الحمدلله والصلاة والسلام علي رسول الله وبعد
การจัดงานเมาลิดนบี (ฉลองวันคล้ายวันเกิด) ถือว่าเป็นอิบาดะห์ (ศาสนพิธี) ที่สำคัญที่สุด เป็นความเชื่อและการ ปฏิบัติของบรรดาผู้ที่จัดงานเมาลิด
เมื่อมีผู้กล่าวแก่พวกเขาว่า “หลักเกณฑ์ของปวงปราชญ์อิสลามมีอยู่ว่า อิบาดะห์ต้องมีคำสั่งใช้จากศาสนา ให้กระทำ ดังนั้นหลักฐานที่เป็นคำสั่งใช้ให้จัดงานเมาลิดอยู่ที่ไหน ?”
พวกเขาจะมีคำตอบว่า”เหตุที่เราจัดงานเมาลิดเพราะว่าเรารักท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม การรักท่านบีเป็นฟัรดู (จำเป็น) เหนือมุสลิมทุกคน เป็นรากฐานของอิสลาม อัลลอฮฺกล่าวว่า
لِتُؤْمِنُوا بِاللَّهِ وَرَسُولِهِ وَتُعَزِّرُوهُ وَتُوَقِّرُوهُ وَتُسَبِّحُوهُ بُكْرَةً وَأَصِيلًا
“เพื่อพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ และให้ความช่วยเหลือเขา (รอซูล) และยกย่อง ให้เกียรติเขา (รอซูล) และแซ่ซ้องสดุดีพระองค์ทั้งยามเช้าและยามเย็น”
(อัลฟัตฮฺ : 9)
(๑)การจัดงานเมาลิดเป็นกิจกรรมหนึ่งที่แสดงออกถึงการยกย่องให้เกียรติต่อท่านนบีท่านรอซูลุลลอฮฺ ซ็อลลัลลอ ฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า
ثَلَاثٌ مَنْ كُنَّ فِيهِ وَجَدَ حَلَاوَةَ الْإِيمَانِ أَنْ يَكُونَ اللَّهُ وَرَسُولُهُ أَحَبَّ إِلَيْهِ مِمَّا سِوَاهُمَا...
“สามประการที่ใครก็ตามมีเขาย่อมได้พบกับความหวานชื่นของการอีหม่าน (ศรัทธา) การที่อัลลอฮฺและ รอซูลเป็นที่รักที่สุดสำหรับเขา ..."
(บันทึกโดยบุคอรียฺ : 16 มุสลิม : 43)
(๒) และท่านนบีมุฮัมมัดซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า
وَالَّذِيْ نَفْسِيْ بِيَدِهِ لَا يُؤْمِنُ أَحَدُكُمْ حَتَّى أَكُونَ أَحَبَّ إِلَيْهِ مِنْ وَالِدِهِ وَوَلَدِهِ وَالنَّاسِ أَجْمَعِينَ
“ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ คนหนึ่งคนใดในพวกท่านจะยังไม่อีหม่าน จนกว่าจะฉันเป็นที่รักมากที่สุด โดยมากกว่ารักพ่อของเขาลูกของเขาและมนุษย์ทั้งหมด”
(บันทึกโดยบุคอรียฺ : 15 มุสลิม : 44 , 63)
(๓) พวกเรารักนบีมากที่สุดรักมากกว่าลูกๆของเรา มากกว่าพ่อแม่และบรรพบุรุษของเรา มากกว่าทรัพย์สมบัติ ของเรา มากกว่าตัวของเรา และมากกว่าใครทั้งหมด
ดังนั้นพวกเราต้องการแสดงออกถึงความรักของเราที่มีต่อท่านรอซูลโดยการจัดงานเมาลิดให้กับท่าน ซึ่งความ จริงพวกที่ไม่จัดงานเมาลิดนบี คือพวกที่ไม่รักนบี”
ท่านผู้อ่านจะเห็นว่าหลักฐานที่พวกเขาอ้างอิงในการจัดงานเมาลิดคือความรักที่มีต่อท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัล ลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เมื่อพวกเขากล่าวเช่นนี้เราก็มีคำกล่าวเพื่อตอบโต้และชี้แจงดังต่อไปนี้คือ...
