อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ทรัพย์โลกนี้มีไว้เพื่อโลกหน้า


บรรจง บินกาซัน

ความเป็นไปบนโลกใบนี้ทั้งในอดีต ปัจจุบันและในอนาคตล้วนมีต้นกำเนิดมาจากความคิดของมนุษย์ทั้งสิ้น

ต้นกำเนิดที่มาของลัทธิทุนนิยมคือความคิดที่ว่าทรัพยากรบนโลกใบนี้เป็นของมนุษย์ มือใครยาวสาวได้สาวเอา เป็นเรื่องของเอกชน รัฐไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยว หน้าที่อย่างหนึ่งของรัฐคือปกป้องความคิดนี้ไว้

ด้วยความคิดเช่นนี้ คนมีมือใหญ่และยาวเท่าใดก็สามารถกอบโกยทรัพยากรได้มากมายเท่านั้น สังคมที่มีความคิดเช่นนี้จึงมีการเบียดเบียนเกิดขึ้น คนรวยยิ่งรวยมากขึ้นและมีจำนวนน้อยลง ส่วนคนจนที่มือเล็กและสั้นกลับยิ่งจนลงและมีจำนวนมากขึ้น

มนุษย์มีสติปัญญาเป็นที่มาของเหตุผลก็จริงอยู่ แต่เมื่อท้องหิว สติปัญญาจะหันมาเข้าข้างกระเพาะ เมื่อมีคนมาบอกว่าทรัพยากรบนโลกใบนี้เป็นของมนุษย์ทุกคน มิใช่ของใครคนหนึ่งคนใด ดังนั้น รัฐจึงควรเข้าครองทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไว้และเป็นผู้ทำหน้าที่จัดสรรให้แก่ประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน เพราะมนุษย์แต่ละคนมีหนึ่งกระเพาะเหมือนกัน ควรจะกินเท่าเทียมกัน ความคิดนี้จึงโดนใจคนยากจน และนี่คือต้นกำเนิดของลัทธิคอมมิวนิสต์

สองลัทธิดังกล่าวเริ่มต้นความคิดเหมือนกัน คือ ทรัพยากรธรรมชาติบนโลกเป็นของมนุษย์ แต่กรรมวิธีในการจัดสรรทรัพยากรแตกต่างกัน ฝ่ายหนึ่งจึงมองอีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นศัตรูและหาทางทำลายกัน สงครามเย็นจึงเกิดขึ้น ส่งผลให้สันติภาพของโลกร้อนขึ้นมาเพราะโลกถูกแบ่งออกเป็นสองค่ายที่เป็นศัตรูต่อกัน

ประเทศในสองค่ายนี้แย่งชิงทรัพยากรโลกกันมาหลายสิบปี ผลาญทรัพยากรธรรมชาติไปกับการทำสงครามจนทรัพย์สินเสียหายแบบไม่อาจคำนวณได้ ผู้คนที่บริสุทธิ์ทั้งผู้ใหญ่และเด็กล้มตายไปนับสิบล้านคนและอีกหลายสิบล้านคนต้องพิการ

สงครามระหว่างสองลัทธิจบไปแล้วด้วยความพ่ายแพ้และล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ คงเหลือแต่ลัทธิทุนนิยมซึ่งชาวโลกคิดว่าเป็นทางรอดทางเดียวของมนุษยชาติ แต่ตอนนี้ โลกเริ่มมองเห็นแล้วว่าลัทธิทุนนิยมกำลังส่งพิษเป็นภัยแม้แต่กับประเทศมหาอำนาจที่เป็นต้นตำรับของลัทธิทุนนิยมอย่างเช่นสหรัฐอเมริกา

เพราะความคิดผิดส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่ตัวเอง ดังนั้น เมื่อคิดผิดไปแล้วก็น่าจะคิดใหม่ทำใหม่เพื่อให้ทุกฝ่ายต่างได้รับประโยชน์และยอมรับความแตกต่างได้

มนุษย์ต้องเริ่มคิดเสียใหม่ว่าทรัพยากรธรรมชาติทั้งบนบก ในน้ำและในอากาศมิใช่ของมนุษย์ เพราะมนุษย์มิได้เป็นผู้สร้าง พระเจ้าต่างหากที่ประทานทรัพยากรเหล่านี้มาให้มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์ในการสร้างความเจริญบนโลกใบนี้พร้อมกับยกระดับจิตใจของมนุษย์ให้ไปสู่เป้าหมายที่สูงส่งกว่าการมีชีวิตเพียงเพื่อกิน นอน ถ่าย สืบพันธุ์และตายไปเยี่ยงสัตว์ทั้งหลาย

