การล้มสลายของลัทธิการวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน และ ความเป็นจริงแห่งการสร้างและการดลบันดาล
จุดกำเนิดของสิ่งมีชีวิต
ถ้าใครคนใดคนหนึ่งได้สำรวจตรวจสอบจักรวาลที่เขาได้อาศัยอยู่นี้ดูก็จะพบว่าจักรวาลนี้มีกาแล็คซี่ถึง 250,000 ล้านกาแล็คซี่ซึ่งในแต่กาแล็คนี้จะประกอบไปด้วยดาวอีกจำนวนมากมายถึง 300,000 ล้านดวง และสิ่งทั้งหมดที่กล่าวมาไม่ว่าจะเป็นกาแล็คซี่หรือดวงดาวอันกว้างใหญ่ไพศาลทั้งหมดนี้นั้นหมุนเวียนและล่องลอยไปตามกฎเกณแบบแผนที่แน่นอนและตายตัว
ถ้ามองดูแล้วเราก็จะพบว่าในทุกๆส่วนของจักรวาลนี้ จะมีระเบียบแบบแผนตลอดจนความสมดุลอยู่อย่างสมบูรณ์โดยไม่มีข้อบกพร่องอยู่เลย
โลกนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เล็กกระจิ๋วหลิวเมื่อเทียบกับจักรวาลทั้งหมดแล้วแต่กระนั้นโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ ถูกสร้างและออกแบบมาอย่างยอดเยี่ยมพร้อมเพียงไปด้วยระบบการทำงานที่เต็มไปด้วยความสมดุลที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนเป็นอย่างมากโลกเรานี้ไม่เหมือนดวงดาวดวงอื่นๆเพราะโลกเรานี้มีสภาพชั้นบรรยากาศและพื้นผิวที่เอื้ออำนวยต่อสิ่งมีชีวิตที่จะสามารถอยู่อาศัยได้ น้ำซึ่งครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของพื้นผิวโลกนี้ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยขั้นพื้นฐานที่สำคัญต่อชีวิต ระดับอุณหภูมิ อัตราการโคจรตลอดจนพื้นผิวของโลกทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าโลกใบนี้ได้ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้เหมาะแก่การดำรงชีวิตอยู่ของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลกใบนี้
ลักษณะที่ไม่เหมือนใครของโลกเรานี้ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตอันมากมายที่มีระบบการทำงานที่ซับซ้อนต่างกันไป ตามแต่ละชนิดประเภทของมันซึ่งบางครั้งมนุษย์เราก็ยังคาดไม่ถึง พืชพันธุ์และสัตว์หลายล้านชนิดสามารถอยู่อาศัยบนโลกนี้ได้อย่างกลมกลืนและสมดุลกัน สิ่งนี้เป็นระบบความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์เป็นอย่างมากจนกระทั่งว่า ระบบความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้สามารถที่จะคงอยู่ต่อไปได้อย่างไม่ถูกกระทบกระเทือนหรือเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดนอกจากมันจะถูกรบกวนหรือก่อกวนจากมนุษย์
แต่ทว่าคำถามก็คือแล้วระบบความเป็นอยู่และสิ่งมีชีวิตต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน
เมื่อได้มีการสำรวจตรวจดูสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ได้ถูกออกแบบมาอย่างมีระบบในการดำรงชีวิตและการอยู่อาศัย สิ่งมีชีวิตทั้งหมดเหล่านี้จะมีระบบการทำงานที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนเป็นอย่างมากจนทำให้มันสามารถแสดงบทบาทของมันได้เป็นอย่างดีที่สุดตามความสามารถที่มีอยู่ในตัวมันในสภาพแวดล้อมที่มันอาศัยอยู่
เนื่องจากสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเหล่านี้ได้ถูกวางกฎเกณฑ์และออกแบบจัดระบบความเป็นอยู่มาเป็นอย่างดี แน่นอนที่สุดก็จะต้องมีผู้ที่สร้างมันขึ้นมา และผู้ทรงสร้างผู้นั้นก็ได้บอกมนุษย์ให้รับรู้ถึงการมีอยู่จริงของพระองค์ตั้งแต่ก่อนการมีมาของโลกใบนี้ และพระองค์ผู้นั้นคืออัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น พระผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและโลกมาจากความว่างเปล่านั้นคือจากความไม่มีอะไรเลยในตอนแรก และพระผู้ทรงจัดวางระเบียบกฎเกณฑ์มาในทุกๆสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างมา
ทฤษฎีแห่งการวิวัฒนาการที่มีขึ้นในศควรรษที่ 19 ได้ปฎิเสธการสร้างของพระผู้เป็นเจ้าที่มีอยู่ให้เห็นอย่างชัดเจน ตามความเชื่อของทฤษฎีการวิวัฒนาการนี้แล้ว สิ่งมีชีวิตต่างๆบนโลกนี้มิได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยพระผู้เป็นเจ้าหากแต่ก่อกำเนิดขึ้นมาด้วยความบังเอิญ
ผู้ที่ตั้งทฤษฎีนี้ขึ้นมารู้จักกันในนามว่า ชาร์ลส์ ดาร์วิน(Charles Darwin) ผู้ซึ่งเป็นนักธรรมชาติวิทยาสมัครเล่น ดาร์วินได้เปิดเผยทฤษฎีนี้ของเขาไว้ในหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า "the Origin of Species" แหล่งกำเนิดและที่มาของสิ่งมีชีวิต ซึ่งหนังสือเล่มนี้ถูกพิมพ์ขึ้นมาในปี1859
หนังสือเล่มนี้ของดาร์วินได้เป็นที่นิยมโดยทันทีหลังจากออกพิมพ์ แต่การได้รับการยอมรับและเป็นที่รู้จักกันของหนังสือเล่มนี้ มิใช่เพราะว่าดาร์วินเขียนมันขึ้นมาโดยอาศัยจากข้อมูลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แต่ที่หนังสือเขาได้รับการยอมรับก็เพราะ มันเป็นเพียงการยอมรับกันในทางแนวความคิดเสียมากกว่า แนวความคิดของดาร์วินนี้ช่วยในการสนับสนุนและเป็นข้ออ้างอิงของ พวกยึดถือปรัชญาวัตถุนิยมที่ปฎิเสธการมีอยู่จริงของพระผู้เป็นเจ้าและคารล์มารซ์(Karlmarx) ผู้ตั้งลัทธิวัตถุนิยมวิภาษได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อ DasKapital ขึ้นมา เพื่ออุทิศให้แก่ ดาร์วิน เขาเขียนที่ปกหนังสือเล่มนี้ไว้ว่า “ถึงชาร์ลส์ ดาร์วิน , จากผู้เลื่อมใสผู้อุทิศตัวให้” ทฤษฎีของดาร์วินอ้างเหตุผลว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เกิดขึ้นมานี้นั้นมาจากบรรพบุรุษเดียวกันโดยผ่านขบวนการและขั้นตอนแบบค่อยๆ วิวัฒนาการไปเป็นเวลาอันยาวนาน แต่ดาร์วินก็ไม่สามารถหาหลักฐานข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุนข้ออ้างของตนเองได้เลย จริงๆแล้ว ดาร์วินรู้ตัวเขาเองดีถึงหลักฐานข้อเท็จจริงหลายๆอย่างที่จะทำให้ทฤษฎีความเชื่อของเขาต้องเป็นโมฆะไป ดาร์วินได้กล่าวยอมรับไว้ใน หนังสือที่เขาเขียนขึ้นในบทที่มีชื่อว่า “Difficulties on Theory” ปัญหาและความยุ่งยากที่ทฤษฎีนี้จะต้องเผชิญ แต่ดาร์วินก็หวังว่าปัญหาต่างๆของทฤษฎีการวิวัฒนาการเหล่านี้จะหมดไปด้วยกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ครั้งใหม่ที่จะมีขึ้นมาในภายหลัง แต่ในทางตรงกันข้าม ด้วยกับความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ จึงทำให้ทฤษฎีที่ดาร์วินกล่าวอ้างนี้กลับถูกหักล้างลงไปทีละข้อทีละข้อ
ดาร์วินกล่าวว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดกำเนิดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน โดยผ่านขบวนการและขั้นตอนแบบค่อยๆวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องเป็นลำดับ
แต่ทว่าสิ่งมีชีวิตสิ่งแรกกำเนิดมาจากไหนกันเหล่า? ดาร์วินไม่ได้กล่าวถึงสิ่งนี้ไว้เลยในหนังสือของเขา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าสิ่งนี้แหละที่จะเป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้ทฤษฎีของเขาดังกล่าวต้องเป็นโมฆะไป
เดิมทีแล้ว วิทยาศาสตร์ในสมัยของดาร์วินมีความเชื่อกันว่า สิ่งมีชีวิตนั้นมีลักษณะโครงสร้างองค์ประกอบที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนอะไรมาก มีความเชื่อที่เชื่อกันไปตาม ทฤษฎีหนึ่งทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า " Spontaneous Generation" นั้นคือ การกำเนิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ มันเป็นทฤษฎีที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในยุคกลาง ตามทฤษฎีนี้แล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งหลายสามารถเกิดขึ้นมาได้โดยง่ายจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต
มีความเชื่อกันไปว่า กบเกิดขึ้นมาเองจากโคลน และแมลงก็เกิดขึ้นมาจากอาหารที่กินเหลือเอาไว้ และก็ได้มีการทดลองพิสูจน์โดยมีจุดประสงค์ที่จะมาสนับสนุนทฤษฎีหรือแนวความเชื่อเช่นนี้ โดยได้มีการนำเอาเมล็ดข้าวสาลีกำมือหนึ่งไปทิ้งไว้ในเศษผ้าโดยหวังว่าจะมีหนูเกิดขึ้นมาจากการนำของสองสิ่งนั้นมาผสมกัน และก็ได้มีการนำตัวอ่อนที่เกิดขึ้นมาจากเนื้อมาเป็นข้อกล่าวอ้างโดยกล่าวว่าสิ่งมีชีวิตสามารถกำเนิดขึ้นมาได้จากสิ่งที่ไม่มีชีวิต แต่ต่อมาในภายหลังก็เป็นที่รู้และเข้าใจกันแล้วว่าตัวอ่อนที่เกิดขึ้นจากเนื้อนั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติตามที่เข้าใจกันแต่อย่างใด แต่มันเกิดขึ้นมาจากตัวอ่อนที่ไม่สามารถมองเห็นที่แมลงวันนำไปปล่อยไว้ที่เนื้อนั้นและในสมัยของดาร์วิน มีความเชื่อกันอย่างแพร่หลายว่าจุลินทรีย์สามารถเกิดขึ้นมาได้โดยง่ายจากวัตถุหรือสิ่งที่ไม่มีชีวิต
แต่แล้ว 5 ปีหลังจากที่ได้มีการพิมพ์หนังสือ Origin of Species (แหล่งกำเนิดและที่มาของสิ่งมีชีวิต ) ของดาร์วินนี้ขึ้น นักชีววิทยาผู้มีชื่อเสียงชาวฝรั่งเศษ Louis Pasteur (หลุยส์ปาสเตอร์) ก็ได้พิสูจน์หักล้างความเชื่อเช่นนั้นที่เป็นพื้นฐานความเชื่อของทฤษฎีการวิวัฒนาการของดาร์วิน โดยหลุยส์ ปาสเตอร์ได้พิสูจน์ให้เห็นทางวิทยาศาสตร์หลังการที่เขาได้ทำการศึกษาวิจัยและทดลองมาเป็นเวลานาน โดยที่เขาก็ได้ข้อสรุปที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งเขากล่าว่า
