อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

ฟิกรุน สลาฟียุน - แนวความคิดสะลาฟีย์



 การมีความจริงใจต่อการดะอฺวะฮฺ การเสียสละเพื่องานดะอฺวะฮฺ หรือการอยู่ในหมู่คนกลุ่มแรกที่เข้าร่วมงานในขอบเขตนี้  เหล่านี้มิใช่คุณสมบัติเพียงประการเดียวของการเป็นผู้นำในทำงานเพื่ออิสลาม

            ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะมีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเองในทัศนะของอัลลอฮฺ สุบหฯ  และในสายของประชาชนก็ตาม  ประเภทของภาวะผู้นำที่ต้องการนั้นควรเป็นบุคคลที่มีความสามารถในทางปัญญา  จิตวิทยาและความสามารถในทางการปฏิบัติจริง  นอกเหนือจากการมีคุณสมบัติเบื้องต้นทางด้านบุคลิก ธรรมจริยาและอีมานตามแบบนิยมที่ยึดสืบต่อกันมา

            สำหรับภาวะผู้นำนั้น  ข้าพเจ้ามิได้หมายถึงบุคคลที่อยู่ในระดับบนสุดของการปกครองโดยลำดับขั้น  แต่หมายถึงกลุ่มคณะที่วางแผนปฏิบัติงาน  ลงมือทำงาน  อำนวยการและควบคุมงาน  ตลอดจนทำให้การงานเหล่านั้นออกมาดีที่สุดภายใต้การบังคับบัญชาของกลุ่มคณะดังกล่าว  ทั้งนี้เพื่อแปรเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นจาก "ภาวะที่ถูกทำลาย" ไปสู่ "การสร้างสรรค์"  จาก "การโต้เถียงขัดแย้ง" ไปสู่ "การปฏิบัติงาน"  และจาก  "ความเกียจคร้าน" ไปสู่ "การดิ้นรนต่อสู้อย่างจริงจัง"

           สิ่งที่มีความสำคัญ ณ ที่นี้ได้แก่  เราควร(กระทั่งจะต้อง)เตรียมภาวะผู้นำซึ่งเป็นที่ต้องการสำหรับยุคสมัยที่กำลังมาถึง เพื่อทำให้เป็นที่มั่นใจว่าผู้ที่จะเข้ามายืนถือหางเสือเรือนั้นมีเพียงเหล่าผู้นำที่เข้มแข็ง  สัตย์ซื่อ วางใจได้และรอบรู้เท่านั้น เราต้องเตรียมภาวะผู้นำทางด้านแนวความคิด การศึกษาและการเมืองให้พร้อม

            นี่คือสิ่งที่เราต้องขบคิดอย่างจริงจัง  และดำเนินมาตรการและจังหวะก้าวในทางปฏิบัติที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้สัมฤทธิผล  เราต้องแปรเปลี่ยนทฤษฎีไปเป็นการนำไปปฏิบัติ
            ณ จุดนี้  ข้าพเจ้าใคร่ขออภิปรายเกี่ยวกับคุณลักษณะสำคัญของแนวความคิดที่เราจะสถาปนาขึ้น(ในตัวผู้นำการปฏิบัติงานรุ่นใหม่)โดยผ่านความมานะบากบั่นที่ปรารถนาอย่างแรงกล้านี้      
            แนวความคิดซึ่งการตัรฺบียะฮฺอันเป็นที่ต้องการของเราตั้งมั่นอยู่นั้นมีลักษณะพิเศษที่บรรดาครูบาอาจารย์ควรจะค้นหาและทำให้เป็นที่ยอมรับ  ... แนวคิดเหล่านี้ได้แก่

            ๑ .ฟิกรุน สลาฟียุน          - แนวความคิดสะลาฟีย์
            ๒. ฟิกรุน ตัจญดีดียุน      - แนวความคิดฟื้นฟู
            ๓. ฟิกรุน อิลมียุน           - แนวความคิดวิทยาศาสตร์
            ๔. ฟิกรุน วากิอียุน          - แนวความคิดที่เป็นจริง
            ๕. ฟิกรุน วะสะฏียุน        - แนวความคิดสายกลาง
            ๖. ฟิกรุน มุสตักบะลียุน   - แนวความคิดอนาคตศาสตร์