ประการที่หนึ่ง
ท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมมีชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายมีอายุ๖๓ปี ๔๐ปีก่อนได้รับการแต่งตั้งจาก อัลลอฮฺให้เป็นรอซูล ๒๓ปี หลังการแต่งตั้ง ๑๓ปีที่มักกะฮฺ และ๑๐ปีที่มะดีนะฮฺหลังการอพยพ คำถามคือ มีการราย งานมาจากท่านนบีหรือไม่ว่าท่านได้จัดงามเมาลิดสักครั้ง หนึ่งในช่วงที่ท่านยังมีชีวิต อยู่อันเป็นช่วงเวลาที่ยาว นาน? คำตอบคือ ไม่มีแน่นนอน เพราะคนที่มีความรู้ในซุนนะฮฺ (แบบฉบับท่านนบี) เพียงเล็ก น้อยต่างรู้ดีว่าการ จัดงานเมาลิดนั้นท่านท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมไม่เคยจัดให้แก่ตัวท่านเอง
ประการที่สอง
บรรดามนุษย์ที่รักท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมมากที่สุด คือบรรดาซอฮาบะฮฺที่มีชีวิตอยู่หลัง จากท่านนบี ซอฮาบะฮฺท่านสุดท้าย ที่ตายคือในปีที่หนึ่งร้อยของฮิจเราะฮฺศักราช คำถามคือ มีการรายงานหรือ ไม่ว่ามีซอฮาบะฮฺท่านหนึ่งท่านใดจัดงานเมาลิดนบี ? คำตอบคือ แน่นอนไม่มี ดังนั้นหนึ่งศตวรรษผ่านพ้นไป โดยที่ไม่มีผู้ใดจัดงานเมาลิดนบี.
ประการที่สาม
บรรดาซอฮาบะฮฺได้ถ่ายทอดความรักอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม สู่หัวใจ ของผู้คนรุ่นต่อมาคือบรรดาตาบิอูน บรรดาตาบิอูนก็ได้ถ่ายทอดสู่คนรุ่นต่อมาคือตาบิอิตตาบิอีน คำถามคือมีนัก ปราชญ์ท่านใดหรือไม่ในช่วงศตวรรษที่ประเสริฐได้จัดงานเมาลิดนบี? คำตอบคือ แน่นอนไม่มี.
จากสามประการนี้ชี้ชัดว่าการจัดงานเมาลิดนบีเป็นงานที่ท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม บรรดา ซอฮาบะฮฺ บรรดาตาบิอูนตาบิอิตตา บิอีนและบรรดานักปราชญ์ชาวสลัฟไม่ได้จัด ดังนั้นผู้ที่จัดงานเมาลิดคือ ผู้อุตริสิ่งใหม่ขึ้นมาในศาสนา ท่านนบีมุฮัมมัดซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะ ซัลลัมกล่าวว่า
مَنْ أَحْدَثَ فِيْ أَمْرْنَا هَذَا مَا لَيْسَ مِنْهُ فَهُوَ رَدٌّ
“ผู้ใดที่ประดิษฐ์สิ่งใหม่ในกิจการของเราที่ไม่ใช่กิจการของเราถือว่าเป็นโมฆะ”
(บันทึกโดยมุสลิม : 1718)
مَنْ عَمِلَ عَمَلاً لَيْسَ عَلَيْهِ أَمْرُناَ فَهُوَ رَدٌّ
“ผู้ใดที่ปฏิบัติงานหนึ่งที่ไม่ใช่กิจการของเรา ถือว่าเป็นโมฆะ”
(บันทึกโดยมุสลิม : 1718)
ประการที่สี่
ผู้ที่จัดงานเมาลิดอ้างหลักฐานที่จัดงานเมาลิดขึ้นมาก็เพราะความรักที่มีต่อท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัย ฮิวะซัลลัม จงกล่าวชี้แจง แก่พวกเขาว่า "แท้จริงสิ่งที่แสดงออกถึงความรักนบีคือการปฏิบัติตามแบบอย่างของนบี ไม่ใช่การต่อเติมสิ่งใหม่ขึ้นมาในศาสนา อัลลอฮฺได้กล่าวว่า