“วัตถุสสารหรือสิ่งที่ไม่มีชีวิตจะสามารถให้ชีวิตแก่ตัวเองได้จริงหรือ? เป็นไปไม่ได้เลย ปัจจุบันนี้เป็นที่รู้กันแล้วว่าไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะใดๆก็แล้วแต่สิ่งมีชีวิตไม่ว่า จะเล็กกระจิดริดแค่ไหนก็ตามไม่สามารถเกิดขึ้นมาเองได้นอกจากว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะต้องมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันกับสิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้ให้กำเนิดมันขึ้นมา” ( Louis pasteur ,Fox and Dose, Origin of Life,p.,4-5)
นักทฤษฎีวิวัฒนาการคนแรก ที่ได้หยิบยกปัญหาเรื่องแหล่งกำเนิดและที่มาของสิ่งมีชีวิตขึ้นมากล่าว ในศตวรรษที่ 20 นี้ก็คือ นักชีววิทยาชาวรัสเซียซึ่งมีเชื่อว่า Alexander Oparin จุดมุ่งหมายของเขาก็เพื่อที่จะอธิบายให้รู้ว่าเซลของสิ่งมีชีวิตชนิดแรกนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ซึ่งตามทฤษฎีการวิวัฒนาการนี้ได้มีการกล่าวว่าเซลล์ตัวแรกนี้แหละที่เป็นที่มาหรือบรรพบุรุษของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตามความพยายามของเขาก็ต้องจบลงด้วยกับความล้มเหลวและตัวของ Oparin เองก็ต้องกล่าวยอมรับว่า
“เป็นที่น่าเศร้าใจที่จุดกำเนิดและที่มาของเซลล์ก็ยังคงเป็นปัญหาอยู่ต่อไปซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันเป็นด้านที่มืดมนที่สุดของขบวนการและขั้นตอนทางทฤษฎีการวิวัฒนาการ” (Alexander Oparin, Origin of Life, p.196)
นักวิวัฒนาการที่มาหลังจาก Oparin ก็ได้ทำการทดลองเช่นกันทั้งนี้ก็เพื่อที่จะหาคำตอบถึงแหล่งกำเนิดและที่มาของสิ่งมีชีวิตเพื่อที่จะได้มาสนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการของพวกเขานี้
นักเคมีชาวอเมริกาที่มีนามว่า Stanley Miller สแตนเล่ มิลเลอร์ ได้ทำการทดลองที่เป็นที่รู้จักโด่งดังกันที่สุด ในปี 1953 โดยที่ Miller ได้นำเอาโมเลกุลจำนวนหนึ่งของสิ่งมีชีวิตมา โดยทำการกระตุ้นปฎิกริยาโต้ตอบต่อแก๊สชนิดต่างๆที่เขาอ้างว่ามีอยู่ในชั้นบรรยากาศโลกในช่วงแรกเริ่ม ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นการทดลองนี้ถือว่าเป็นบทพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ถึงทฤษฎีของการวิวัฒนาการ แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย จากการค้นพบในตอนหลังนี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า แก๊สต่างๆที่ใช้ในการทดลองนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับแก๊สต่างๆที่มีอยู่ในชั้นบรรยากาศในช่วงเริ่มแรกของโลก และในที่สุดตัวของ Miller เองก็ต้องออกมายอมรับถึงความล้มเหลวและความเป็นโมฆะของการทดลองของเขาในครั้งนี้
จากความพยายามทั้งหลายของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการที่มีขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 20 เพื่อที่จะมาอธิบายถึงแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตก็ต้องจบลงด้วยความล้มเหลว
Jeffrey Bada ศาสตราจารย์ในด้านภูมิศาสตร์เคมีและผู้สนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการตัวยงก็กล่าวยอมรับถึงความจริงอันนี้ในนิตยาสาร Earth ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1998 ซึ่งเป็นหนึ่งในนิตยาสารชั้นนำทางด้านสิ่งตีพิมพ์ของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการ โดยที่ Jeffrey Bada ได้กล่าว่า
ในวันนี้ในขณะที่เราจะจากศตวรรษที่ 20 ไป เราก็ยังคงอยู่กับปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่ยังหาทางออกไม่ได้อยู่ เหมือนกับตอนที่เราเริ่มเข้ามาสู่ศตวรรษที่ 20 นั้นคือ ปัญหาที่ว่า สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาบนโลกนี้ได้อย่างไรกัน? ( Jeffrey bada, Earth, Feb,1998)
ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกปัญหาหนึ่งที่ ทฤษฎีวิวัฒนาการนี้กำลังเผชิญอยู่และก็ยังหาทางออกไม่ได้ ก็คือ ปัญหาที่เกี่ยวกับลักษณะโครงสร้างอันซับซ้อนอย่างเหลือเชื่อของเซลของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ทุกชนิดจะประกอบไปด้วยเซลล์ที่มีขนาดเล็กเท่ากับหนึ่งในร้อยของมิลลิเมตร และมีสิ่งมีชีวิตบางชนิดประกอบไปด้วยเซลล์เดียวแต่กระนั้นถึงแม้จะประกอบไปด้วยเซลล์เดียวก็ตามแต่องค์ประกอบที่มีอยู่ในเซลล์นี้ก็มีลักษณะที่น่าซับซ้อนอย่างน่าทึ่งในตัวของมันเอง มันมีระบบการปฏิบัติงานอันซับซ้อน เพื่อที่จะทำให้มันดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้และที่ยิ่งไปกว่านี้มันก็ยังมีสิ่งที่อาจเรียกว่าเป็นตัวมอเตอร์ตัวเล็กนิดเดียวที่ช่วยในการขับเคลื่อนมัน
ในสมัยของดาร์วิน ลักษณะโครงสร้างอันซับซ้อนของเซลล์นี้ยังไม่เป็นที่รู้จักกัน ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากกล้องจุลทรรศน์ที่ยังไม่มีความเจริญเท่าที่ควรในสมัยนั้น จึงทำให้เซลล์มองดูเหมือนไม่มีลักษณะอะไรพิเศษเฉพาะตัว แต่อย่างไรก็ตามด้วยกับกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอนที่มีกำลังสูงที่ประดิษฐ์ขึ้นมาในตอนกลางของศตวรรษที่ 20 นี้จึงทำให้เราเริ่มรู้และเข้าใจว่าจริงๆแล้วเซลล์ของสิ่งมีชีวิตนั้นมีระบบการทำงานที่น่าซับซ้อนถึงเพียงไร สิ่งนี้ได้เผยให้เห็นถึงความซับซ้อนตลอดจนการทำงานกันอย่างมีระบบของเซลล์ที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยความบังเอิญ
เซลล์ที่มีชีวิตเพียงตัวเดียวจะประกอบไปด้วยส่วนเล็กๆ เป็นพันๆ ส่วนที่ทำงานกันอย่างสอดคล้องสามัคคีกันถ้าจะเปรียบก็เปรียบได้ว่า ภายในเซลล์ตัวเดียวนี้จะมีทั้งสถานีพลังงานไฟฟ้า โรงงานต่างๆอันทันสมัยที่ใช้ทำหน้าต่างๆ และหน่วยจัดเก็บข้อมูลที่ซับซ้อน ระบบเก็บรักษาที่มีขนาดใหญ่มาก โรงกลั่นกรองที่ทันสมัย ตลอดจนมีเยื่อหุ้มเซลล์ที่ดูเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถรับรู้อะไรได้ ซึ่งเยื้อหุ้มเซลล์นี้จะทำหน้าที่ควบคุมสิ่งที่เข้าออกจากเซลล์
เซลล์นี้จะสามารถมีชีวิตดำรงอยู่ต่อไปได้ก็ต่อเมื่อส่วนต่างๆที่มีอยู่ในตัวมันที่ใช้ในการปฏิบัติการ จะต้องเกิดขึ้นมาพร้อมๆกันเพียงเท่านั้นและมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ระบบการทำงานของเซลล์ที่น่าซับซ้อนละเอียดอ่อนเหล่านี้ จะเกิดขึ้นมาเนื่องมาจากความบังเอิญ แม้กระทั้งในปัจจุบันนี้ห้องแลปวิทยาศาสตร์ที่ประกอบไปด้วยเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัยที่สุด ก็ยังไม่มีความสามารถที่จะผลิตเซลล์ที่มีชีวิตขึ้นมาจากสิ่งที่ไร้ชีวิตได้เลยแม้แต่สักตัวเดียว จริงๆแล้วมันก็เป็นที่ยอมรับกันอย่างแน่นอนว่าสิ่งนั้นเป็นไปไม่ได้และความอุตสาหะที่จะยังพยายามผลิตเซลล์ที่มีชีวิตจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตเหล่านั้นก็ล้มเลิกไป
แต่กระนั้นทฤษฎีการวิวัฒนาการก็ยังกล่าวอ้างว่า ระบบการทำงานของเซลล์ที่กล่าวมานี้เกิดขึ้นมาเองจากความบังเอิญ ซึ่งความเป็นจริงแล้วระบบการทำงานของเซลล์นี้ที่แม้แต่มนุษย์ผู้พร้อมไปด้วยสติปัญญาความรู้ความสามารถและเทคโนโลยีที่ทันสมัยก็ยังไม่มีความสามารถที่จะลอกเลียนแบบได้เลย Sir Fred Hoyle ซึ่งเป็นนักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้กล่าวอธิบายบอกถึงความเป็นไปไม่ได้ที่เซลล์จะกำเนิดเกิดขึ้นมาเอง โดยเขาได้ยกตัวอย่างว่า
“ความเป็นไปได้ที่สิ่งมีชีวิตในชั้นที่สูงขึ้นไปจะเกิดขึ้นมาเองด้วยความบังเอิญนั้นก็อาจจะเปรียบได้กับความเป็นไปได้ที่พายุโทนาโดจะพัดผ่านเข้ามายังกองเก็บของและวัสดุเก่าแล้วกลายไปเป็นเครื่องบินโบอิ้ง 747 จากวัสดุที่อยู่ในกองเก็บของเก่านั้นได้” (Fred Hoyle, Naturer,12 พฤศจิกายน)
ในปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์ด้านเคมีวิทยาของสิ่งมีชีวิตก็ได้บอกเปิดเผยให้รู้ไว้เช่นกันถึงลักษณะทางด้านโครงสร้างและการปฏิบัติงานอันซับซ้อนที่สุดจะคิดได้ของโมเลกุล DNA ระบบทางด้านโครงสร้างของโมเลกุล DNA ได้ถูกค้นพบ โดยนักวิทยาศาสตร์ 2 คน นั่นคือ James Watson และ Francic Crick ในปี 1955 จากการค้นพบของเขาทั้งสองนี้ก็บอกให้เรารู้ว่า สิ่งมีชีวิตนั้นมีระบบการทำงานที่น่าซับซ้อนเกินกว่าที่คาดไว้ในตอนแรก
Francic Crick ผู้ซึ่งได้รับรางวัลโนเบิลไพรซจากการค้นพบครั้งนี้ ถึงแม้ตัวของเขาเองจะเป็นนักทฤษฎีวิวัฒนาการอย่างฝังหัวก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยอมรับว่า โครงสร้างการทำงานเหมือนอย่าง DNA นี้ ไม่มีวันที่มันจะเกิดขึ้นมาเองได้ด้วยความบังเอิญ DNA เป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ที่มีอยู่ในนิวเครียสของเซลล์ รายละเอียดทั้งหมดของสรีระและรูปร่างของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้ในส่วนที่เป็นเกลียวขดสองชั้นนี้ ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับองค์ประกอบทางด้านร่างกายของเราตั้งแต่สีในตาไปจนถึงระบบโครงสร้างของอวัยวะภายในของเราและสัดส่วนการปฏิบัติงานของเซลล์ของเราทั้งหมดทั้งหลายเหล่านี้จะถูกวางโปรแกรมไว้ในส่วนที่เรียกว่ายีนส์ใน DNA นี้