                                                        * * * * * * * * * *



ฟิกรุน สลาฟียุน - แนวความคิดสะลาฟีย์
     ในบรรดาลักษณะพิเศษเฉพาะของแนวความคิดนี้ได้แก่ความเป็นแนวความคิดสะลาฟีย์(แนวทางของชนมุสลิมยุคแรก)  คำว่า "สะลาฟีย์" นี้ข้าพเจ้าหมายถึงว่ามันควรจะเป็นแบบวิธีทางปัญญาที่วางอยู่บนพื้นฐานของการใช้ความเข้าใจในบทบัญญัติของอัล-กุรฺอาน  และข้อแนะนำของสุนนะฮฺตามที่เข้าใจโดยชนรุ่นที่ประเสริฐที่สุดของอุมมะฮฺ  ซึ่งได้แก่บรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านนบี ศ็อลฯ  และบรรดาผู้ดำเนินตามแนวทางของพวกเขาอย่างถูกต้อง

หลักมูลฐานของแบบวิธีสะลาฟีย์ที่แท้จริง

            แบบวิธีนี้โดยทั่วไปวางอยู่บนพื้นฐานของหลักการและหลักมูลฐานต่อไปนี้ :

            1.  ตัดสินโดยอาศัยตัวบทที่บริสุทธิ์  มิได้อาศัยคำพูดของคนเราเป็นเครื่องตัดสิน
            2. ใช้การกำหนดความหมายของมุตะชาบิฮาต(ตัวบทที่เข้าใจยาก)โดยอาศัยมุฮฺกะมาต(ตัวบทที่เข้าใจง่าย)  และกำหนดความหมายของซ็อนนียาต(ตัวบทที่ไม่มีข้อสรุปแน่นอน)โดยอาศัยก็อฏอียาต(ตัวบทที่มีข้อสรุปแน่นอน)เป็นเครื่องตัดสิน      
            3. ทำความเข้าใจสิ่งที่เป็นฟุรูอฺ(ข้อคิดเห็นที่ไม่สำคัญ)และญุซฺอียาต(ข้อวินิจฉัยเรื่องปลีกย่อย)โดยอาศัยอุศูล(หลักพื้นฐาน)และกุลลียาต(หลักทั่วไป)เป็นเครื่องนำทาง
         



"ทำความเข้าใจสิ่งที่เป็นฟุรูอฺ และญุซฺอียาต (ข้อวินิจฉัยเรื่องปลีกย่อย)โดยอาศัยอุศูล(หลักพื้นฐาน)และกุลลียาต(หลักทั่วไป)เป็นเครื่องนำทาง"

