์และความพึงพอพระทัยของอัลเลาะฮ์ตะอาลา
และวิชาตะเซาวุฟนี้ มีชื่อเรียกอีกว่า วิชา “อัตตัรบียะฮ์วัสสุลู๊ก” ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่า วิชาตะเซาวุฟนั้นเป็นแก่นของอิสลาม และไม่สงสัยเลยว่าชาวซูฟีย์นั้นพวกเขาได้บรรลุถึงขั้นระดับของการรักษาและเยียวยาจิตใจแล้ว ซึ่งผู้อื่นจากพวกเขาไม่สามารถไปถึงได้...” (ดู มุซักกิร็อต, หน้า 16-17)
ดังนั้นการทำงานศาสนา โดยแสวงหาประโยชน์ทางดุนยาและลืมอัลเลาะฮ์ตะอาลานั้น ย่อมไม่บังควรอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ลืมเป้าหมายที่แท้จริง ท่านอิมามหะซัน อัลบันนา กล่าวว่า “ท่านจงมุรอเกาะบะฮ์อยู่กับอัลเลาะฮ์(คือมีความรู้สึกว่าอัลเลาะฮ์ตะอาลากำลังมองและเห็นท่าน)อย่างสม่ำเสมอ และให้ท่านระลึกถึงอาคิเราะฮ์และจงเตรียมพร้อม และจงฟันฝ่าช่วงระยะการเดินทางไปสู่ความพึงพอพระทัยของอัลเลาะฮ์ตะอาลา ด้วยปณิธานอันมุ่งมั่น และท่านจงสร้างความใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮ์ด้วยการปฏิบัติอิบาดะฮ์ที่เป็นสุนัตให้มากๆ เช่น การละหมาดยามค่ำคืน การถือศีลอด 3 วันข้างขึ้นของทุกเดือนเป็นอย่างน้อย ทำการซิกรุลลอฮ์ด้วยหัวใจและลิ้นให้มากๆ และพยายามขอดุอาในขณะปฏิบัติอะมัลดังกล่าวในทุกๆ สภาวการณ์” (มั๊จญฺมูอะฮ์ร่อซาอิล หะซัน อัลบันนา, หน้า 367-368)
ดังนั้นการทำภารกิจใดก็ตาม หากมีเป้าหมายคืออัลเลาะฮ์ ย่อมเป็นการงานที่ถูกตอบรับและได้รับการช่วยเหลือจากพระองค์ ดังที่ท่านอิมามหะซัน อัลบันนา กล่าวว่า
“เราอิควานุลมุสลิมีน ได้เรียกร้องจากทุกหัวใจของเราทุกคนว่า “อัลเลาะฮ์คือเป้าหมายของเรา” ดังนั้นเป้าหมายแรกของการเรียกร้องนี้ คือให้มนุษย์รำลึกถึงการเชื่อมสัมพันธ์อันใหม่นี้ที่จะทำให้พวกเขามีความผูกพันกับอัลเลาะฮ์ และหากพวกเขาลืมการเชื่อมสัมพันธ์(ที่ทำให้พวกเขาผูกพันกับอัลเลาะฮ์)นี้ อัลเลาะฮ์ตะอาลาก็จะให้พวกเขาลืม(เป้าหมาย)ของพวกเขาเอง พระองค์ทรงตรัสว่า
“โอ้บรรดามนุษย์ทั้งหลาย พวกเจ้าสักการะพระเจ้าของพวกเจ้าเถิด ผู้ทรงสร้างพวกเจ้าและบรรดาผู้อยู่ก่อนหน้าพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้านั้นจะมีความยำเกรง” [อัลบะเกาะเราะฮ์: 21] และเป้าหมายแรกนี้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ก็คือกุญแจดอกแรกสำหรับปลดล็อกปัญหาต่างๆ ของมนุษย์...” (มั๊จญฺมูอะฮ์ร่อซาอิล หะซัน อัลบันนา, หน้า 226)
การซิกรุลลอฮ์เป็นญะมาอะฮ์ เป็นปัจจัยหนึ่งที่สร้างพลังในการทำงานอิสลาม ท่านอิมามหะซัน อัลบันนา กล่าวว่า
“ได้มีฮะดีษต่างๆ บอกให้รู้ว่าศาสนาส่งเสริมให้ทำการรวมกลุ่มกันซิกรุลลอฮ์ มีฮะดีษที่รายงานโดยมุสลิม ได้ระบุว่า ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ไม่มีชนกลุ่มหนึ่งได้ทำการนั่งซิกรุลลอฮ์ เว้นแต่บรรดามะลาอิกะฮ์จะห้อมล้อมพวกเขา ความเมตตา(จากอัลเลาะฮ์)แผ่คลุมพวกเขา และความสงบมั่น(อยู่กับอัลเลาะฮ์)ได้ลงมาที่(หัวใจ)ของพวกเขา และอัลเลาะฮ์ได้เอ่ยนามพวกเขาใน(มะลาอิกะฮ์)ผู้อยู่ ณ ที่พระองค์”