รหัสของ DNA จะประกอบไปด้วยลำดับการจัดเรียงฐานต่างๆที่แตกต่างกันไป ถ้าเราจะเปรียบเทียบฐานเหล่านี้ในรูปของตัวอักษรเราก็จะสามารถเปรียบ DNA ได้กับฐานจัดเก็บข้อมูลที่ประกอบไปด้วยอักษร4ตัว ข้อมูลของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะถูกจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลนี้
ถ้าเราจะลองเขียนข้อมูลที่มีอยู่ใน DNA ทั้งหมดนี้ลงบนกระดาษก็อาจจะต้องใช้กระดาษเป็นล้านๆหน้า และนี่ก็เท่ากับว่าต้องเขียนข้อมูลที่มีอยู่ใน DNA นี้ลงไปมากเสียกว่าสารานุกรม บริตานนิก้า(Britannica) ถึง40เท่า ซึ่งสารานุกรมบริตานนิก้านี้ก็เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลแหล่งเดียวที่ใหญ่ที่สุดสำหรับมนุยษ์ที่มีอยู่
แต่แหล่งข้อมูลของ DNA ที่น่าเหลือเชื่อนี้ก็ได้ถูกจัดเก็บไว้ในนิวเคลียสที่เล็กกระจิดริดของเซลล์ของเราซึ่งมีขนาดเล็กกว่าหนึ่งมิลลิเมตรถึงหนึ่งพันเท่า
มีการคำนวณกันว่าสายของ DNA ที่เล็กพอที่จะใส่ไว้ในช้อนชาได้นี้มีความสามารถที่จะบรรจุข้อมูลทั้งหมดของหนังสือทุกเล่มที่เขียนขึ้นมาในโลกนี้ได้
แน่นอนที่สุดเป็นไปไม่ได้เลยที่ลักษณะโครงสร้างอันน่าอัศจรรย์ที่กล่าวมานี้ มันจะเกิดขึ้นมาจากความบังเอิญทฤษฎีการวิวัฒนาการ ซึ่งมองชีวิตว่าเป็นเพียงแค่สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากความบังเอิญที่ไร้จุดมุ่งหมาย ก็ต้องล้มเหลวหมดท่าไม่สามารถเปิดปากพูดอะไรได้เมื่อต้องเผชิญกับระบบการปฏิบัติงานที่ซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อของ DNA มันเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า DNA และเซลล์ต่างๆตลอดจนสิ่งมีชีวิตทั้งหมดนี้เป็นผลที่เกิดมาจากการสร้างสรรค์อันยอดเยี่ยมและที่น่าสรรเสริญ และเมื่อมีการสร้างหรือมีสิ่งที่ถูกสร้างอยู่จริงก็แน่นอนที่สุดที่จะต้องมีผู้ที่สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาผู้ทรงพลังอำนาจอันไม่มีที่สิ้นสุดผู้ทรงรอบรู้และทรงเต็มเปี่ยมด้วยวิทยปัญญา
เมื่อเราเฝ้ามองดูสิ่งมีชีวิตต่างๆที่มีอยู่ในธรรมชาติไม่ว่าจะสิ่งใดก็ตามเราก็จะเห็นได้เลยว่าผู้ที่สร้างมันขึ้นมานี้ช่างมีอำนาจอันยิ่งใหญ่เสียจริงๆ สิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ในธรรมชาติเป็นล้านๆชนิดได้บ่งบอกถึงงานทางศิลปะและงานศิลปะทุกชนิดก็บ่งบอกให้รู้ถึงการมีอยู่ของนักศิลปะหรือจิตรกรผู้อยู่เบื้องหลังผลงานนี้ ผู้ซึ่งวาดมันขึ้นมา และผู้อยู่เบื้องหลังงานศิลปะทั้งหลายที่มีอยู่ในธรรมชาตินี้ก็คือ อัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลแห่งโลกนี้และชั้นฟ้าทั้งหลายตลอดจนสิ่งที่มีอยู่ในระหว่างชั้นฟ้าและแผ่นดิน
ขั้นตอนและวิธีการที่ได้มาจากการจิตนาการในขบวนการทฤษฎีการวิวัฒนาการ
การปั้นเรื่องขึ้นมาของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการที่ทำให้เห็นว่าชีวิต นั้นสามารถเกิดมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตนั้นได้ถูกหักล้างด้วยกับวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันไปแล้ว นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีระบบหรือขั้นตอนการทำงานในธรรมชาติใดๆที่จะเป็นไปตามทฤษฎีการวิวัฒนาการตามที่ได้ถูกนำมากล่าวอ้างมา ไม่มีระบบโครงสร้างการทำงานทางธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตประเภทใดๆ ที่จากเซลล์ๆเดียวจะสามารถเปลี่ยนแปลงหรือกลายไปเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีระบบการทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้นจนกลายเป็นที่มาหรือบรรพบุรุษของสิ่งมีชีวิตอีกเป็นล้านๆชนิด
ดาร์วินได้นำเสนอแนวความคิดเพียงอย่างเดียวที่จะมาเป็นตัวอธิบายระบบทางด้านการวิวัฒนาการของเขา และแนวความคิดนั้นก็คือ การเลือกสรรทางธรรมชาติ จากหนังสือที่เขาเขียนก็ทำให้เรารู้ว่าดาร์วินได้ให้ความสำคัญต่อแนวความคิดนี้เป็นอย่างมาก (The Origin of Species by Means of Natural Selection) แหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตโดยวิธีการสรรทางธรรมชาติ การเลือกสรรทางธรรมชาตินี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า ผู้ที่แข็งแรงที่สามารถปรับตัวเองได้ดีต่อสภาพแวดล้อมก็จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ ยกตัวอย่างเช่นฝูงกวางที่ถูกไล่ล่าโดยสัตว์ล่าเหยื่อ กวางตัวที่วิ่งได้เร็วกว่าก็จะสามารถมีชีวิตรอดมาได้หลังจากนั้นกวางส่วนใหญ่ในฝูงก็จะมีแต่กวางตัวที่แข็งแรงและฉับไวเนื่องจากตัวที่เชื่องช้าและอ่อนแอกว่าก็จะตกเป็นเหยื่อไปหมดแล้ว
แต่ถึงแม้ระบบความเป็นอยู่ทางธรรมชาติจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้ทำให้กวางต้องมีการวิวัฒนาการแต่อย่างใด มันไม่ได้เปลี่ยนกวางให้ไปเป็นสัตว์อีกประเภทหนึ่งเลย เช่นเปลี่ยนไปเป็นม้า การเลือกสรรทางธรรมชาตินี้ก็เป็นเพียงการกำจัดตัวที่ป่วยหรือพิการอ่อนแอออกไปและมันก็ยืนยันถึงการมีอยู่ต่อไปตลอดจนความสมบูรณ์แข็งแรงของสิ่งมีชีวิตอีกบางจำพวก และการเลือกสรรทางธรรมชาตินี้ก็ไม่ได้มีแรงผลักดันหรือเป็นตัวที่จะทำให้เกิดการวิวัฒนาการขึ้นมาได้
ดาร์วินก็รู้ตัวดีถึงสิ่งนี้เช่นกันและนี้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ดาร์วินกล่าวยอมรับไว้ในหนังสือของเขา (The origin of species) แหล่งกำเนิดของชีวิต โดยเขากล่าวว่า การเลือกสรรทางธรรมชาติไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่เอื้ออำนวยและเหมาะเจาะที่จะเกิดขึ้นเองด้วยความบังเอิญในสิ่งมีชีวิต (Charles Darwin, The origin of Species, 1st, ed, p.177)
ดาร์วินได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมากจากเพื่อนร่วมสมัยของเขาคนหนึ่ง ในแนวความคิดที่ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นสามารถเกิดขึ้นมาเองและมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของมันเองในสภาพการที่เหมาะสมและเอื้ออำนวย และเพื่อนร่วมสมัยของดาร์วินคนนั้นก็คือ Lamarck ลาร์มาค นักชีววิทยาชาวฝรั่งเศส
Lamarck มีความเชื่อว่า สิ่งมีชีวิตจะถ่ายทอดลักษณะพิเศษเฉพาะตัวที่มีอยู่ไปสู่รุ่นต่อไปที่จะมีมาทีหลัง ในแนวความคิด ของ Lamarck นั้นยีราฟวิวัฒนาการมาจากสัตว์ที่คล้ายกวาง นั่นก็คือลำคอของสัตว์จำพวกนี้จะคอยๆยืดออกมาไปตามกาลเวลาจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากมันพยายามที่จะเอื้อมไปกินใบไม้ที่อยู่บนกิ่งสูงๆ
Lamarck ก็มีความเชื่อเช่นกันว่าถ้าแขนของคนในสมาชิกในครอบครัวถูกตัดออกเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน เด็กที่เกิดขึ้นมาใหม่ในภายหลังก็จะเริ่มแขนกุดหรือไม่มีแขน
ดาร์วินผู้ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากสิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมา ก็ยิ่งมีแนวความคิดที่ฮึกเหิมมากไปกว่านั้นโดยที่เขาได้กล่าวไว้ในหนังสือ The Origin of Species ของเขาโดยที่ เขาได้กล่าวอ้างให้เหตุผลว่า หมีบางชนิดที่พยายามหาเหยื่อในน้ำก็ได้วิวัฒนาการไปเป็นปลาวาฬในที่สุด
แต่กระนั้นแนวความคิดทั้งของ Lamarck และดาร์วินนั้นก็ผิดพลาด ทั้งนี้เนื่องจากแนวความคิดของเขาทั้งสองนั้นไปขัดแย้งกับกฎขั้นพื้นฐานที่สำคัญของชีววิทยา ในสมัยนั้นวิชาพันธุศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทางด้านเคมีวิทยา ของสิ่งมีชีวิตตลอดจนจุลชีววิทยายังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสาขาวิชาทางด้านวิทยาศาสตร์เลย กฎแห่งการถ่ายถอดลักษณะทางด้านพันธุกรรมก็ยังไม่เป็นที่รู้จักกันเลยในขณะนั้น ในความเป็นจริงแล้ว ทั้ง Lamarck และดาร์วินมีความเชื่อว่าลักษณะพิเศษทางพันธุกรรมนั้นสามารถถูกถ่ายถอดได้โดยผ่านทางกระแสเลือด
เนื่องจากความล้าหลังทางวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้น จึงไม่ได้ทำให้สิ่งที่ Lamarck และดาร์วินคิดขึ้นมาตามจินตนาการดูเป็นสิ่งที่แปลกแต่อย่างใด
ข้อสมมติฐานของดาร์วินมีผลต่อแวดวงทางวิทยาศาสตร์ในสมัยของเขาเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามดาร์วินก็ยังคงมีปัญหาที่แก้ไม่ตกอยู่ในหนังสือของเขาในบนที่เขากล่าวถึง ปัญหาทางทฤษฎีการวิวัฒนาการดาร์วินได้กล่าวไว้ว่า
ถ้ามีการพิสูจน์ให้เห็นว่า สิ่งมีชีวิตนั้นมีระบบการทำงานที่ซับซ้อนและอวัยวะต่างๆที่ช่วยในการปฏิบัติงานที่ซับซ้อนเหล่านั้นก็มิได้เกิดขึ้นมาตามขั้นตอนและขบวนการวิวัฒนาการ แต่เกิดขึ้นมาพร้อมๆกันในทีเดียว ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ทฤษฎีการวิวัฒนาการของดาร์วินเองก็จะต้องพังลงอย่างราบคาบ (Charles Darwin,The Origin of Species,1st ed ,p.189)