4. ส่งเสริมสนับสนุนอิจญ์ติฮาด(การวินิจฉัยปัญหาศาสนาของบุคคลที่อยู่ในระดับมุจญ์ตะฮิด)และตัจญ์ดีด(การฟื้นฟู)  ประณามความไม่ยืดหยุ่นและตักลีด(การทำตามอย่างไร้สติ)
            5. ในเรื่องของธรรมจริยา  มีการส่งเสริมสนับสนุนการยึดมั่นในความประพฤติที่ถูกต้อง ไม่ส่งเสริมความหละหลวม
            6. ในขอบเขตของฟิกฮฺ  มีการส่งเสริมสนับสนุนตัยสีรฺ(การทำให้สะดวกง่ายดาย)  แต่ไม่ส่งเสริมสนับสนุนตะอฺสีรฺ(การทำให้สิ่งต่างๆ ยุ่งยากและลำบาก)
            7. ในขอบเขตของการชี้แนะและการนำทาง  มีการส่งเสริมสนับสนุนตับชีรฺ (มีความสุภาพอ่อนโยนต่อประชาชน  และปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยดี)มากกว่าที่จะส่งเสริมสนับสนุนตันฟีรฺ(ทำให้พวกเขาหวาดกลัวโดยมีท่าทีหยาบกระด้างต่อพวกเขา)
            8. ในขอบเขตของอะกีดะฮฺ  มีการทุ่มเทความสนใจให้กับการบ่มเพาะอีมานที่ถูกต้องและมั่นคง  แต่ไม่สนใจกับญิดาล(การโต้เถียง)
            9. ในขอบเขตของอิบาดะฮฺ  มีการทุ่มเทความสนใจให้กับรูฮฺ (จิตใจและเนื้อหาสาระ)  แต่ไม่สนใจกับชักลฺ(รูปแบบ)
            10. ให้ความสนใจกับการยึดมั่นกฎเกณฑ์ในเรื่องทางศาสนา  และการสร้างสรรค์ใหม่ของระเบียบกฎเกณฑ์ทางโลก
            นี่คือสารัตถะของแบบวิธีที่เหล่าผู้ศรัทธาในยุคแรกปฏิบัติตาม  และนำมาประยุกต์ใช้ในการศึกษาทั้งทางทฤษฎีและทางปฏิบัติของชนรุ่นหัวกระทิของอุมมะฮฺ  ซึ่งอัลลอฮฺ ศุบหฯ ได้ทรงยกย่องชมเชยชนรุ่นนี้เอาไว้ในอัล-กุรฺอาน  ท่านนบี ศ็อลฯ เองได้สดุดีพวกเขาเอาไว้ในหะดีษ  นอกจากนี้ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาควรคู่แก่การยกย่องสรรเสริญอย่างแท้จริง
            พวกเขาได้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับอัล-กุรฺอานให้แก่ชนรุ่นต่อๆ มา  พวกเขาจดจำสุนนะฮฺ  บรรลุสู่ชัยชนะ  แพร่กระจายแสงสว่างของความยุติธรรมและเอี๊ยะฮฺซาน  สถาปนารัฐแห่งความรู้และอีมาน  สร้างอารยธรรมที่เป็นสากล  ที่เคร่งครัดศาสนา  มีมนุษยธรรมและเกี่ยวกับธรรมจริยา  .ความทรงจำหรืออนุสรณ์ของพวกเขายังคงมีอยู่ในประวัติศาสตร์

ความอยุติธรรมที่ "อัส-สะลาฟียะฮฺ" ได้รับทั้งจากฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายต่อต้าน

            คำว่า "สะลาฟียะฮฺ" ได้รับการปฏิบัติด้วยความไม่เป็นธรรมจากผู้สนับสนุน  และจากผู้ต่อต้านด้วยเช่นกัน
            ผู้สนับสนุนสะลาฟียะฮฺจำนวนมาก  หรือบรรดาผู้ที่ถูกประชาชนกล่าวอ้างว่าเป็นผู้สนับสนุนสะลาฟียะฮฺ  หรือผู้ที่อ้างตัวเองก็ตาม  บุคคลเหล่านี้ได้ตีวงแบบวิธีนี้ให้เป็นเพียงเค้าโครงของสิ่งที่เป็นระเบียบแบบแผนและการโต้เถียงปัญหาศาสนาที่เกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ของอิลมฺ อัล-กะลาม(ศาสตร์ทางด้านปรัชญา)  ฟิกฮฺหรือตะเศาวุฟ  พวกเขาใช้เวลาช่วงกลางวันและไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนตลอดทั้งคืนตั้งป้อมโจมตีอย่างไม่ปรานีปราศรัยเล่นงานบุคคลใดก็ตามที่คัดค้านความคิดเห็นของพวกเขาเกี่ยวกับประเด็นปัญหาเหล่านี้ในประเด็นใดประเด็นหนึ่ง  หรือปฏิเสธคำวินิจฉัยของบุคคลเหล่านั้นในส่วนที่เกี่ยวกับรายละเอียดข้อใดข้อหนึ่ง
            ทัศนคติของพวกเขากลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะ  จนกระทั่งปัจจุบันคนบางคนคิดว่าแบบวิธี "สะลาฟีย์" เป็นแบบวิธีของการโต้เถียงปัญหาศาสนา  ไม่ใช่การสร้างสรรค์และผลงานอะไรเลย  หรือบางคนคิดว่าสะลาฟีย์สนใจแต่เรื่องรายละเอียดปลีกย่อยโดยยอมสูญเสียหลักทั่วไป  หรือสนใจแต่ข้อคิดเห็นที่เป็นเรื่องถกเถียงขัดแย้งโดยยอมสูญเสียทัศนะที่ได้รับการเห็นพ้อง  ตลอดจนสนใจแต่เรื่องรูปแบบและตัวอักษรโดยยอมสูญเสียจิตใจและแก่นสารไป
            ในทางตรงกันข้าม  ผู้ต่อต้าน "อัส-สะลาฟียะฮฺ" พรรณนาว่ามันเป็นความล้าหลัง  กล่าวคือสะลาฟีย์มักจะมองย้อนหลัง  ไม่ยอมเคลื่อนไปข้างหน้า  และไม่มีความหาญกล้าทั้งในปัจจุบันและอนาคต  นอกจากนี้พวกเขายังพรรณนาว่าสะลาฟีย์เป็นความบ้าคลั่ง  ไม่เคยรับฟังและไม่เคยสนใจความคิดเห็นของคนอื่น  เพราะพวกเขาถือว่าสะลาฟีย์สวนทางกับตัจญ์ดีด  อิบดาอฺ(การสร้างสรรค์ใหม่)และอิจญ์ติฮาด  และยังห่างไกลจากทางสายกลางอีกด้วย  แท้จริงนี่คือความอยุติธรรมที่เกิดกับแนวทางสะลาฟียะฮฺ  ตลอดจนผู้สนับสนุนที่แท้จริงของแนวทางนี้

