
การศรัทธาต่ออัลกุรอานเพียงบางส่วนและปฏิเสธบางส่วนถือเป็นบางส่วนถือเป็นเป็นการปฏิเสธ(กุฟุร) อย่างเงียบๆ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงความชั่วของพวกเขาเป็นที่ต้องห้าม ยิ่งกว่านั้นพวกเขาอ้างว่ากำชับให้ทำความดี แต่กลับไม่ได้ห้ามปรามการทำความชั่ว หัวหน้าคนหนึ่งของพวกเขาเล่าว่าเขาได้พำนักอยู่วันหนึ่งกับคืนหนึ่งในกระโจมที่มีการสักการะอื่นจากอัลลอฮฺ และเขาได้ละหมาด 5 เวลา ในสถานที่นั้น ทั้งๆ ที่เขารู้ว่ามีหะดิษที่รายงานโดยท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎียัลลอฮุอันฮา ว่า
“ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะวัลลัม สอนว่า
“อัลลอฮฺทรงประณามสาปแช่งพวกยะฮูดี และนัศรอนี พวกเขายึดเอาสุสานของบรรดานบีของพวกเขาเป็นมัสยิด" (บันทึกหะดิษโดยบุคอรี และมุสลิม)
ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะวัลลัมเตือนถึงสิ่งที่พวกเขากระทำ หากไม่ห้ามไว้อย่างนั้นแล้ว แน่นอนกุบูรของพวกท่านนบี จะต้องถูกทำให้โดดเด่นขึ้นมาแล้ว ถ้ามิใช่เพราะท่านเกรงว่ามันจะถูกยึดเป็นมัสยิดไปด้วย
รานงานจากท่านอุมมุหะบีบะฮฺ และอุมมุสะละมะฮฺ ว่า ทั้งสองได้บรรยายลักษณะของโบสถ์แห่งหนึ่งในหับชะฮฺ (อบิสสิเนีย) แก่ท่านรสูล ถึงความสวยงามและรูปภาพต่างๆที่มีอยู่ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะวัลลัม กล่าวว่า
“เหล่านี้คือหมู่ชนหนึ่งที่เมื่อคนดีในหมู่พวกเขาตายลง พวกนั้นก็จะสร้างมัสยิดขึ้นบนหลุ่มศพของเขาและวาดรูปภาพต่างๆ มากมาย พวกเหล่านี้คือหมู่ชนที่ชั่วช้าที่สุด ณ ที่พระองค์อัลลอฮฺ”
ที่ท่านนบีสาปแช่งพวกยาฮูดีและนัศรอนีนี้ก็เพื่อเป็นเตือนประชาชาติของท่านว่าอย่าได้กระทำเยี่ยงนั้นเป็นอันขาด และใครที่ละหมาดที่หลุ่มฝังศพหนึ่งหลุ่มฝังศพใด เท่ากับได้ยึดเอาที่นั้นเป็นมัสยิดแล้ว มัสยิดในที่นี้หมายถึงที่สุญูดไม่ว่าจะมีสิ่งก่อสร้างหรือไม่ก็ตาม ที่จริงการละหมาดในสถานที่มีเจว็ดนั้น เพื่อแสดงความรักต่อมุชริก เพื่อให้รับการเรียกร้องของเขาในการออกไปท่องจาริกกัน และเพื่อให้พวกมุชริกเห็นว่าเขาเป็นผู้ที่ประนีประนอมต่อมุชริก โดยไม่ได้นึกรังเกียจพวกมุชริกแต่อย่างใด การดะวะฮฺแบบนี้มันเป็นสิ่งเลวร้ายอย่างยิ่งของต่อบุคคลากรในขบวนการ มันทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพละทิ้งละหมาด ซึ่งเท่ากับเป็นการปฏิเสธศรัทธา เนื่องจากการละหมาดในสถานที่มีรูปเจว็ดนั้นเป็นโมฆะแน่นอน เพราะการงานที่จะเป็นที่ยอมรับนั้นจะต้องไม่มีการสาปแช่งผู้ที่กระทำปะปนอยู่ด้วย พวกเขาอาจจะเรียกการเปลี่ยนแปลงความชั่วว่ายุ่งเกี่ยวในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องการแส่เรื่องของคนอื่นหรือความชั่วก็ตาม แต่อัลลอฮฺไม่ได้ทรงแบ่งแยกการใช้ให้ทำดีกับการห้ามปรามการทำชั่วออกจากกันในคัมภีร์ของพระองค์
ดังนั้นใครระงับอันใดอันหนึ่งเสีย ก็เท่ากับละทิ้งอีกอันหนึ่งด้วย และถ้าใครบอกว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่เราจะไปเปลี่ยนแปลงความชั่ว ไม่ว่าจะเป็นการตั้งภาคี การทำบิดอะฮฺหรือการละเมิดฝ่าฝืนก็ตาม แน่นอนเขาได้ปฏิเสธคัมภีร์และสุนนะฮฺแล้ว อัลลอฮฺทรงตรัสถึงลักษณะของผู้กลับกรอก(มุนาฟิก) ไว้ในสูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ ว่า
الْمُنَافِقُونَ وَالْمُنَافِقَاتُ بَعْضُهُم مِّن بَعْضٍ يَأْمُرُونَ بِالْمُنكَرِ وَيَنْهَوْنَ عَنِ الْمَعْرُوفِ وَيَقْبِضُونَ أَيْدِيَهُمْ نَسُوا اللَّهَ فَنَسِيَهُمْ إِنَّ الْمُنَافِقِينَ هُمُ الْفَاسِقُونَ ( 67 )
“บรรดามุนาฟิก ชาย และบรรดามุนาฟิกหญิงนั้นบางส่วนของพวกเขาต่างมาจากอีกบางส่วน ซึ่งพวกเขาจะใช้ให้ปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ชอบและห้ามปรามในสิ่งที่ชอบ และกำมือ ของพวกเขาไว้ โดยที่พวกเขาลืมอัลลอฮ์ แล้วพระองค์ก็ทรงลืมพวกเขา บ้าง แท้จริงบรรดามุนาฟิกนั้นพวกเขาคือผู้ละเมิด”
وَعَدَ اللَّهُ الْمُنَافِقِينَ وَالْمُنَافِقَاتِ وَالْكُفَّارَ نَارَ جَهَنَّمَ خَالِدِينَ فِيهَا هِيَ حَسْبُهُمْ وَلَعَنَهُمُ اللَّهُ وَلَهُمْ عَذَابٌ مُّقِيمٌ ( 68 )
“อัลลอฮ์ได้ทรงขู่ไว้แก่บรรดามุนาฟิกชาย และบรรดามุนาฟิกหญิง และผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย ซึ่งไฟนรกญะฮันนัมโดยที่พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล มันเป็นสิ่งที่พอเพียงแก่พวกเขาแล้ว และอัลลอฮ์ ก็ได้ทรงให้พวกเขาห่างไกลจากความเอ็นดูเมตตาของพระองค์ และสำหรับพวกเขานั้นคือ การลงโทษอันจีรังยั่งยืน”(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัต-เตาบะฮฺ 9:67-68)
والله أعلم بالصواب
{ดร.มุหัมมัด ตะกียุดดีน อัลฮิลาลี}
✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿
{ดร.มุหัมมัด ตะกียุดดีน อัลฮิลาลี}
✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น