แต่ความจริงสิ่งที่ดาร์วินกลัวนี้ก็เกิดขึ้นเป็นจริงหลังที่เขาตายไปได้ไม่นาน จากกฎแห่งการถ่ายทอดลักษณะทางด้านพันธุกรรมที่ค้นพบโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรียนั่นคือ Gregor Medel ก็ทำให้สิ่งที่ทั้ง Lamarck และดาร์วินได้กล่าวอ้างยืนยันไว้ต้องจบลง จากวิทยาศาสตร์ทางด้านพันธุศาสตร์ที่ได้มีการพัฒนามาในช่วงเริ่มต้นแห่งศตวรรษที่20 นี้ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการถ่ายทอดพันธุกรรมไปยังรุ่นถัดๆไปนั้นมิได้ถ่ายทอดกันโดยผ่านทางลักษณะเฉพาะพิเศษที่ได้รับมาทางด้านร่างกายหากแต่จะถ่ายทอดโดยผ่านทางยีนส์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
จากการค้นพบกฎการสืบพันธุกรรมนี่เองที่ทำให้เป็นที่รู้ชัดเจนว่า ความเชื่อจากการจินตนาการไปเองที่ว่าลักษณะเฉพาะตัวที่ได้มานั้นได้มาโดยการค่อยๆก่อตัวสะสมกันมาจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งและในที่สุดก็ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตใหม่ขึ้นมา ซึ่งการคิดจิตนาการขึ้นมาเองเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผลและไม่น่าเชื่อถือ
การเปลี่ยนแปลงจากสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งไปสู่สิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งที่มีความแตกต่างกันโดยผ่านทางพันธุกรรมตามที่ระบบกลไกลการเลือกสรรทางธรรมชาติของดาร์วินได้บอกไว้นั้น เป็นไปไม่ได้เลยและไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นมาเป็นจริงได้ ด้วยเหตุนี้เองทฤษฎีการวิวัฒนาการที่ดาร์วินนำมากล่าวอ้างก็ต้องล่มสลายและจบลงไปในต้นศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านมานี้เองได้มีความพยายามอุสาหะของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการคนอื่นๆในศตวรรษที่ 20 เพื่อจะพิสูจน์ทฤษฎีนี้ แต่ความจริงแล้วในทางตรงกันข้ามมันมีแต่จะยืนยันความจริงที่ว่าการเลือกสรรทางธรรมชาตินั้นไม่มีมูลเหตุแห่งความเป็นจริงที่จะเกี่ยวข้องกับการวิวัฒนาการแต่อย่างใด
Colin Patterson นักชีววิทยาทางด้านพืชและสัตว์โบราณชาวอังกฤษและก็เป็นนักทฤษฎีวิวัฒนาการที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งด้วย ได้กล่าวยอมรับถึงสิ่งนี้โดยเขาได้กล่าวว่า
ไม่มีใครเลยที่จะมีความสามารถที่จะสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นด้วยวิธีการหรือกลไกที่ได้มาจากการเลือกสรรทางธรรมชาติ ไม่มีใครพยายามทำสิ่งนี้ได้สำเร็จ และข้อถกเถียงที่มีอยู่ในลัทธิดาร์วินสมัยใหม่ในปัจจุบันนี้ ก็สาละวนอยู่กับปัญหาที่หาทางออกไม่ได้นี้ (Colin Patterson, BBC ,Cladistics,4th , March 1982)
วิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 20 นี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วเช่นกันว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั้นมีระบบการทำงานและอวัยวะต่างๆที่มีกลไกการปฏิบัติงานที่ซับซ้อนและยุ่งยากเป็นอย่างมาก ถ้าขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปแม้เพียงส่วนเดียวระบบการทำงานทั้งระบบตลอดจนอวัยวะส่วนต่างๆก็จะไม่สามารถทำหน้าที่ปฏิบัติงานได้เลย นั่นก็หมายความว่าอวัยวะและระบบการทำงานเหล่านั้นจะต้องมีขึ้นมาพร้อมๆกันในเวลาเดียวกัน ลักษณะพิเศษเฉพาะเช่นนี้ซึ่งเรียกว่า “Irreductible Complexity” นั้นคือระบบการทำงานของสิ่งมีชีวิตที่ทุกๆส่วนจะต้องเกิดขึ้นมาพร้อมๆกันโดยจะขาดส่วนหนึ่งส่วนใดเสียมิได้
ลักษณะเฉพาะพิเศษที่กล่าวมาแล้วเช่นนี้เองที่เป็นหลักฐานพิสูจน์ให้เห็นว่าองค์ประกอบและโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเหล่านี้จะต้องเกิดขึ้นมาพร้อมๆกันโดยอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
ความเป็นจริงนี้เองที่ลบล้างคำกล่าวอ้างของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้ลงอย่างเด็ดขาด ที่พวกเขากล่าวอ้างว่าสิ่งมีชีวิตค่อยๆวิวัฒนาการเกิดขึ้นมาโดยการเลือกสรรทางธรรมชาติโดยผ่านขบวนการและขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กละน้อยตามกาลเวลา และเมื่อเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ระบบกลไกลของการเลือกสรรทางธรรมชาติของดาร์วินนั้นไม่มีมูลฐานแห่งความเป็นจริงใดๆทางด้านการวิวัฒนาการ พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการที่ต้องการให้ทฤษฎีมีอยู่ต่อไปก็ต้องทำการเปลี่ยนแปลงแนวทางใหม่เป็นการใหญ่ในทางทฤษฎีนี้
นอกเหนือไปจากแนวความคิดของการเลือกสรรทางธรรมชาตินี้แล้วพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านี้ก็คิดค้นระบบกลไกใหม่ขึ้นมาซึ่งเรียกว่า Mutation หรือกระบวนการเปลี่ยนแปลงของยีนส์
กระบวนการนี้คือการเปลี่ยนแปลงไปหรือการผิดเพี้ยนไปจากรูปเดิมของลักษณะที่มีอยู่ใน DNA ของสิ่งมีชีวิต โดยส่วนมากจะมีสาเหตุมาจากผลกระทบภายนอกเช่นกัมมันตภาพรังสีหรือปฏิกิริยาทางเคมี มาถึงตอนนี้ทฤษฎีการวิวัฒนาการก็ยังมีความเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่มีความแตกต่างกันไปและมีการพัฒนาการก็ เพราะมีสาเหตุมาจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน DNA นี้ แต่สิ่งนี้ไม่สามารถเป็นจริงขึ้นมาได้ ทั้งนี้ก็เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้จะยังแต่จะให้เกิดผลเสียต่อระบบข้อมูลใน DNA นี้เพียงอย่างเดียว และก็มีแต่จะเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตด้วย จากการทดลองที่กระทำกันทั้งในห้องแลปและตามธรรมชาติก็ไม่เคยพบว่าการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้จะก่อให้เกิดผลดีขึ้นตามมา ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นที่ว่านี้นั้นจะไม่ช่วยทำให้เกิดข้อมูลใหม่ทางพันธุกรรม ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่สิ่งมีชีวิตจะมีอวัยวะใหม่ขึ้นมาได้โดยผ่านขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงเช่นที่ว่านี้ ไม่มีสัตว์เลื้อยคลานตัวไหนสามารถมีปีกได้และสิ่งมีชีวิตที่ไร้ดวงตาก็ไม่สามารถมีตาขึ้นมาเองได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในลักษณะเช่นนั้น
หลายทศวรรษด้วยกันที่นักทฤษฎีการวิวัฒนาการได้ลองนำสิ่งที่มีชีวิตไปทดลองโดยการให้สัมผัสกับกัมมันตภาพรังสีและสารเคมีทั้งนี้ก็เพื่อหวังที่จะได้การเปลี่ยนแปลงที่มีผลในทางบวกขึ้น แต่แล้วพวกเขาก็ต้องจบลงด้วยกับการได้มาซึ่งสิ่งมีชีวิตที่พิการบกพร่องไม่สมบูรณ์และยังเป็นหมัน
มีการทดลองนับครั้งไม่ถ้วนที่ทำกับแมลงวันผลไม้และมันแสดงให้เห็นว่าผลที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นนอกจากจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใดแล้วยังจะก่อให้เกิดความเสียหายและเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตนั้นอีกด้วย
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน DNA เช่นนั้นจะเป็นตัวไปก่อกวนรหัสทางพันธุกรรมที่ถูกจัดวางไว้เป็นอย่างดี และก็จะทำให้สิ่งมีชีวิตกลับกลายสภาพไปสู่สิ่งที่น่าแปลกประหลาดทั้งนี้ก็เนื่องมาจากความพิการและความบกพร่องดังที่ได้กล่าวมา
นั้นคือสาเหตุที่ว่าทำไมศาสตราจารย์ Richard Dawkins ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่สนับสนุนทฤษฎีการวิวัฒนาการผู้เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดคนหนึ่งในปัจจุบันต้องแสดงความลังเลออกมาเมื่อถูกขอให้ยกมาซักตัวอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเช่นที่ว่านั้นที่จะไปช่วยเพิ่มข้อมูลทางพันธุกรรมให้ดีขึ้นมา
ผู้สัมภาษณ์ศาสตราจารย์ Dawkins ถามว่า: ช่วยยกมาสักตัวอย่างหนึ่งได้ไหมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านพันธุกรรมหรือขั้นตอนทางด้านการวิวัฒนาการที่ทำให้เราเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นจะไปช่วยเพิ่มข้อมูลให้กับหน่วยทางพันธุกรรมได้? แต่ศาสตราจารย์ Richard Dawkins ก็นิ่ง ไม่สามารถที่จะตอบคำถามนั้นได้
ความจริงเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่าสิ่งมีชีวิตนั้นมีระบบการทำงานที่ซับซ้อนอยู่ในตัวซึ่งไม่มีวันที่มันจะเกิดขึ้นมาเองได้เลยด้วยความบังเอิญ นาฬิกาที่มีกลไกลการทำงานที่ซับซ้อนก็ยังไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นมาเองได้โดยการเข้ามารวมตัวกันเองของฟันเฟืองโดยความบังเอิญและนั้นก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่ามันจะต้องมีช่างทำนาฬิกานั้นขึ้นมา และเป็นช่างนาฬิกาที่มีความฉานฉลาดและความสามารถ ฉันใดก็ฉันนั้นสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดนั้นเต็มไปด้วยระบบการทำงานและมันถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีซึ่งมันเป็นสิ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงการมีอยู่ของผู้สร้างผู้ที่สร้างมันมาจากความว่างเปล่าจากความไม่มีอะไรมาก่อน