قُلْ إِنْ كُنْتُمْ تُحِبُّونَ اللَّهَ فَاتَّبِعُونِي يُحْبِبْكُمُ اللَّهُ وَيَغْفِرْ لَكُمْ ذُنُوبَكُمْ وَاللَّهُ غَفُورٌ رَحِيمٌ
“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า หากพวกท่านรักอัลลอฮฺ ก็จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮฺก็จะทรงรักพวกท่าน และจะทรงอภัยโทษความผิด ทั้งหลายของพวกท่าน และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตา เสมอ”
(อาลิอิมรอน : 31)
(๔) แก่นแท้ของความรักท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่ใช่แสดงออกด้วยการต่อเติมหรือการ อุตริสิ่งใหม่ขึ้นมาในศาสนา แต่ทว่าการรักท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมแสดงออกมาด้วยการดำ เนินตามแนวทางของท่าน การดำเนินตามแนวทาง ของท่านไม่ใช่ด้วยการฝ่าฝืนและการอุตริ
ประการที่ห้า
วิธีการแสดงออกถึงความรักท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมจำเป็นต้องปฏิบัติตามหลักการศาสนา ที่ท่านนบีได้กำหนดไว้ ไม่ใช่ตามวิธีการที่แต่ละคนกำหนดกันขึ้นมาเอง โดยหลักพื้นฐานที่ทุกคนรู้ดีและสอด คล้องกันคือวายิบ (จำเป็น) ต้องรักท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แต่ว่าที่แตกต่างกันคือวิธีการ ปฏิบัติ
ดังนั้นที่ถูกต้องของวิธีการแสดงออกถึงความรักท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมคือการดำเนินตาม แบบอย่างของท่าน. พวกที่จัดงานเมาลิดจะกล่าวว่า”อันที่จริงแล้ววิธีการแสดงออกถึงความรักท่านนบีคือ การจัดงานเมาลิดนบี” เราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า”แท้จริงหลักฐานที่บัญญัติใช้ให้ปฏิบัติอิบาดะฮฺหนึ่ง อิบาดะฮฺใดนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นหลักฐานบัญญัติ วิธีการปฏิบัติ อิบาดะฮฺนั้นด้วย”
ประการที่หก
ศาสนาอิสลามสมบูรณ์แล้ว อัลลอฮฺกล่าวว่า
الْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ وَأَتْمَمْتُ عَلَيْكُمْ نِعْمَتِي وَرَضِيتُ لَكُمُ الْإِسْلَامَ دِينًا
“วันนี้ข้าได้ทำให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้วซึ่งศาสนาของพวกเจ้า และข้าได้ทำให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้า แล้ว ซึ่งความกรุณาเมตตา ของข้า และข้าพอใจให้อิสลามเป็นศาสนาของพวกท่าน…”
(อัลมาอิดะฮฺ : 3)
(๕) อายะห์นี้ถูกประทานลงมาให้แก่ท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมขณะที่ท่านอยู่ที่ทุ่งอะรอฟะฮฺ ตรงกับวันศุกร์ ดังนั้นเรื่องใดที่ไม่ได้ เป็นเรื่องศาสนาในวันนั้น ในขณะนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องของศาสนา หากผู้จัดงาน เมาลิดนบีกล่าวว่า”การจัดงานเมาลิดนบีเป็นงานศาสนาแต่ว่าท่านนบี มุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ปกปิดไว้”
เพราะท่านนบีมุฮัมมัดซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเป็นผู้เผยแพร่อิสลาม ท่านจะยังไม่ตายจนกว่า ท่านจะได้ เผยแพร่ทุกสิ่งทุกอย่างที่อัลลอฮฺใช้ให้ทำการเผยแพร่ หากผู้จัดงานเมาลิดนบีกล่าวว่า” ท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เผยแพร่แล้วแต่ว่าบรรดาซอฮาบะฮฺได้ปกปิดเอาไว้” นี่เป็นคำพูดที่สร้าง ความหายนะอย่างใหญ่หลวง
เพราะมันเป็นการใส่ร้ายป้ายสีต่อบรรดาซอฮาบะฮ์ซึ่งเป็นการกระทำเฉกเช่นพวกรอฟิเฎาะฮฺที่พวกนี้กล่าวว่า ”บรรดาซอฮาบะฮฺปกปิดเรื่องนี้ไว้ ปกปิดมุซฮัฟ (กุรอ่าน) ของพระนางฟาติมะฮ์และปกปิดตัวบทที่ยืนยัน การเป็นคอลีฟะฮฺ (ผู้นำ) ของท่านอาลีอิบนฺอบีตอเล็บ ดังนั้นบรรดาซอฮาบะฮฺจึงไม่สมควรที่จะทำหน้าที่ ถ่ายทอดศาสนา” นี่คือการทำลายรากฐานของศาสนาอิสลาม. หากผู้จัดงานเมาลิดกล่าวว่า ”การจัดงาน เมาลิดนบีเป็นเรื่องที่เรารู้ที่มาจากสติปัญญาของเราเอง?” เราขอกล่าวชี้แจงว่า สติปัญญาของมนุษย์นั้นไม่มี สิทธิกำหนดเรื่อง อิบาดะฮ์(ศาสนพิธี)เพราะเรื่องอิบาดะฮฺต้องมาจากการกำหนดโดยศาสนาไม่ใช่กำหนด โดยสติปัญญาของมนุษย์.
หากผู้จัดงานเมาลิดกล่าวว่า” งานเมาลิดเป็นเรื่องที่บรรพบุรุษของเราปฏิบัติกันมา” เราขอชี้แจงว่าขนบธรรม เนียมประเพณีของบรรพบุรุษ ไม่ใช่ตัวกำหนดเรื่องหนึ่งเรื่องใดให้เป็นเรื่องศาสนาได้ จงระมัดระวังการกล่าวเช่นนี้
إِنَّا وَجَدْنَا آَبَاءَنَا عَلَى أُمَّةٍ وَإِنَّا عَلَى آَثَارِهِمْ مُهْتَدُونَ
“แท้จริงเราเห็นบรรพบุรุษของเราอยู่ในแนวทางนี้ ดังนั้นเราจึงดำเนินตามแนวทางของพวกเขา”
(อัซซุครุฟ : 22)
(๖) ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ผิดต่อหลักการศาสนาจะนำมาเป็นหลักฐานในการปฏิบัติไม่ได้ เพราะเรื่องอิบาดะฮฺ ต้องตามไม่ใช่ต่อเติม
หากผู้จัดงานเมาลิดกล่าวว่า”งานเมาลิดกลายเป็นเอกลักษณ์ของหลายๆประเทศไปแล้ว” เราขอชี้แจงว่า เมื่อไหร่เล่าที่เอกลักษณ์ของ ประเทศกลายเป็นมาตรฐานกำหนดเรื่องศาสนา? เพราะว่าเรื่องศาสนาด้านหลักการ ศรัทธาและอิบาดะฮฺขึ้นอยู่กับหลักฐาน จากอัลกุรอ่านและ ซุนนะฮฺตามความเข้าใจของสลัฟซอและฮฺ (บรรพชน ยุค ๓๐๐ปีแรก) ขนบธรรมเนียมและเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศจำเป็นต้องถูกตรวจสอบ โดยใช้อัลกุรอ่าน และซุนนะฮฺ เรื่องใดที่สอดคล้องกับอัลกุรอ่านและซุนนะฮฺเรื่องนั้นจึงจะเป็นที่ถูกตอบรับและนำมาปฏิบัติได้ ส่วนเรื่องที่สวนทางกับอัลกุรอ่านและซุนนะฮฺเรื่องนั้นคือผิดและต้องละทิ้งแม้ว่าทุกประเทศจะถือปฏิบัติก็ตาม ทั้งนี้เพราะอัลกุรอ่านและซุนนะฮฺคือเครื่องตรวจสอบ มาตรฐานและเป็นแนวทางที่เที่ยงตรงที่สุด