            บางทีผู้สนับสนุนแนวทาง "อัส-สะลาฟียะฮฺ" ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในยุคก่อนๆ นั้นเห็นจะได้แก่ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนิ ตัยมียะฮฺ  และท่าน อัล-อิมาม อิบนิ อัล-กอยยิม  ลูกศิษย์ของท่าน  ทั้งสองท่านเป็นตัวแทนของขบวนการเคลื่อนไหวฟื้นฟูอิสลามในยุคสมัยของพวกท่านที่คู่ควรที่สุดโดยแท้จริง  ขบวนการเคลื่อนไหวของพวกท่านเป็นการฟื้นฟูศาสตร์ต่างๆ ของอิสลามในลักษณะรอบด้าน  พวกท่านยืนเผชิญหน้ากับการตักลีดและลัทธิคลั่งไคล้ทางอุดมการณ์ ทางศาสนศาสตร์และทางนิติบัญญัติอิสลาม(ฟิกฮฺ)ที่เข้ามาครอบงำความคิดอิสลามเป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้ว
            อย่างไรก็ตาม  ถึงแม้ท่านจะต่อต้านแบบวิธีของการตักลีดที่มีลักษณะคลั่งไคล้ก็ตาม  แต่พวกท่านก็ยังให้ความเคารพและการยกย่องแก่เหล่าอิมามของมัซฮับ(สำนักนิติบัญญัติอิสลาม)ต่างๆ ตามสมควร  ดังที่ท่านอิบนิ ตัยมียะฮฺเขียนไว้ในตำราของท่านชื่อ  "ลบล้างคำกล่าวโทษที่มีต่ออิมามผู้มีชื่อเสียง"
            ยิ่งกว่านั้น  ในการรณรงค์ของพวกท่านเพื่อต่อต้านความวิปลาสทางด้านแนวความคิดและทางคำสอน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการสนับสนุนของบรรดาสำนักคิดฮุลูล(พระเจ้าเสด็จลงมาสิงสถิตในตัวมนุษย์)และอิตติฮาด(การขึ้นไปรวมกับพระเจ้า)  และความเบี่ยงเบนทางพฤติกรรมที่แทรกซึมเข้ามาในตะเศาวุฟโดยเงื้อมมือของคนโง่เขลา  คนหลอกลวงและพวกที่เห็นแก่เงิน  ท่านอิบนิ ตัยมียะฮฺ และท่านอิบนิ อัล-กอยยิมได้ปฏิบัติด้วยความยุติธรรมต่อแนวทางตะเศาวุฟขนานแท้  และยังได้ยกย่องชมเชยผู้สนับสนุนตะเศาวุฟที่ซื่อสัตย์อีกด้วย  พวกท่านได้ผลิตตำรับตำรามากมายทางด้านนี้  ในหนังสือชุดใหญ่ "มัจมัวอฺ ฟะตาวา" (ประมวลคำวินิจฉัยทางศาสนา) ของท่านอิบนิ ตัยมียะฮฺ  ปรากฏว่ามีข้อเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ถึงสองเล่มด้วยกัน  ท่านอิบนิ กอยยิมเองได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน  ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือหนังสือ "มะดาริจญ์ อัส-สาลิกีน"  (วิถีของผู้เดินทาง)  และ "ชัรฺฮ มะนาซิล อัส-สาอิรีน"  (คำอธิบายว่าด้วยสถานที่หยุดพักของนักเดินทาง)จำนวนสามเล่มด้วยกัน