สิ่งที่มีชีวิตในจักรวาลทั้งหมดล้วนแต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างมาอย่างไร้ข้อบกพร่องและไม่มีที่ติ เราสามารถที่จะรับรู้ถึงความมีวิทยปัญญาอันสูงส่งอำนาจและความรอบรู้ของผู้ทรงสร้างสิ่งเหล่านี้มาได้ด้วยการใคร่ครวญดูในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา
แม้แต่การสร้างมนุษย์เองก็ยังเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งซึ่งเผยถึงความจริงที่ทฤษฎีการวิวัฒนาการพยายามที่จะหลบหลีกไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริง
“พระองค์อัลลอฮฺทรงบันดาล ทรงประดิษฐ์ ทรงกำหนดรูปสันถาน พระองค์ทรงพระนามอันไพจิตร สรรพสิ่งในฟากฟ้าและแผ่นดินต่างแซ่ซ้องสดุดีพระองค์ และพระองค์ทรงอำนาจเป็นที่สุด ทรงปรีชาญาณเป็นที่สุด” (คำแปลคัมภีร์ อัลกุรอาน ซูเราะฮ อัลฮัชรุ ,59:24)
บันทึกจากซากฟอสซิล
ในศตวรรษที่ 20 นี้ทฤษฎีการวิวัฒนาการไม่เพียงแต่จะถูกหักล้างด้วยกับวิทยาศาสตร์ทางด้านชีววิทยาโมเลกุลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ก็ยังถูกหักล้างด้วยกับวิทยาศาสตร์ทางด้านชีววิทยาที่เกี่ยวกับชีวิตของพืชและสัตว์โบราณอีกด้วยเช่นกัน
จากการขุดค้นที่ทำกันอยู่ทั่วโลกก็ทำให้เราทราบว่า ไม่มีการขุดพบซากฟอสซิลครั้งใดเลยที่จะสามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานสนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ได้
ฟอสซิลก็คือซากของสิ่งมีชีวิตที่ได้เคยมีชีวิตอยู่ในอดีต โครงกระดูกของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นสามารถคงอยู่ในสภาพเดิมได้ไม่เปลี่ยนแปลงถ้าโครงกระดูกมันถูกปกป้องให้พ้นจากอากาศ ซากฟอสซิลที่เหลืออยู่นี้แหละที่จะทำให้เราสามารถรับรู้ได้ถึงประวัติความเป็นมาของชีวิตบนโลกนี้ ดังนั้นซากของฟอสซิลนี้เองที่จะเป็นตัวตอบคำถามทางวิทยาศาสตร์ในปัญหาที่เกี่ยวกับแหล่งกำเนิดและที่มาของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
ทฤษฎีการวิวัฒนาการได้กล่าวอ้างว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน ตามทฤษฎีนี้แล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่แตกต่างกันไปเหล่านี้เป็นผลเกิดมาจาก การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในลักษณะที่ค่อยๆเป็นค่อยๆไปทีละเล็กทีละน้อยในช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน ทฤษฎีนี้ได้อ้างเหตุผลว่าสิ่งมีชีวิตประเภทแรกที่มีเซลเดียวนี้ ได้เกิดขึ้นมาและต่อจากนั้นเป็นระยะเวลาร้อยๆล้านปีก็ค่อยๆกลายเป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลังและก็กลายมาเป็นปลาไปตามลำดับ และก็ทึกทักกันไปว่าปลานี้ก็เกิดขึ้นมาอยู่บนบกและค่อยๆกลายเป็นสัตว์เลื่อยคลานไป และ ยังไม่จบเพียงแค่นั้น ก็ยังทึกทักอ้างกันต่อไปอีกว่านกและสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหลายที่มีอยู่ได้วิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลานอีกทีหนึ่ง
ข้อกล่าวอ้างทั้งหลายเหล่านั้นจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อ ปรากฏว่ามีสิ่งที่มีชีวิตที่อยู่ในช่วงกึ่งๆกลางๆที่กำลังจะกลายพันธุจากชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่งให้ได้เห็น เช่น ถ้าสัตว์เลื้อยคลานที่มีอยู่วิวัฒนาการไปเป็นนกจริงแล้วล่ะก็ ก็จะต้องมีสัตว์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ครึ่งตัวเป็นนกอีกครึ่งตัวเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่ได้อาศัยอยู่ไม่ช่วงใดก็ช่วงหนึ่ง และสัตว์เช่นนั้นก็จะต้องมีอวัยวะที่ยังไม่สมบูรณ์หรือยังพัฒนาไปได้ไม่เต็มรูปแบบ
ดาร์วินได้เรียกสัตว์ที่เขาสันนิษฐานเอาเองเช่นนี้ว่า “transitional forms” หรือสัตว์ที่กำลังอยู่ในช่วงของการวิวัฒนาการจากชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่ง ดาร์วินรู้ว่าการที่จะทำให้ทฤษฎีของเขาเป็นที่ยอมรับหรือได้รับการสนับสนุนก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการคุดพบซากสัตว์ หรือฟอสซิลที่มีลักษณะดังกล่าวนั้นคือซากฟอสซิลของ สัตว์ที่กำลังอยู่ในช่วงการวิวัฒนาการจากชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่ง ในหนังสือของดาร์วิน the Origin of Species เขาได้เขียนไว้ว่า ถ้าทฤษฎีของผมเป็นจริงแล้วละก็ นั้นก็หมายความว่าจะต้องมีสิ่งมีชีวิตเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีลักษณะทางด้านลำตัวที่อยู่ในช่วงการวิวัฒนาการปรากฏให้เห็นอยู่อย่างแน่นอน และสัตว์ที่ว่านั้นก็จะเป็นตัวเชื่อมไปสู่สัตว์ทุกชนิดที่แตกมาจากกลุ่มเดียวกัน และเมื่อเป็นอย่างที่ว่านี้แล้วก็จะต้องมีซากฟอสซิลของสัตว์ให้พบเห็นที่จะเป็นตัวบอกให้รู้ว่ามันได้เคยเป็นสัตว์ชนิดใดมาก่อนที่จะวิวัฒนาการมาเป็นสัตว์อีกประเภทหนึ่ง (Charles Darwin,the Origin of Species,1st ed p.179)
อย่างไรก็ตามดาร์วินรู้ดีว่าซากฟอสซิลที่ถูกค้นพบนั้นไม่มีปรากฏให้เห็นเลยถึงข้อสันนิษฐานของเขาที่เกี่ยวกับสัตว์ที่อยู่ในช่วงการวิวัฒนาการจากสัตว์ชนิดหนึ่งไปสู่สัตว์อีกชนิดหนึ่ง นั้นคือเหตุผลที่เขาได้ยอมลงทุนเขียนบทๆหนึ่งขึ้นมาเป็นพิเศษในหนังสือของเขา โดยกล่าวเกี่ยวกับปัญหานี้ไว้ดาร์วินได้ตั้งคำถามที่น่าปวดหัวนี้ขึ้นมาว่า
ถ้าสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาโดยผ่านขั้นตอนการวิวัฒนาการจริงแล้วล่ะก็ ทำไมเราไม่พบเห็นสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนสักที่เดียวที่จะมีลักษณะโครงสร้างที่กำลังจะกลายพันธุจากสัตว์ประเภทหนึ่งไปสู่สัตว์อีกประเภทหนึ่ง
แต่ทว่าตามทฤษฎีนี้แล้วจะต้องมีสิ่งมีชีวิตประเภทดังที่กล่าวมา ให้ปรากฏเห็นนับจำนวนไม่ถ้วนที่กำลังจะกลายพันธุ์หรือกำลังวิวัฒนาการไปสู่สัตว์อีกชนิดหนึ่ง แต่ทำไมเราไม่พบสัตว์ที่กล่าวมานี้ที่ถูกฝังอยู่ตามชั้นดินต่างๆเลย ทั้งๆที่มันน่าจะมีจำนวนที่นับไม่ถ้วน (Charles Dawin,The Origin of Species,1st, ed p.172)
ดาร์วินได้นึกจิตนาการเอาไปเองว่าสิ่งมีชีวิตที่กำลังอยู่ในช่วงการวิวัฒนาการนี้จะหาเจอได้ก็ต่อเมื่อซากฟอสซิลได้ถูกตรวจสอบกันเป็นอย่างดีมากกว่านี้
ต่อจากนั้นนักทฤษฎีวิวัฒนาการที่หลงเชื่อตามดาร์วินก็พยายามตรวจสอบชั้นดินทางด้านธรณีวิทยาทั่วโลกดูอีกในช่วง 104 ปีที่ผ่านมาโดยพยายามหาซากฟอสซิลที่หายไปของสิ่งมีชีวิตตามการวิวัฒนาการที่เขาจิตนาการขึ้นมาเองนี้ แต่ความพยายามทั้งหลายเหล่านั้นก็ต้องจบลงด้วยความผิดหวังสิ่งมีชีวิตตามการวิวัฒนาการที่ดาร์วินได้จิตนาการไว้นี้ก็ยังคงเป็นการจิตนาการต่อไป
นักชีววิทยาทางด้านพืชและ สัตว์โบราณชาวอังกฤษ Derek Anger ได้ยอมรับความจริงข้อนี้ ถึงแม้ตัวเขาเองจะเป็นนักทฤษฎีวิวัฒนาการก็ตาม
จากการสำรวจดูซากฟอสซิลอย่างละเอียดแล้วไม่ว่าจะดูตามลำดับชั้นตระกูลหรือตามประเภทชนิด เราก็ไม่สามารถพบร่องรอยที่จะบ่งได้ถึงการวิวัฒนาการไปทีละเล็กทีละน้อยตามที่กล่าวอ้างเลยแม้สักครั้งเดียว แต่จะพบว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเกิดขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ในทันทีทันใดในกลุ่มชนิดของมันโดยไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ และนั้นก็หมายความว่ามันมิได้วิวัฒนาการมาจากกันนั้นเอง (Derek Ager, Proceedings of the British Geological Association,Vo.87,p.133,ข้อมูลการบันทึกของสมาคมทางด้านธรณีวิทยาของประเทศอังกฤษ)
ชั้นพื้นดินที่มีอายุเก่าแก่มากที่สุดที่ซึ่งได้มีการขุดพบซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตนั้นก็คือชั้นดินในยุคของแคมเบรียน ซึ่งมีอายุเก่าแก่ประมาณ 500-530 ล้านปี ในชั้นพืนดินที่มีอายุมากกว่ายุคของแคมเบรียนนี้ไม่มีการขุดพบซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตใดๆนอกจากสิ่งมีชีวิตเล็กๆไม่เพียงกี่ชนิดที่มีเพียงเซลเดียว แต่กระนั้นก็ดีในยุคของแคมเบรียนนั้นจะเห็นได้ว่า มีสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดมากมายปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลัน
สัตว์ที่ไร้กระดูกสันหลังมากกว่า 30 ชนิดปรากฏขึ้นมาในทันที่ทันใดโดยไม่มีร่องรอยแห่งการวิวัฒนาการกันมาแต่อย่างใดสัตว์ที่พบ เช่นแมงกะพรุน ปลาดาว แมงทะเล หอยทาก สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีระบบการทำงานในตัวของมันที่ซับซ้อน เช่นระบบการหมุนเวียนขับถ่ายและมันก็ยังมีระบบการทำงานของอวัยวะส่วนต่างๆที่น่าซับซ้อนเป็นอย่างมากอีกด้วยเช่นกัน เช่นตาของแมงทะเลนั้นจะมีช่องเล็กๆมองดูคล้ายกับรวงผึ้งเป็นร้อยๆช่องโดยที่แต่ละช่องนั้นจะมีระบบเลนส์แบบสองชั้น และนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งแห่งมหัศจรรย์แห่งการสร้างสรรค์และการออกแบบมาและแมงทะเลนี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดแรกของโลกที่มีตา และสิ่งนี้ก็จะใช้เป็นตัวที่จะมาหักล้างอย่างเด็ดขาดถึงข้อกล่าวอ้างของพวกที่ยึดถือลัทธิดาร์วินที่ว่าสิ่งมีชีวิตค่อยๆวิวัฒนาการจากสิ่งมีชีวิตที่หยาบๆไม่ซับซ้อนอะไรไปสู่สิ่งมีชีวิตที่มีระบบการทำงานที่ซับซ้อน