หากผู้จัดงานเมาลิดกล่าวว่า”งานเมาลิดหากว่าเป็นที่ต้องห้ามจริงทำไมจึงมีนักวิชาการคนนั้น คนนี้และอีกหลาย ๆ คนไปร่วมกัน” เราขอชี้แจงว่า เรื่องถูกไม่ได้วัดกันที่ตัวบุคคลแต่วัดกันที่ตัวบทหลักฐาน ที่ถูกต้อง ดังนั้นตัวบุคคลไม่ใช่มาตรฐานวัดความถูกต้องในเรื่องศาสนา แต่ว่าหลักการของศาสนาต่างหาก ที่เป็นหลักฐาน เป็นมาตรฐานวัดความถูกผิดและเป็นที่กลับเมื่อเกิดความขัดแย้ง ส่วนการกระทำและคำพูด ของนักวิชาการคือการชี้นำแนะนำหลักฐานเท่านั้นไม่ใช่เป็นตัวหลักฐาน คำพูดและการกระทำของบรรดา นักวิชาการจะถูกตอบรับ และถูกปฏิบัติ ตามก็ต่อเมื่อตรงและสอดคล้องกับอัลกุรอ่านและซุนนะฮฺเท่านั้น หากว่า ไม่ตรงและไม่สอดคล้องกับอัลกุรอ่นและซุนนะฮฺ ก็จะต้องถูกปฏิเสธและ จะต้องไม่นำมาปฏิบัติ อัลลอฮฺจะทรง สอบถามพวกเราในวันกิยามะฮฺโดยพระองค์จะทรงตรัสว่า
مَاذَا أَجَبْتُمُ الْمُرْسَلِينَ
“...พวกเจ้าตอบรับแก่บรรดารอซูลว่าอย่างไร?”
(อัลเกาะศ็อศ : 65)
(๗) ไม่ใช่ตอบรับนักวิชาการคนนั้นคนนี้ว่าอย่างไร หากผู้จัดงานเมาลิดกล่าวว่า”การจัดงานเมาลิดนบีไม่ได้ถูกจำ กัดวงเพียงบางคนหรือบางกลุ่ม เท่านั้น แต่ว่ามีคนมากมายนับไม่ถ้วนที่จัดงานเมาลิดนบี” เราขอกล่าวว่า ความจริงความถูกต้องไม่ได้วัดกันที่ปริมาณของผู้ปฏิบัติ กล่าวคือ เมื่อมีผู้ปฏิบัติมากคือถูกต้องเมื่อมีผู้ปฏิบัติน้อย คือผิด แต่ว่าความจริงความถูกต้องนั้นวัดกันที่การปฏิบัตินั้น ๆ ตรงและสอดคล้องกับหลักฐาน คืออัลกุรอ่าน และซุนนะฮฺหรือไม่ ตรงคือถูกต้องไม่ตรงคือผิด และบางทีคนส่วนมากก็หลงผิด ดังที่อัลลอฮฺกล่าวว่า
وَإِنْ تُطِعْ أَكْثَرَ مَنْ فِي الْأَرْضِ يُضِلُّوكَ عَنْ سَبِيلِ اللَّهِ
“และหากเจ้าเชื่อฟังคนส่วนมากในแผ่นดิน พวกเขาจะทำให้เจ้าหลงออกจากแนวทางของอัลลอฮฺ…”
(อันอาม : 116)
(๘) และคนส่วนน้อยที่ได้รับการยกย่องก็มีดังที่อัลลอฮฺ กล่าวว่า
وَقَلِيلٌ مِنْ عِبَادِيَ الشَّكُورُ
“…และส่วนน้อยจากบ่าวของเราที่เป็นผู้ขอบคุณ”
(ซะบะอฺ : 13)
(๙) ดังนั้นการที่คนส่วนมากกระทำมันไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ถึงความถูกต้องในการกระทำนั้น ๆ แต่ตัวบ่งชี้คือความ สอดคล้องกับอัลกุรอ่านและซุนนะฮฺ ของการกระทำนั้นๆ ส่วนคำว่า ”อัลญ่ามาอะฮฺ”ที่บางคนหมายถึงคนส่วน มาก ความจริงแล้วหมายถึงสิ่งที่สอดคล้องกับความถูกต้องแม้ว่าจะมี เพียงคนเดียวเท่านั้น.