นอกเหนือจากคำวินิจฉัยของพวกเขายังต้องนำแบบวิธีของสะลัฟมาใช้ด้วย

            ข้าพเจ้าจำต้องย้ำเอาไว้ ณ ที่นี้ว่า  เราต้องปฏิบัติตามแนวทางของสะลัฟ  มิใช่จะปฏิบัติตามเฉพาะคำพูดของพวกเขาเพียงอย่างเดียว  เพราะบุคคลอาจนำเอาคำวินิจฉัยของพวกเขามาประยุกต์ใช้ในรายละเอียดปลีกย่อยบางเรื่อง  แต่กลับไม่ทราบอะไรเลยเกี่ยวกับแบบวิธีที่มีความสมดุลและมีลักษณะประสานกันของพวกเขา
            บุคคลอาจจะนำเอาแก่นของแบบวิธีนี้ไปประยุกต์ใช้  และพยายามให้บรรลุเป้าหมาย  ขณะเดียวกันอาจจะมีความเห็นผิดแผกไปจากความคิดเห็นของเหล่ามุสลิมยุคแรกในบางข้อก็อาจเป็นไปได้
            นี่คือคำอธิบายว่าข้าพเจ้ามีจุดยืนที่แตกต่างจากท่านอิมามอิบนิ ตัยมียะฮฺ  และอิมามอิบนิ อัล-กอยยิมได้อย่างไร  ข้าพเจ้าเคารพและชื่นชมแบบวิธีของพวกท่านโดยรวม  แต่นั่นก็มิได้ทำให้ข้าพเจ้ายอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านทั้งสองเคยพูดเอาไว้  ถ้าข้าพเจ้ายอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านทั้งสองพูดเอาไว้  ก็เท่ากับข้าพเจ้ากำลังตักลีดตามท่านทั้งสองในทุกสิ่งทุกอย่าง  และดังนั้นจึงเป็นการละเมิดแบบวิธีที่ท่านทั้งสองสนับสนุน  และแบบวิธีที่ทำให้ท่านทั้งสองต้องต่อสู้กับความยากลำบากและการต่อต้านคัดค้านนานาชนิด  แบบวิธีของพวกท่านเรียกร้องให้มีการไตร่ตรอง  ให้ตัดสินด้วยข้อพิสูจน์  และพิเคราะห์โดยตัวข้อวินิจฉัยเอง  มิใช่โดยตัวตนของผู้ที่ทำการวินิจฉัย
            ดังนั้น เมื่อคนผู้หนึ่งยังตักลีดตามท่านอิบนิ ตัยมียะฮฺ  และท่านอิบนิ อัล-กอยยิม  แล้วการที่ผู้นั้นวิพากษ์วิจารณ์บรรดาบุคคลที่ตักลีดตามอิมามอบู หะนีฟะฮฺ  และอิมามมาลิกจะเป็นเรื่องถูกต้องได้อย่าง?