ยิ่งไปกว่านั้นลักษณะโครงสร้างของตาที่คล้ายๆรวงผึ้งของแมงทะเลนี้ได้มีมานานแล้วตั้งแต่ 530 ล้านปีโดยไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อยแมลงที่มีอยู่ในปัจจุบันเช่น ผึ้ง และแมงปอ ก็มีลักษณะโครงสร้างทางตาที่เหมือนกันกับแมงทะเลนี้
ตามทฤษฎีการวิวัฒนาการนี้สิ่งมีชีวิตจะต้องค่อยๆวิวัฒนาการเกิดขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ก่อนแล้ว แต่อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏว่าจะมีสิ่งที่มีชีวิตชนิดใดที่จะมีลักษณะโครงสร้างอันซับซ้อนปรากฏหรือเกิดขึ้นมาก่อนหน้าแมงทะเลนี้ หรือก่อนหน้าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆที่มีอยู่ในยุคแคมเบรียนสิ่งมีชีวิตในยุคแคมเบรียนเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันโดยที่มันมิได้วิวัฒนาการมาและมันก็ไม่มีบรรพบุรุษด้วย Richard Dawkins นักสัตว์วิทยาชาวอังกฤษผู้ที่เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นผู้ที่สนับสนุนทฤษฎีการวิวัฒนาการนี้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังกล่าวยอมรับในสิ่งนี้ไว้ดังนี้
ดูเหมือนกับว่าสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในยุคแคมเบรียนจะมีอยู่อย่างนั้นก่อนแล้วโดยไม่มีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่จะบอกให้รู้ถึงการวิวัฒนาการเลย ( Richard Dawkins, The Blind Watchmaker , 1986 p.,229)
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับไปหักล้างทฤษฎีการวิวัฒนาการลงอย่างแน่นอนและเด็ดขาด เพราะดาร์วินได้เขียนไว้ในหนังสือของเขาเองว่า
ถ้าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่มาจากตระกูลเดียวกันเหล่านี้เกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแล้วล่ะก็นั้นก็จะทำให้ทฤษฎีที่ว่าด้วยการเลือกสรรทางธรรมชาติโดยผ่านขั้นตอนการวิวัฒนาการต้องจบลงอย่างแน่นอน (Charles Darwin,The Origin of Species,1st ,ed p.,302)
และสิ่งที่ดาร์วินกลัวนี้เองก็เกิดขึ้นมาจริงในยุคของแคมเบรียนนี้เอง ซึ่งเป็นช่วงที่มีการบันทึกซากฟอสซิลขึ้นในซากฟอสซิลที่มีอยู่ตามชั้นดินต่างๆ ที่มีมาในยุคหลังจากแคมเบรียนนี้ ก็จะเห็นได้ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน โดยอยู่ในรูปลักษณะโครงสร้างที่สมบูรณ์โดยไม่มีร่องรอยแห่งการวิวัฒนาการอยู่เลย สัตว์จำพวกปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ นก สัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมและสิ่งมีชีวิตอื่นๆอีกเป็นแสนๆชนิด เหล่านี้ เกิดขึ้นมาโดยฉับพลันและก็มีโครงสร้างลักษณะเฉพาะพิเศษในตัวของมันเอง โดยไม่มีร่องรอยแห่งการวิวัฒนาการใดๆเกิดขึ้นเลยในระหว่างจำพวกสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆเหล่านั้นอย่างที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้คิดจิตนาการกันไปเอง
ความจริงข้อนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเหล่านี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาตามแต่ชนิดและลักษณะของมัน โดยพระผู้เป็นเจ้า Mark Czarneck ซึ่งเป็นนักชีววิทยาทางด้านพืชและสัตว์โบราณและตัวเขาเองก็เป็นนักทฤษฎีวิวัฒนาการ ได้ยอมรับถึงความจริงข้อนี้ไว้ว่า
ปัญหาใหญ่ของทฤษฎีการวิวัฒนาการนี้อยู่ที่ซากฟอสซิล จากการขุดพบซากฟอสซิลไม่ได้บ่งบอกถึงร่องรอยที่จะบอกถึงการวิวัฒนาการตามที่ดาร์วินได้สมมุติฐานไว้เลย แต่ในทางตรงกันข้าม สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เกิดขึ้นมาและก็หายสาบสูญไปโดยฉับพลัน และสิ่งที่ดูเป็นเรื่องแปลกนี้ก็เป็นสิ่งที่จะมาช่วยสนับสนุนการกล่าวอ้างเหตุผลของผู้ที่เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดนั้นได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยพระผู้เป็นเจ้า (Mark Czarnecki,McLean's,19 January 1981,p.56)
ยิ่งไปกว่านั้น ซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตที่มีอายุเป็นร้อยล้านปีกับสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกันเลย อย่างเช่น ซากของ ปลาฉลามที่มีอายุถึง 400 ล้านปี กับปลาฉลามที่มีอยู่ในปัจจุบันก็มีลักษณะโครงสร้างที่เหมือนกันทุกอย่างเลย เช่นเดียวกัน ซากฟอสซิลของมดที่มีอายุถึง 100 ล้านปีกับมดที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซากฟอสซิลของแมลงปอ อายุ135 ล้านปี กับแมลงปอที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซากฟอสซิลของ เต่าอายุ 100 ล้านปีกับ เต่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซากฟอสซิลของ ค้างคาวอายุ 55 ล้านปีกับ ค้างคาวที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกันเลย
นั้นก็หมายความว่า สิ่งที่มีชีวิตทุกประเภทและทุกชนิด ได้ถูกสร้างขึ้นมา โดยพระผู้เป็นเจ้า โดยที่มันมิได้ผ่านขั้นตอนการวิวัฒนาการมาแต่อย่างใด หลังจากที่มันได้ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว
แต่กระนั้นก็มีซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้หยิบยกขึ้น เพื่อนำมากล่าวอ้างให้คนเชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาจากการวิวัฒนาการจริง แต่ต่อมาในภายหลังก็ปรากฏออกมาว่าไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย
หนึ่งในฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตที่เป็นตัวการสำคัญ ที่ทำให้พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการนำมาใช้กล่าวอ้าง เพื่อที่จะสนับสนุนทฤษฎีนี้ก็คือ ซากฟอสซิลของปลาชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า Coelacanth เป็นเวลาหลายปีด้วยกันที่นักทฤษฎีวิวัฒนาการ กล่าวอ้างว่าปลาชนิดนี้เป็นซากฟอสซิลชนิดเดียวเท่านั้นที่มีคุณลักษณะที่เหมือนกันกับสัตว์ที่อาศัยอยู่บนบก โดยพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านี้ได้อ้างเหตุผลว่าปลาชนิดนี้มีโครงสร้างของขาและปอดที่หยาบๆที่ไม่มีระบบที่ซับซ้อนอะไรมาก และข้อกล่าวอ้างของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านี้ก็ถูกเชื่อกันไปว่าเป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์ และก็ยังมีการวาดภาพขึ้นมาจากจิตนาการ โดยเป็นภาพของสัตว์ชนิดหนึ่งที่กำลังคลานขึ้นมาจากน้ำเพื่อที่จะขึ้นมาบนบก และภาพวาดจิตนาการที่ถูกวาดขึ้นนี้ก็มีอยู่ให้เห็นตามหนังสือและตำราเรียนโดยทั่วไป ราวกับเป็นจริง
แต่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการก็ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมากเมื่อสัตว์ตัวอย่างที่พวกเขายกขึ้นมา กล่าวอ้างว่า เป็นปลา Coelacanth ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว นั้นถูกจับได้ที่มหาสมุทรอินเดียเมื่อปี 1938 และหลังจากนั้นก็เป็นที่รู้กันว่าปลาชนิดนี้ที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการกล่าวอ้างนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปกับปลาที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้เลย และปลา Coelacanth ที่ว่านี้ก็ไม่ได้มีขาและปอดที่หยาบๆ ที่ยังไม่สมบูรณ์เหมือนอย่างที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้กล่าวอ้างกันไว้เลยและที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ปลา Coelacanth ที่ทึกทักกันไปว่าคลานขึ้นมาบนบกนี้ จริงๆแล้วเป็นปลาชนิดที่จะอยู่อาศัยเฉพาะในน้ำทะเลลึกเพียงเท่านั้น และมันจะไม่ขึ้นมาเหนือน้ำ ภายในระยะ180เมตรจากพื้นน้ำ
สัตว์อีกชนิดหนึ่งที่ถูกนำมากล่าวอ้างว่าเป็นสัตว์ที่มาจากการวิวัฒนาการนั้นก็คือ ซากฟอสซิลของนกชนิดหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่า Archaeopteryx เป็นเวลาหลายทศวรรษด้วยกันที่ พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการ ได้กล่าวอ้างว่านก ชนิดนี้เป็นสัตว์ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการวิวัฒนาการระหว่างสัตว์เลื้อยคลานกับนก