ประการที่เจ็ด
ผู้จัดงานเมาลิดคือผู้ต่อเติมศาสนา กล่าวคือหากถามพวกเขาว่า”ศาสนาอิสลามสมบูรณ์หรือบกพร่อง ?” แน่นอนพวกเขาก็จะตอบว่า ”สมบูรณ์แล้ว” จงกล่าวแก่พวกเขาว่า”มันจะสมบูรณ์ได้อย่างไรกันในขณะที่พวก ท่านกล่าวว่า ยังมีอยู่อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปคือการจัด งานเมาลิด พวกท่านเชื่อว่าเป็นเรื่องศาสนาทั้ง ๆ ที่ไม่มีหลักฐานใช้ให้กระทำ” อย่างนี้จะให้เข้าใจได้อย่างไรในเมื่อพวกท่านกล่าวว่าศาสนา สมบูรณ์แต่ว่า ยังมีสิ่งหนึ่งขาดหายไปนั่นคือการจัดงานเมาลิดนอกจากว่า พวกท่านคือผู้ที่ต่อเติมศาสนา”
ประการที่แปด
หากว่าการจัดงานเมาลิดเป็นของดีจริง บรรดาชนยุคสลัฟต้องปฏิบัติก่อนพวกเราอย่างแน่นอน พวกเขาต้องไม่ ละทิ้งเพราะว่าพวกเขาเป็นพวก ที่ห่วงใยในเรื่องดี พิทักษ์รักษาเรื่องดียิ่งกว่าพวกเราหลายเท่า แต่ที่พวกเขาไม่จัด งานเมาลิดก็เพราะว่ามันเป็นเลวร้าย เป็นการทำบิดอะฮฺ โดยเหตุนี้บรรดาสลัฟจึงมีอิจมาอฺ (มติเอกฉันท์) ให้ละทิ้ง การจัดงานเมาลิด ซึ่งก็เป็นหลักฐานยืนยันว่างานเมาลิดไม่ใช่บัญญัติศาสนา เรื่องดีต้อง เป็นการดำเนินตามผู้คน ในยุคต้นอิสลาม เรื่องชั่วเป็นการตามผู้คนในยุคหลัง ๆ
ประการที่เก้า
บรรดานักวิชาการให้คำจำกัดความของบิดอะฮฺไว้ว่า “การทำอิบาดะฮฺ (ศาสนพิธี) ที่ไม่มีหลักฐานยืนยันใช้ให้ กระทำ” การจัดงานเมาลิดนบีเป็นส่วน หนึ่งจากบรรดาอิบาดะฮฺสำหรับผู้ที่ทำเมาลิด ดังนั้นหลักฐานจากอัลกุรอ่าน จากซุนนะฮฺ และจากแนวทางของชนสลัฟที่ใช้ ให้ทำเมาลิดอยู่ที่ไหน? หากว่าไม่อยู่ในขอบข่ายของบิดอะฮ์ใน ข้างต้นแล้วละก็ แน่นอนว่าในโลกใบนี้คงจะไม่มีบิดอะฮฺ ดังนั้นงานเมาลิดที่ จัดกันขึ้นมาเพื่อเป็นอิบาดะฮฺนั้น เป็นเรื่องที่ไม่มีหลักฐานใช้ เมื่อไม่มีหลักฐานใช้มันจึงเป็นบิดอะฮฺโดยไม่ต้องสงสัย
ประการที่สิบ
แนวทางที่ดีที่สุดคือแนวทางของท่านนบีมุฮัมมัดซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมและแนวทางของบรรดาซอฮาบะฮฺ ทางรอดและปลอดภัยในโลกนี้ และโลกหน้าคือการดำเนินตามแนวทาง การยึดถือหลักเกณฑ์และการเจริญรอย ตามแนวทางที่เที่ยงตรงของพวกเขา ในทางตรงกันข้ามการ ฝ่าฝืนแนวทางของพวกเขาคือหนทางแห่งความ หายนะทั้งโลกนี้และโลกหน้า ดังนั้นการนำแนวทางอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แนวทางของพวกเขามานำหน้าและใช้เป็นแนว ทางของศาสนาจึงเป็นความหลงผิดตั้งแต่ต้นจนจบ