และมีบรรดาฮะดีษอีกมากมายที่ท่านจะเห็นได้ว่า ท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมนั้นได้ออกไปหาซอฮาบะฮ์กลุ่มหนึ่งที่พวกเขากำลังซิกรุลลอฮ์ในมัสยิด แล้วท่านนะบีย์ก็แจ้งข่าวดีแก่พวกเขาและไม่ทำการตำหนิแต่อย่างใด ดังนั้นการรวมกลุ่มในการทำความดีจึงเป็นสิ่งที่ได้รับการส่งเสริมในตัวของมันเองอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีประโยชน์มากมายติดตามมา เช่น ทำให้เกิดการประสานระหว่างบรรดาหัวใจ ทำให้มีความผูกสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้น ใช้ช่วงเวลาต่างๆ ในสิ่งที่มีประโยชน์ ได้สอนคนที่ร่ำเรียนน้อยได้เข้าใจ และเชิดชูเอกลักษณ์ศาสนาของอัลเลาะฮ์ตะอาลา” (หะซัน อัลบันนา, มั๊จญฺมูอะฮ์ร่อซาอิล หะซัน อัล-บันนา (ม.ป.ท. ดารุชชิฮาบ, ม.ป.ป.), หน้า 340)
ท่านอัลลามะฮ์ สะอีด เฮาวา ได้กล่าวถึงแนวทางซูฟีย์ที่เป็นปัจจัยสำคัญของขบวนการเคลื่อนไหวอิสลามว่า “แท้จริง 90 เปอร์เซ็น ในหลายศตวรรษที่ผ่านมาของประชาชาติอิสลามนั้น ล้วนมีความเกี่ยวพันกับตะเซาวุฟและปราชญ์ตะเซาวุฟ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบหนึ่งรูปแบบใดก็ตาม เช่น อยู่ในรูปแบบของการให้ความสำคัญกับตะเซาวุฟ หรือเป็นลูกศิษย์กับปราชญ์ตะเซาวุฟ หรือมีการเชื่อมสัมพันธ์กับพวกเขา หรือเข้าสังกัดอยู่ในแนวทางของพวกเขา ดังนั้นวิชาตะเซาวุฟและปราชญ์ตะเซาวุฟจึงยังคงอยู่จวบถึงปัจจุบัน ซึ่งพวกเขาสามารถเข้าถึงพื้นที่ต่างๆ ที่ผู้อื่นไม่สามารถเข้าถึงได้...เพราะฉะนั้นขบวนการเคลื่อนไหวอิสลามในยุคใหม่ ต้องถูกกำหนดให้เป็นการเคลื่อนไหวในเชิงฟื้นฟูที่มีความจำเป็น - ซึ่งหนึ่งในคุณลักษณะพิเศษของการเคลื่อนไหวดั้งเดิมนั้น คือมีแก่นแท้ของซูฟีย์ เหมือนกับที่ ท่านอาจารย์ หะซัน อัลบันนา นักเคลื่อนไหวอิสลามผู้อาวุโสที่สุดได้กล่าวเอาไว้ – จากการที่ต้องเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วทำการฟื้นฟูเพื่อหวนกลับไปสู่บรรดารากฐานที่ถูกต้องและบริสุทธิ์” (ตัรบียะตุนา อัรรูฮียะฮ์, หน้า 8, 14)
แต่ท่านผู้อ่านโปรดเข้าใจว่าแนวทางซูฟีย์ของท่านหะซัน อัลบันนานั้นอยู่ในแนวทางปฏิรูปบนหลักของอัลกุรอานและซุนนะฮ์และสอดคล้องกับทั้งสอง เน้นปรับปรุงและขัดเกลาจากภายในจิตวิญญาณ หลังจากนั้นก็ขัดเกลาสังคม ขัดเกลาเศรษฐกิจ ขัดเกลาการเมือง และถ้าหากท่านผู้อ่านทำการศึกษาการทำงานศาสนาของท่านหะซัน อัลบันนา จากตำราต่างๆ ที่ท่านได้เขียนนั้น ก็จะพบว่าท่านมีรูปแบบการทำงานที่หัวใจมีอัลเลาะฮ์ และมีความเป็นกลางไม่หย่อนยานและตึงจนเกินไป การทำงานของท่านจะอยู่ในรูปแบบที่มีความเป็นธรรมอย่างสร้างสรรค์มิใช่ทำลาย และสร้างความเป็นเอกภาพ (วะห์ดะฮ์) ไม่ใช่สร้างฟิตนะฮ์ให้เกิดขึ้นในประชาชาติมุสลิม เพราะท่านทำงานศาสนาโดยมีเป้าหมายที่อัลเลาะฮ์มิใช่เพื่อแนวทางของตนเอง