แต่อย่างไรก็ตาม จากการค้นพบซากฟอสซิลซึ่งเป็นฟอสซิลที่ 7 ของนก Archaeopteryx ในปี 1992 นี้ก็ทำให้รู้ว่านกชนิดนี้มีกระดูกสันหน้าอกหรือกระดูกกลางหน้าอก ที่เป็นส่วนสำคัญต่อกล้ามเนื้อที่ใช้ในการบิน สิ่งนี้ได้พิสูจน์ให้รู้ว่า นกชนิดนี้เป็นนกที่บินได้ที่สมบูรณ์ มาแต่แรกไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันกับการวิวัฒนาการ เลย และคำกล่าวอ้างของพวกทฤษฎีวิวัฒนาการที่เกี่ยวกับเล็บที่มองดูเหมือนอุ้งเท้าที่อยู่บนปีกทั้งสองของนกชนิดนี้ ก็ต้องตกไปเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพราะมีการค้นพบลักษณะโครงสร้างของนกที่มีอยู่ในปัจจุบันที่เหมือนกันกับลักษณะโครงสร้างของนก Archaeopteryx เช่นนก Hoatzin เนื่องด้วยเหตุนี้นี่เองที่ Stephen Jay Gould นักชีววิทยาทางด้านพืชและสัตว์โบราณของมหาวิทยาลัยฮาวาดและเขาผู้นี้ก็เป็นผู้คอยปกป้องทฤษฎีการวิวัฒนาการเขาต้องกล่าวยอมรับว่านก Archaeopteryx นี้ไม่สามารถที่จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงร่องรอยแห่งการวิวัฒนาการได้
เมื่อเราได้ตรวจสอบดูลักษณะทางด้านโครงสร้างของสัตว์ชนิดต่างๆเราก็จะพบว่า มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีขั้นตอนการวิวัฒนาการเกิดขึ้นมาระหว่างสัตว์ที่ต่างชนิดกันเหล่านั้น เช่นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ปลาที่มีระบบการหายใจ การขับถ่ายตลอดจนลักษณะทางด้านโครงสร้างของตัวมันเองและระบบการเผ่าผลาญที่ได้ถูกออกแบบและกำหนดมาเป็นอย่างดีให้เหมาะแก่การมีชีวิตอยู่ในน้ำ เป็นไปไม่ได้ที่มันจะเปลี่ยนตัวของมันเองไปเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่บนบกโดยคลานขึ้นมาจากน้ำมาสู่บก
แม้แต่สัตว์บกก็ยังมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมากเลย พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการกล่าวอ้างว่า นกวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลาน โดยมันเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ แต่กระนั้นสัตว์เลื้อยคลานนั้นเป็นสัตว์เลือดเย็น ส่วนนกนั้นเป็นสัตว์เลือดอุ่น ลักษณะลำตัวของนกจะถูกปกคลุมไปด้วยขนที่ถูกจัดสร้างและเรียบเรียงมาอย่างสลับซับซ้อนและละเอียดอ่อน ส่วนลักษณะลำตัวของสัตว์เลื้อยคลานนั้นจะมีเกล็ดเต็มตัว ซึ่งไม่ได้มีความเหมือนกันกับขนของนกเลย นกมีระบบการทำงานของปอดที่ไม่เหมือนกันกับระบบการทำงานของปอดของสัตว์บกประเภทอื่นๆ คุณสมบัติในการล่อนไปในอากาศของปีกนกก็ไม่สามารถเป็นผลที่เกิดมาจากการวิวัฒนาการได้เลยอย่างเด็ดขาด มันเป็นไปไม่ได้ที่ปีกของนกจะค่อยๆ พัฒนาหรือวิวัฒนาการมาเหมือนอย่างที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้กล่าวอ้างกัน ทั้งนี้ก็เพราะปีกของนกที่ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ที่เป็นแบบครึ่งๆ กลางๆ นั้นนอกจากจะไม่เป็นข้อดีแล้วยังจะเป็นข้อเสียอีกด้วยและอาจถึงอันตรายได้
พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการก็ยังกล่าวอ้างอีกเช่นกันว่าสัตว์เลื้อยคลานบางชนิดได้เปลี่ยนไปเป็นสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม แต่ถึงอย่างนั้น สัตว์ทั้งสองจำพวกนี้ก็มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวที่แตกต่างกันมากเช่นกัน
สัตว์เลื้อยคลานจะวางไข่ส่วนสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะคลอดลูกออกมาเป็นตัว ลำตัวของสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะปกคลุมไปด้วยขนปุกปุยซึ่งตรงกันข้ามกับเกล็ดที่อยู่บนลำตัวของสัตว์เลื้อยคลาน ระบบในการคัดหลั่งน้ำนมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็มีลักษณะเฉพาะพิเศษของมัน ซึ่งพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการไม่มีวันที่จะอธิบายถึงลักษณะที่เฉพาะพิเศษในการคัดหลั่งน้ำนมนี้ได้
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงทางด้านซากฟอสซิลที่มีปรากฏให้เห็นอยู่ พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการก็เบนความสนใจไปยังข้อกล่าวอ้างที่ไร้หลักฐานอีกอย่างหนึ่งที่ว่า มนุษย์ได้วิวัฒนาการมาจากสัตว์ที่คล้ายลิง
จนถึงปัจจุบันนี้ได้มีลิงถึง 6500 ชนิดที่ได้เคยอาศัยอยู่บนโลกเรานี้ แต่ส่วนมากได้สูญพันธุไปหมดแล้ว กะโหลกของลิงจำนวนมากที่ได้สูญพันธุไปแล้วนี้ไม่ว่าจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ กะโหลกเหล่านี้ ก็เป็นตัวการสำคัญที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการนำมาใช้เป็นข้อกล่าวอ้างถึงทฤษฎีการวิวัฒนาการตามที่พวกเขาเฝ้อฝันกันต่อไป โดยพวกเขาเหล่านี้ได้กุเรื่องและสร้างฉากขึ้นมาหลอกผู้คน โดยพวกเขาจัดเรียงกะโหลกของลิงที่สูญพันธุไปแล้วเหล่านี้ โดยเริ่มตั้งแต่กะโหลกที่มีขนาดเล็กที่สุดไปจนถึงขนาดใหญ่ที่สุด โดยในขณะเดียวกันพวกเขาก็แอบแซรกกะโหลกศีรษะของเผ่ามนุษย์ที่สูญพันธุไปแล้ว เข้าไปปนอยู่ในบรรดากะโหลกของลิงเหล่านี้ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะตบตาผู้คน
สัตว์จำพวกลิงชนิดหนึ่งที่สูญพันไปแล้วที่เรียกกันว่า Australopithecus นี้เป็นตัวการสำคัญที่สุดที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการนำมาใช้จัดฉากตบตาผู้คน
ซากฟอสซิลของ Australopithecus ได้ถูกขุดพบเป็นครั้งแรกในปี1924 โดยนักชีววิทยาทางด้านพืชและสัตว์โบราณนั้นคือ Raymond Dart และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการก็ได้ถือโอกาสกล่าวอ้างว่าลิงชนิดนี้ เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งที่คล้ายมนุษย์ และลิงชนิดนี้ถ้าแปลตามเชื่อแล้วหมายถึง ลิงที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้
อย่างไรก็ตามเมื่อได้มีการนำกะโหลกของ Australopithecus มา เปรียบเทียบดูกับกะโหลกของลิงซิมแพนซี ดู แล้วก็พบได้ว่าไม่มีความแตกต่างกันไปมากเท่าไหร่เลยระหว่างกะโหลกทั้งสอง
เมื่อเป็นเช่นนี้พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการก็สร้างสมมุติฐานขึ้นมาใหม่ว่า Autralopithecus นั้นจะเดินบน สองเท้าตัวตรง ซึ่งต่างกันจากลิงประเภทอื่นๆ
แต่ถึงกระนั้นนักกายวิภาควิทยาผู้มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งสองท่าน นั้นคือ Lord Solly Zuckerman และ ศาสตราจารย์ Charles Oxnard เขาทั้งสองนี้ ได้โต้แย้งและหักล้างคำกล่าวอ้างเช่นนี้ กล่าวง่ายๆก็คือ Autrolopithecus ซึ่งพวกนัก ทฤษฎีวิวัฒนาการใช้นำมากล่าวอ้างว่าเป็น บรรพบุรุษของมนุษย์นี้ไม่มีอะไรนอกไปจากเป็นเพียงลิงชนิดหนึ่งที่ได้สูญพันธุไปแล้วเท่านั้น
กล่าวอีกนัยก็คือ ซากฟอสซิลที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการนำมาใช้กล่าวอ้างโดยได้จัดแบ่งประเภทต่างๆไปตามที่พวกเขาจิตนาการขึ้นมา เช่น โฮโมอีแร็คทัส โฮโมเออแก็สเทอ หรือ โฮโมซาเพียน ซึ่งโฮโมซาเพียนนี้ จัดว่าอยู่ในยุคโบราณมาก ซากฟอสซิลที่นำมาอ้างทั้งหมดเหล่านี้นั้น จริงๆแล้วเป็นเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์เผ่าต่างๆที่แตกต่างกันไปเท่านั้น
เมื่อได้มีการสำรวจตรวจสอบดูจากฟอสซิลต่างๆเหล่านี้ก็พบว่า โครงกระดูกเหล่านี้จริงๆแล้วก็เหมือนกันกับโครงกระดูกของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในยุคปัจจุบัน ที่จะไม่เหมือนกันก็เป็นเพียงแค่ลักษณะโครงสร้างทางกะโหลกศีรษะที่แตกต่างกันไม่กี่อย่าง ถึงกระนั้นความแตกต่างกันเช่นที่กล่าวมานี้ก็สามารถพบได้ในเผ่าพันธุมนุษย์ที่แตกต่างกันที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ในยุคปัจจุบัน
Richard Leakey นักชีววิทยาทางด้านพืชและสัตว์โบราณและเป็นนักทฤษฎีวิวัฒนาการที่มีเชื่อเสียงที่โด่งดัง เขาผู้นี้ก็กล่าวยอมรับว่าความแตกต่างเล็กๆน้อยๆระหว่างกะโหลกศีรษะของ โฮโมอีเล็คทัส ตามที่เราจัดแบ่งประเภทกัน กับความแตกต่างกันกับกะโหลกศรีษระของมนุษย์ปัจจุบันนั้นเป็นเพียงความแตกต่างกันทางด้านชนชาติและเผ่าพันธุเพียงเท่านั้นเอง เขากล่าวว่าข้อแตกต่างเหล่านั้นจริงๆ ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความแตกต่างระหว่างมนุษย์ในยุคปัจจุบันของชนชาติต่างๆที่อาศัยอยู่ในภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน (Richard Leakey, The Making of Mankind,1981,p.62)
พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเมื่อต้องเผชิญกับความจริงทางด้านวิทยาศาสตร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็เหลือเพียงสิ่งๆเดียวที่จะใช้ปกป้องทฤษฎีของตนเองให้อยู่รอดและสิ่งเดียวที่เหลืออยู่สิ่งนั้นก็คือ การโฆษณาชวนเชื่อ การจัดฉากสร้างภาพการวิวัฒนาการของมนุษย์ให้ดูเหมือนจริงที่ได้มาจากการจิตนาการโดยไม่มีมูลฐานแห่งความจริงแต่อย่างใด โดยสิ่งเหล่านี้ได้ถูกยัดเยียดให้กับสาธารณะชนโดยผ่านทางสื่อและสิ่งตีพิมพ์ของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการ
ในภาพวาดที่แสดงให้เห็นถึงการวิวัฒนาการนี้จะมีสิ่งมีชีวิตที่มีขนขึ้นตามตัวและมีหน้าตาคล้ายลิง โดยภาพนี้จะถูกตกแต่งกันขึ้นให้รู้กันเป็นนัยๆว่า นี้คือมนุษย์ที่กำลังวิวัฒนาการ และสิ่งที่ภาพนี้ต้องการที่จะบอกก็คือสิ่งมีชีวิตจำพวกครึ่งมนุษย์ครึ่งลิงนี้ครั้งหนึ่งได้เคยมีชีวิตอาศัยอยู่บนโลกนี้
