อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การเชิญชวนกระทำความดีต้องพร้อมกับห้ามปรามความชั่ว



               การศรัทธาต่ออัลกุรอานเพียงบางส่วนและปฏิเสธบางส่วนถือเป็นบางส่วนถือเป็นเป็นการปฏิเสธ(กุฟุร) อย่างเงียบๆ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงความชั่วของพวกเขาเป็นที่ต้องห้าม ยิ่งกว่านั้นพวกเขาอ้างว่ากำชับให้ทำความดี แต่กลับไม่ได้ห้ามปรามการทำความชั่ว หัวหน้าคนหนึ่งของพวกเขาเล่าว่าเขาได้พำนักอยู่วันหนึ่งกับคืนหนึ่งในกระโจมที่มีการสักการะอื่นจากอัลลอฮฺ และเขาได้ละหมาด 5 เวลา ในสถานที่นั้น ทั้งๆ ที่เขารู้ว่ามีหะดิษที่รายงานโดยท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎียัลลอฮุอันฮา ว่า

“ท่านรสูลุลลอฮฺ  ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะวัลลัม สอนว่า
“อัลลอฮฺทรงประณามสาปแช่งพวกยะฮูดี และนัศรอนี พวกเขายึดเอาสุสานของบรรดานบีของพวกเขาเป็นมัสยิด" (บันทึกหะดิษโดยบุคอรี และมุสลิม)

ท่านรสูลุลลอฮฺ  ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะวัลลัมเตือนถึงสิ่งที่พวกเขากระทำ หากไม่ห้ามไว้อย่างนั้นแล้ว แน่นอนกุบูรของพวกท่านนบี จะต้องถูกทำให้โดดเด่นขึ้นมาแล้ว ถ้ามิใช่เพราะท่านเกรงว่ามันจะถูกยึดเป็นมัสยิดไปด้วย

รานงานจากท่านอุมมุหะบีบะฮฺ และอุมมุสะละมะฮฺ ว่า ทั้งสองได้บรรยายลักษณะของโบสถ์แห่งหนึ่งในหับชะฮฺ (อบิสสิเนีย) แก่ท่านรสูล ถึงความสวยงามและรูปภาพต่างๆที่มีอยู่ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะวัลลัม กล่าวว่า
 “เหล่านี้คือหมู่ชนหนึ่งที่เมื่อคนดีในหมู่พวกเขาตายลง พวกนั้นก็จะสร้างมัสยิดขึ้นบนหลุ่มศพของเขาและวาดรูปภาพต่างๆ มากมาย พวกเหล่านี้คือหมู่ชนที่ชั่วช้าที่สุด ณ ที่พระองค์อัลลอฮฺ”

ที่ท่านนบีสาปแช่งพวกยาฮูดีและนัศรอนีนี้ก็เพื่อเป็นเตือนประชาชาติของท่านว่าอย่าได้กระทำเยี่ยงนั้นเป็นอันขาด และใครที่ละหมาดที่หลุ่มฝังศพหนึ่งหลุ่มฝังศพใด เท่ากับได้ยึดเอาที่นั้นเป็นมัสยิดแล้ว มัสยิดในที่นี้หมายถึงที่สุญูดไม่ว่าจะมีสิ่งก่อสร้างหรือไม่ก็ตาม ที่จริงการละหมาดในสถานที่มีเจว็ดนั้น เพื่อแสดงความรักต่อมุชริก เพื่อให้รับการเรียกร้องของเขาในการออกไปท่องจาริกกัน และเพื่อให้พวกมุชริกเห็นว่าเขาเป็นผู้ที่ประนีประนอมต่อมุชริก โดยไม่ได้นึกรังเกียจพวกมุชริกแต่อย่างใด การดะวะฮฺแบบนี้มันเป็นสิ่งเลวร้ายอย่างยิ่งของต่อบุคคลากรในขบวนการ มันทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพละทิ้งละหมาด ซึ่งเท่ากับเป็นการปฏิเสธศรัทธา เนื่องจากการละหมาดในสถานที่มีรูปเจว็ดนั้นเป็นโมฆะแน่นอน เพราะการงานที่จะเป็นที่ยอมรับนั้นจะต้องไม่มีการสาปแช่งผู้ที่กระทำปะปนอยู่ด้วย พวกเขาอาจจะเรียกการเปลี่ยนแปลงความชั่วว่ายุ่งเกี่ยวในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องการแส่เรื่องของคนอื่นหรือความชั่วก็ตาม แต่อัลลอฮฺไม่ได้ทรงแบ่งแยกการใช้ให้ทำดีกับการห้ามปรามการทำชั่วออกจากกันในคัมภีร์ของพระองค์

ดังนั้นใครระงับอันใดอันหนึ่งเสีย ก็เท่ากับละทิ้งอีกอันหนึ่งด้วย และถ้าใครบอกว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่เราจะไปเปลี่ยนแปลงความชั่ว ไม่ว่าจะเป็นการตั้งภาคี การทำบิดอะฮฺหรือการละเมิดฝ่าฝืนก็ตาม แน่นอนเขาได้ปฏิเสธคัมภีร์และสุนนะฮฺแล้ว อัลลอฮฺทรงตรัสถึงลักษณะของผู้กลับกรอก(มุนาฟิก) ไว้ในสูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ ว่า

الْمُنَافِقُونَ وَالْمُنَافِقَاتُ بَعْضُهُم مِّن بَعْضٍ يَأْمُرُونَ بِالْمُنكَرِ وَيَنْهَوْنَ عَنِ الْمَعْرُوفِ وَيَقْبِضُونَ أَيْدِيَهُمْ نَسُوا اللَّهَ فَنَسِيَهُمْ إِنَّ الْمُنَافِقِينَ هُمُ الْفَاسِقُونَ ( 67 ) 

“บรรดามุนาฟิก ชาย และบรรดามุนาฟิกหญิงนั้นบางส่วนของพวกเขาต่างมาจากอีกบางส่วน ซึ่งพวกเขาจะใช้ให้ปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ชอบและห้ามปรามในสิ่งที่ชอบ และกำมือ ของพวกเขาไว้ โดยที่พวกเขาลืมอัลลอฮ์ แล้วพระองค์ก็ทรงลืมพวกเขา บ้าง แท้จริงบรรดามุนาฟิกนั้นพวกเขาคือผู้ละเมิด”

وَعَدَ اللَّهُ الْمُنَافِقِينَ وَالْمُنَافِقَاتِ وَالْكُفَّارَ نَارَ جَهَنَّمَ خَالِدِينَ فِيهَا هِيَ حَسْبُهُمْ وَلَعَنَهُمُ اللَّهُ وَلَهُمْ عَذَابٌ مُّقِيمٌ ( 68 ) 

“อัลลอฮ์ได้ทรงขู่ไว้แก่บรรดามุนาฟิกชาย และบรรดามุนาฟิกหญิง และผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย ซึ่งไฟนรกญะฮันนัมโดยที่พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล มันเป็นสิ่งที่พอเพียงแก่พวกเขาแล้ว และอัลลอฮ์ ก็ได้ทรงให้พวกเขาห่างไกลจากความเอ็นดูเมตตาของพระองค์ และสำหรับพวกเขานั้นคือ การลงโทษอันจีรังยั่งยืน”(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัต-เตาบะฮฺ 9:67-68)

 والله أعلم بالصواب

{ดร.มุหัมมัด ตะกียุดดีน อัลฮิลาลี}
✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น