ดังนั้นผู้ใดที่แสวงหาทางรอดและความปลอดภัย โปรดยึดมั่นแนวทางของชนสลัฟ โปรดอดทนอดกลั้นและ โปรดอย่าทำบิดอะฮฺเด็ดขาด ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วจะไม่มีสิทธิ์อยู่ร่วมกับพวกเขาในวันกิยามะฮฺ (ชาติหน้า) จะถูกห้าม ไม่ให้ดื่มน้ำจากแอ่งน้ำของท่านนบีมุฮัมมัดซ็อลลัลลอฮุอะลัย ฮิวะซัลลัมในวันกิยามะฮฺ ซึ่งผู้ที่มีสิทธิได้ดื่มคือ ประชาชาตินบีมุฮัมัดที่ไม่ทำบิดอะฮฺเท่านั้น ส่วนผู้ที่ทำบิดอะฮฺจะถูกขับไล่ออกจากแอ่งน้ำไม่ต่าง อะไรกับอูฐหลง ทางที่ถูกไล่ตะเพิดออกไป งานเมาลิดไม่ใช่แนวทางของสลัฟ ผู้จัดงานเมาลิดเป็นผู้ที่เฉไฉออกจากแนวทาง เป็นผู้ที่เอนเอียงออก จากหลักเกณฑ์ เป็นผู้ที่แสวงหาแนวทางของญาฮิลียะฮฺ (มืดมน) และเป็นผู้ที่เห็นแนวทาง อื่นดีกว่าแนวทางของสลัฟ หากว่าตายไป โดยที่ไม่ได้เตา บะฮฺ(กลับเนื้อกลับตัว)เขาต้องได้รับการลงโทษ อัลลอฮฺกล่าวว่า
يَوْمَ تَبْيَضُّ وُجُوهٌ وَتَسْوَدُّ وُجُوهٌ فَأَمَّا الَّذِينَ اسْوَدَّتْ وُجُوهُهُمْ أَكَفَرْتُمْ بَعْدَ إِيمَانِكُمْ فَذُوقُوا الْعَذَابَ بِمَا كُنْتُمْ تَكْفُرُونَ
“ วันซึ่งบรรดาใบหน้าจะขาวผ่อง และบรรดาใบหน้าจะดำคล้ำ ส่วนผู้ที่ใบหน้าของพวกเขาดำคล้ำนั้น (พวกเขาจะถูกถามว่า) พวกเจ้า ได้ปฏิเสธศรัทธา หลังจากที่พวกเจ้าศรัทธาแล้วกระนั้นหรือ ? พวกเจ้าจง ชิมการลงโทษเถิด เนื่องจากการที่พวกเจ้าปฏิเสธศรัทธา”
(อาละอิมรอน : 106)
(๑๐) ท่าอิบนอับบ๊าสกล่าวว่า “บรรดาใบหน้าของชาวซุนนะฮฺจะขาวผ่องและบรรดาใบหน้าของชาว บิดอะฮฺจะดำคล้ำ” ดังนั้นการฝ่าฝืน แนวทางสลัฟคือนำพาสู่ หลักยึดมั่นที่หายนะและ การงานที่สูญเปล่า ประการที่สิบเอ็ด การจัดงานฉลองวันคล้ายวันเกิดไม่ว่าจะเป็นวันเกิดท่านนบี หรือคนอื่น ๆ เป็นการดำเนินตาม แนวทางพวกยิวและคริสต์ ทั้งนี้เพราะว่าพวกอะฮฺลุลกิตาบ(ยิวและคริสตร์)มีการจัดงานในทำนองนี้ตลอดทั้งปีเช่น วันครบรอบวันเกิด วันแต่งงาน วันตาย เป็นต้น ท่านนบีมุฮัมมัดซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวห้ามไว้ว่า