ในสมัยอัยคุปต์หรืออียิปต์โบราณ โมเสสเคยเตือนมหาเศรษฐีกอรูนเสนาบดีของฟาโรห์ว่า : “จงใช้สิ่งที่พระเจ้าประทานแก่ท่านเพื่อที่พำนักแห่งโลกหน้า และจงอย่าลืมส่วนของท่านจากโลกนี้ จงทำดีเหมือนกับที่พระเจ้าทรงทำดีต่อท่านและจงอย่าสร้างความเสียหายบนหน้าแผ่นดิน แท้จริง พระเจ้าไม่ทรงรักผู้ก่อความเสียหาย” (กุรอาน 28 :77)

โมเสสเป็นนบีที่ศาสนิกส่วนใหญ่ของโลกรู้จักดี คำสอนข้างต้นของท่านมีความสมดุลสำหรับชีวิตมนุษย์ ท่านไม่ได้ปฏิเสธการแสวงหาและการมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน แต่ท่านแนะนำว่ามนุษย์ที่ฉลาดควรใช้ทรัพย์สินเพื่อสิ่งดีงามในชีวิตโลกหน้าซึ่งเป็นชีวิตที่แท้จริงและถาวรด้วย อย่างน้อยที่สุดก็โดยการช่วยเหลือคนยากจน เพราะชีวิตมนุษย์ไม่ได้สิ้นสุดลงตรงความตาย วิญญาณของมนุษย์ยังต้องเดินทางต่อไปสู่โลกอันนิรันดร และชีวิตของมนุษย์ในโลกหน้าจะเป็นอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตของมนุษย์ในโลกนี้

ขณะเดียวกัน คำสอนของท่านก็มิได้กำหนดว่าการบรรลุถึงคุณธรรมที่จะนำไปสู่ชีวิตที่ดีในโลกหน้าจำเป็นต้องบริจาคทรัพย์สินจนหมดโดยลืมว่าตัวเองก็ต้องกินต้องใช้ด้วยเช่นกัน
คำแนะนำให้กอรูนทำดีเหมือนกับที่พระเจ้าทำดีแก่เขานั้น มนุษย์ไม่มีวันทำได้หมด แค่พระเจ้าให้มนุษย์ได้มีโอกาสลืมตาหายใจได้สุขภาพดีก็เกินกว่าที่มนุษย์จะทำดีต่อคนอื่นเป็นการทดแทนบุญคุณของพระเจ้าได้หมด


แต่กอรูนไม่เชื่อคำตักเตือนของโมเสส เขาทะนงตนว่าทรัพย์สินที่เขาหามาได้เป็นเพราะความสามารถอันเก่งกาจของเขาโดยไม่คิดว่าความมั่งคั่งที่เขาได้รับนั้นเป็นความโปรดปรานของพระเจ้าที่มีต่อเขาเพื่อทดสอบว่าเมื่อได้มาแล้ว เขาจะมีสำนึกขอบคุณพระเจ้าและแบ่งปันสิ่งที่เขาได้รับแก่ผู้ด้อยโอกาสหรือไม่ เมื่อเขาไม่รู้ความจริงข้อนี้ เขาจึงดูถูกลูกหลานอิสราเอลที่ยากจนว่าเป็นคนที่พระเจ้าไม่โปรดปรานและใช้แรงงานคนเหล่านั้นเยี่ยงทาส เขาจึงกลายเป็นผู้ก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดิน

ฟาโรห์และกอรูนเกิดในยุคเดียวกัน ทั้งสองคนมีทัศนะต่อชีวิตเหมือนกัน แต่ฉากจบชีวิตของสองผู้ทรนงนี้ต่างกัน ฟาโรห์จบชีวิตด้วยการถูกน้ำทะเลท่วมตาย แต่ทรัพย์สินที่เขาสะสมไว้และคิดว่าจะมาใช้ในชีวิตหลังความตายยังคงถูกตั้งประจานความคิดความเชื่อผิดๆของเขาอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ ส่วนกอรูนถูกธรณีสูบหายไปพร้อมกับทรัพย์สินของเขาจำนวนมากมายมหาศาลและยังไม่มีใครพบจนกระทั่งทุกวันนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น