บ่อยครั้งที่ภาพวาดเหล่านี้ถูกวาดขึ้นเพื่อต้องการให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ทางด้านสังคมของสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ ภาพวาดที่หลอกลวงและตบตาคนเช่นนี้ได้ถูกวาดขึ้นในลักษณะที่เรียบเรียงลำดับการวิวัฒนาการ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้ความคิดและความเชื่อในเรื่องการวิวัฒนาการของมนุษย์นี้ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของผู้คนโดยไม่รู้ตัว
แม้แต่ในสำนักพิมพ์ผลงานทางวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ก็บ่อยครั้งที่ยังสร้างภาพจัดฉากหลอกลวงผู้คนโดยที่เราเรียกกันว่า สิ่งที่ถูกจัดประกอบกันขึ้นมาใหม่ หรือที่เรียกว่า reconstructions และก็มีภาพวาดแผนภูมิที่เรียงลำดับการวิวัฒนาการที่ได้มาจากจิตนาการซึ่งสิ่งที่พวกเขาทำขึ้นมาเหล่านี้ เกิดขึ้นมาจากแรงดลใจอันเฟ้อฝันของพวกเขา การสร้างภาพจินตนาการของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านั้น ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ การสร้างหุ่นจำลอง หรือการวาดภาพตามจิตนาการที่เฟ้อฝันเพียงเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังสร้างภาพยนตร์ที่มีตัวละครเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นครึ่งคนครึ่งลิงตามที่พวกเขาจิตนาการกันขึ้นมาเพื่อลวงโลกด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งทั้งหมดเหล่านี้เป็นการหลอกลวงตบตากันอย่างชัดเจนโดยทั่วไปแล้วหลักฐานชิ้นเดียวที่มีอยู่นั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเศษกะโหลกศีรษะเพียงไม่กี่ชิ้นหรือไม่ก็กระดูกหน้าแข้ง ผม ผิวหนัง จมูก หู ริมฝีปาก และลักษณะทางโฉมหน้าอื่นๆของสิ่งมีชีวิตนั้นไม่สามารถที่จะถูกบ่งชี้หรือกำหนดได้โดยดูจากซากกระดูกที่เหลืออยู่
นักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านี้ได้จัดแต่งเนื้อเยื้ออ่อนขึ้นมาซึ่งเนื้อเยื้อเหล่านี้ไม่สามารถพบได้ในซากฟอสซิลเลย ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้เข้ากับความต้องการของทฤษฎีการวิวัฒนาการของพวกเขา และเพื่อที่พวกนักทฤษฎีเหล่านี้จะได้สร้างและประกอบสิ่งใหม่ๆขึ้นมาจากห้องปฏิบัติงาน โดยเป็นไปตามจินตนาการของพวกเขา Earnst Hooten จากมหาวิทยาลัยฮาวาดกล่าวว่า ภาพเหล่านี้ไม่คุณค่าที่คู่ควรแก่การยกย่องทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด
ท่านสามารถที่จะสร้างลักษณะโฉมหน้าของลิงซิมแพนซีหรือ โฉมหน้าของนักปรัชญาคนใดคนหนึ่งขึ้นมาได้โดยใช้กะโหลกศีรษะของ Neanderthaloid ด้วยวิธีการและแบบอย่างเดียวกันสิ่งที่ถูกประกอบและสร้างกันขึ้นมาใหม่ของมนุษย์โบราณตามที่กล่าวอ้างกันเหล่านี้ ถ้าจะมีคุณค่าที่สมควรยกย่องทางวิทยาศาสตร์ก็มีน้อยมาก และก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้สาธารณะชนเข้าใจผิดกันไปเสียมากกว่า (EarnstHooten, Up From The Ape,1931,p.332)
พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการยิ่งไปไกลไปกว่านั้น จนกระทั่งพวกเขาได้สร้างหน้าตาหรือโฉมหน้าที่แตกต่างกันไปจากการใช้กะโหลกศีรษะเพียงกะโหลกเดียว พวกเขาได้สร้างซากฟอสซิลที่เรียกว่า Zinjantropus ขึ้นมาใหม่โดยพวกเขาสร้างซากฟอสซิลนี้ขึ้นมาใน สามแบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
และทั้งหลายเหล่านี้ก็เป็นเครื่องบ่งบอกให้เรารู้เป็นอย่างดีว่า พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านี้มีความดื้อรั้นและฝังหัวเพียงไร โดยพวกเขายังคงทำหน้ากากอันจอมปลอมและหลอกลวงเหล่านี้ขึ้นมาอีก
พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะสร้างกลอุบายทางภาพวาดและการปั้นรูปขึ้นมาเพื่อหลอกลวงคนเพียงเท่านั้น แม้ในบางครั้งพวกเขาก็ยังเจตนาทำสิ่งปลอมแปลงขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ และสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อหลอกลวงสาธารณะชนที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดก็คือซากฟอสซิลของ Piltdown ที่ถูกนำมาแสดงในประเทศอังกฤษ ในปี1912 โดยนักทฤษฎีวิวัฒนาการคนหนึ่งที่มีเชื่อว่า Charles Dawson โดยซากฟอสซิลดังกล่าวนี้ได้ถูกนำมากล่าวอ้างว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุดที่บ่งชี้ถึงการวิวัฒนาการระหว่างมนุษย์กับลิง และซากฟอสซิลนี้ได้ถูกตั้งโชว์ อยู่ในพิพิธภัณฑ์ในประเทศอังกฤษ เป็นระยะเวลานานกว่า 30ปี ผู้เชี่ยวชาญได้ทำการตรวจสอบซากฟอสซิลนี้ดู อีกครั้งหนึ่งในปี 1949 และผลปรากฏออกมาว่าซากฟอสซิลนี้ทำขึ้นมาเองเพื่อหลวกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ โดยมันถูกทำขึ้นมา โดยการต่อขากรรไกรของลิงอุรังอุตรังเข้ากันกับกะโหลกของมนุษย์
อีกอย่างหนึ่งที่นักทฤษฎีวิวัฒนาการได้ปลอมแปลงขึ้นมาเพื่อหลอกลวงผู้คนให้หลงเชื่อไปกับทฤษฎีการวิวัฒนาการก็คือ Nebraska Man โดยสิ่งนี้ได้ถูกทำขึ้นมาในปี 1922 เพียงแค่อยู่บนพื้นฐานของซากฟอสซิลของฟันเพียงซี่เดียว พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านี้ก็ไม่รอช้าที่จะตั้งชื่อให้ มันเสียอย่างหรูหรา โดยตั้งเป็นภาษาลาตินว่า Hesperopithecus Haroldcooki และพวกเขาก็ไม่รอช้าเช่นกันที่จะวาดภาพเกี่ยวกับซากฟอสซิลที่พบอันนี้ขึ้นมา ไปตามจิตนาการของพวกเขา
แต่ไม่ช้าก็ถูกเปิดเผยว่าฟันซี่นี้ที่เป็นตัวการสำคัญที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการนำมากล่าวอ้างว่าเป็น Nebrask Man นั้นความเป็นจริงแล้วเป็นเพียงฟันของหมูป่าชนิดหนึ่ง
ซากฟอสซิลอันมากมายที่ถูกนำมาเป็นข้อกล่าวอ้างว่าเป็นหลักฐานของการวิวัฒนาการในที่สุดก็ต้องตกไปทีละชิ้น
Neanderthal Man ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างหลักฐานทางการวิวัฒนาการ ในปี 1856 แต่ก็ถูกยกเลิกไป ในปี 1960
Pildown Man ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างหลักฐานทางการวิวัฒนาการในปี 1912 แต่ก็ถูกยกเลิกไป ในปี 1953
Hesperopithecus ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างหลักฐานทางการวิวัฒนาการ ในปี 1922 แต่ก็ถูกยกเลิกไปในปี 1927
Zinjantropus ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างหลักฐานทางการวิวัฒนาการ ในปี 1959 แต่ก็ถูกยกเลิกไปในปี 1960
Ramapithecus ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างหลักฐานทางการวิวัฒนาการ ในปี 1964 แต่ก็ถูกยกเลิกไปในปี 1979
ถึงแม้ความจริงจะเป็นเช่นนี้แล้วก็ตาม แต่กะโหลกศีรษะเหล่านี้ก็ยังคงถูกนำมาเสนอต่อหน้าสาธารณะชน โดยผ่านทางสื่อมวลชนหรือไม่ก็ผ่านทางหนังสือหรือตำราเรียนที่เขียนโดยพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการราวกับว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นความจริง
หลักฐานทางการวิวัฒนาการตามที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้นำขึ้นมากล่าวอ้างเช่นนั้นโดย ส่วนมากแล้วก็ได้ถูกหักล้างและปฏิเสธโดยตัวของพวกเขาเอง
แต่กระนั้นมันก็ยังคงถูกนำมาสอนในตำราเรียนให้กับเด็กในโรงเรียน และในหนังสือเรียนเหล่านั้นก็จะมีภาพวาดเพื่อแสดงให้เห็นถึงบรรพบุรุษของมนุษย์ แต่โดยความเป็นจริงแล้ว ข้อเท็จจริงที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้พยายามอย่างหนักที่จะปฏิเสธและพยายามปกปิดไว้ ก็ได้มีอยู่ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ชัด แล้วแก่ทุกๆคน สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาบนโลกนี้อย่างฉับพลันและอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ทุกส่วน นั้นก็คือพวกมันได้ถูกสร้างขึ้นมานั้นเอง พระผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงมีอำนาจปกครองเหนือทั้งธรรมชาติ พระองค์ได้ทรงสร้างทุกสิ่งขึ้นมาพร้อมด้วยกับคุณลักษณะ เฉพาะตัวของสิ่งเหล่านั้นโดยสมบูรณ์
พระเจ้าผู้ทรงสร้างนั้นก็คือ อัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียว พระองค์ทรงเป็นพระผู้ทรงอภิบาลแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ตลอดจนสิ่งที่อยู่ในระหว่างชั้นฟ้าและแผ่นดิน
“โอ้มนุษย์อะไรหรือที่ล่อลวงเจ้า(ให้ทรยศ) กับองค์อภิบาลของเจ้า ผู้ทรงเกียรติยิ่ง พระองค์ทรงบันดาลเจ้า แล้วทรงจัดความสมดุลแก่เจ้าแล้วทรงประทานความสมส่วนแก่เจ้า ในรูปแบบใดที่พระองค์ทรงประสงค์พระองค์ก็ทรงประกอบแก่เจ้า(ให้เป็นไปตามรูปนั้น)” (คำแปลคัมภีร์ อัลกุรอาน ซูเราะฮ อัลอิมฟิฎอร บทที่ 82โองการ6-8 )
✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿
แปลและเรียบเรียงโดย อ.ชารีฟ วงศ์เสงี่ยม
สำหรับผู้ที่ต้องการค้นคว้าหรืออ่านข้อมูลเสริมเป็นภาษาอังกฤษเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เข้าได้ที่
http://www.harunyahya.com/c_refutation_darwinism.php
http://www.darwinism-watch.com/index.php
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น