مَنْ تَشَبَّهَ بِقَوْمٍ فَهُوَ مِنْهُمْ
“ผู้ใดที่เลียนแบบกลุ่มชนใดเขาก็เป็นกลุ่มชนนั้นด้วย”
(บันทึกโดยอบูดาวุด : 4031)
พวกคริสต์จะมีการจัดงานวันเกิดให้แก่นบีอีซาอะลัยฮิสสลาม ซึ่งเป็นแนวทางที่พวกเขาคิดค้นขึ้นมาเอง ดังนั้นการจัดงานเมาลิดนบีมุฮัมมัดตาม ความจริงแล้วก็คือรูปแบบหนึ่งจากบรรดารูปแบบของการลอกเลียนแบบ พวกอะฮฺลุลกิตาบที่ท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวถึงพวกนี้ไว้ว่า
لَتَتَّبِعُنَّ سَنَنَ الَّذِينَ مِنْ قَبْلِكُمْ شِبْرًا بِشِبْرٍ وَذِرَاعًا بِذِرَاعٍ حَتَّى لَوْ دَخَلُوا فِي جُحْرِ ضَبٍّ لَاتَّبَعْتُمُوهُمْ قُلْنَا يَا رَسُولَ اللَّهِ آلْيَهُودَ وَالنَّصَارَى قَالَ فَمَنْ
“แน่นอนว่าพวกท่านจะตามแนวทางของผู้ที่อยู่ก่อนหน้าพวกท่าน โดยตามแบบวาตามวา ศอกตาม ศอก คืบตามคืบ จนถึงขนาดว่าหากพวก เขาลงไปในรูแย้แน่นอนว่าพวกท่านต้องตามลงไป ” เหล่า ซอฮาบะฮฺกล่ววว่า “โอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺครับ หมายถึงพวก คริสต์และยิวใช่หรือไม่ ? ” ท่านรอซูลุลลอฮฺ ตอบว่า”มันจะเป็นใครอีกเล่า”
(บันทึกโดยมุสลิม : 4829)
พวกเราถูกห้ามไม่ให้เลียนแบบพวกคริสตร์และยิวแม้กระทั่งเรื่องที่เล็กน้อยเช่น การหวีผม การโกนหนวด การโกนเครา เป็นต้น แล้วนับประสาอะไรกับการกระทำที่สอดคล้องกับพวกเขาในเรื่องที่เป็นอิบาดะฮฺนั่นคือการจัด งานวันอีด (รื่นเริง) แน่นอนว่ามันเป็นเรื่อง ที่ต้องห้ามยิ่งกว่า
ดังนั้นเป้าหมายของการแสดงออกถึงความรักท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมจึงไม่อนุญาตให้ แสดงออกกันตามอำเภอใจได้ แต่จำเป็นต้องแสดงออกตามบัญญัติของศาสนาเท่านั้น เพราะว่าหลักฐานที่เป็น บัญญัติเรื่องพื้นฐานไม่ได้เป็นหลักฐานเรื่องวิธีปฏิบัติ.
والله أعلم بالصواب
✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿
จากบทความเรื่อง การจำแนกระหว่างรากฐานอิบาดะฮฺกับวิธีทำ
โดย เชควะลีด อิบนรอชิด อัสซุอัยดาน
แปลและเรียบเรียงโดย / ดาวู๊ด รอมาน
http://www.warasatussunnah.net
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น