ด้วยเหตุนี้เอง ท่านอัลลามะฮ์ อัซซัยยิด อะบุลหะซัน อันนัดวีย์ จึงกล่าวเกี่ยวกับท่านหะซัน อัลบันนาว่า “บุคลิกของผู้ก่อตั้งและแกนนำคนแรกของอิควานุลมุสลิมีนนั้นมีความเข้มแข็งและน่าหลงใหลซึ่งรวมไว้หลายด้านด้วยกัน เขาเป็นนักกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง มีความพยายามอย่างไม่ลดละ มีปณิธานอันมุ่งมั่นที่ความเบื่อหน่ายไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงได้ เป็นความหวังที่ไม่ดับแสง เป็นทหารที่อดหลับอดนอนอยู่ชายแดนอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย และเบื้องหลังของทุกๆ ความพิเศษและความโดดเด่นเหล่านี้ คือปัจจัยอันเข้มแข็งที่จะละเลยเสียไม่ได้ ก็คือการขัดเกลาจิตวิญญาณของท่าน ที่ดำเนินตามแนวทางตะเซาวุฟ และหมั่นฝึกฝน ซึ่งในตอนเริ่มภารกิจของท่านหะซันอัลบันนา ตามที่ท่านได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า ท่านอยู่ในสายเฏาะรีเกาะฮ์อัศศ่อหาฟียะฮ์ อัชชาซุลลียะฮ์ โดยท่านทำการมุ่งเน้นซิกรุลลอฮ์ตามแนวทางของเฏาะรีเกาะฮ์อัศศ่อหาฟียะฮ์ อัชชาซุลลียะฮ์ และทำอย่างสม่ำเสมอในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งบรรดาผู้อาวุโสและมิตรสหายใกล้ชิดของท่านหะซันอัลบันนาได้พูดให้ฉันฟังว่า ท่านหะซัน อัลบันนานั้นยังคงยึดวิริดของเฏาะรีเกาะฮ์ อัศศ่อหาฟียะฮ์ อัชชาซุลลียะฮ์นี้ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของชีวิตและแม้ในช่วงที่มีภารกิจติดพัน” (อะบุลหะซัน อันนัดวีย์, อัตตัฟซีร อัสสิยาซีย์ ลิลอิสลาม (ดารุ อาฟ๊าก อัลฆ่อด์, ม.ป.ป.), หน้า 130-131)
ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1949 ท่านอิมามหะซัน อัลบันนา ตายชะฮีดโดยถูกลอบสังหารในขณะที่ท่านอยู่ในการญิฮาดเพื่ออัลเลาะฮ์ตะอาลา ภารกิจของท่านหะซัน อัลบันนาเสร็จสิ้นแล้ว แต่เป้าหมายและอุดุมการณ์ของท่านยังอยู่ ท่านมุห์ซิน มุฮัมมัดได้เขียนไว้ว่า “มีรายงานจากหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษระบุว่า แท้จริง สาเหตุประการหนึ่งที่กลุ่มอิควานได้ขยายอย่างรวดเร็วคือการหวนกลับไปยังรูปแบบการดำเนินชีวิตที่สมถะและเคร่งครัดของหะซัน อัลบันนา ในฐานะมุสลิม(ธรรมดา)คนหนึ่ง(ที่ไม่ถือยศถือเกียรติแต่อย่างใด)” (ดู มุห์ซิน มุฮัมมัด อัศเศาะห์หาฟีย์, มันก่อต่าล่า หะสัน อัลบันนา [(ใครสังหารหะซันอัลบันา?] (โคโร: ดารุ อัชชุรูก, พิมพ์ครั้งที่ 2, ค.ศ. 1987/ฮ.ศ. 1407), หน้า 9)
และท่านมุห์ซิน มุฮัมมัดได้กล่าวในหน้าเดียวกันว่า “ผู้คนได้พบในรถแท็กซี่ที่นำท่านหะซัน อัลบันนาไปส่งที่โรงพยาบาลก็อสรุลอัยน์ในครั้งสุดท้ายนั้น มีเพียงลูกตัสบีห์ราคาถูก 99 เม็ด!”
โดย... อบูมุฮัมมัด อัลอัซฮะรีย์
http://www.alkudawah.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น