            นอกจากนี้  มันออกจะไม่เป็นธรรมแก่ท่านอิมามทั้งสอง  หากจะพาดพิงเฉพาะภาควิชาการและภาคสติปัญญาในชีวิตของท่านทั้งสอง  โดยละเลยด้านอื่นๆ ที่โชติช่วงชัชวาลในชีวิตอันกระตือรือร้นของท่านทั้งสอง  เราไม่ควรจะละเลยรูปการร็อบบานีย์(เคร่งครัดและยำเกรงต่อพระเจ้า)ที่ทำให้บุรุษอย่างอิบนิ ตัยมียะฮฺ กล่าวว่า "บางครั้งฉันก็กล่าวว่า  ถ้าผู้อยู่ในญันนะฮฺ(สวนสวรรค์)ดำเนินชีวิตเหมือนกับของฉัน  เมื่อนั้นก็หมายความว่าพวกเขาได้ดำเนินชีวิตที่งดงามแล้ว"  นอกจากนี้  ท่านยังเคยกล่าวในยามทุกข์ยากและในยามถูกกักขังว่า  "บรรดาศัตรูของฉันจะสามารถทำอะไรกับฉันได้?  การถูกกักขังของฉันเป็นการแยกตัวมาอยู่อย่างสันโดษ (เพื่อทำอิบาดะฮฺ)  และการถูกเนรเทศของฉันเป็นการเดินทางเพื่อศาสนา( เช่นเพื่อแสวงหาความรู้)  และการถูกประหารชีวิตของฉันเป็นชะฮาดะฮฺ(การพลีชีพ)"
            ท่านอิบนิ ตัยมียะฮฺเป็นผู้มีรสนิยมเคร่งครัดในศาสนา  เช่นเดียวกับอิบนิ อัล-กอยยิม  ลูกศิษย์ของท่าน  ผู้ใดก็ตามที่อ่านตำรับตำราของท่านทั้งสองด้วยความตั้งใจและสุจริตใจย่อมจะตระหนักในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี  ยิ่งกว่านั้นเราไม่ควรจะละเลยแง่มุมทางด้านการสนับสนุนช่วยเหลืองานดะอฺวะฮฺและญิฮาดในชีวิตของท่านอิมามทั้งสอง  ท่านอิบนิ ตัยมียะฮฺเคยมีส่วนร่วมในยุทธการทางทหารด้วยตัวของท่านเองเป็นบางครั้ง   ท่านได้ต่อสู้ด้วยมือของท่านเอง  และคำพูดของท่านยังได้คุ้ยเขี่ยไฟแห่งความเร่าร้อนให้ลุกโชนในหัวใจของทหารคนอื่นๆ  ท่านอิมามทั้งสองดำรงชีวิตอยู่ในการดิ้นรนต่อสู้อย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อฟื้นฟูอิสลาม  ต้องเข้าคุกหลายครั้งเพราะความพยายามอันเร่าร้อนของพวกท่าน  จนกระทั่งชัยคุลอิสลาม อิบนิ ตัยมียะฮฺ สิ้นชีวิตในคุกในปีฮิจเราะฮฺศักราช 728  นี่คือสิ่งที่สะลาฟียะฮฺขนานแท้เป็นไป !

            ถ้าเราตรวจสอบประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของเรา  เราจะพบว่าอุละมาอฺผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดซึ่งสนับสนุนส่งเสริมสะลาฟียะฮฺในบทความ  หนังสือและนิตยสารของท่าน  และยังได้ชูธงสะลาฟียะฮฺสมัยใหม่นั้นได้แก่อัลลามะฮฺ มุฮัมมัด รอชีด ริฎอ  ท่านเป็นบรรณาธิการผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าของนิตยสาร "อัล-มะนารฺ"  ตัฟซีรฺ อัล-มะนารฺซึ่งเป็นตัฟซีรฺที่มีชื่อเสียงรู้จักกันทั่วโลกมุสลิมยังได้รับการตีพิมพ์ลงในนิตยสารดังกล่าว
            อิมามมุฮัมมัด รอชีด ริฎอ เป็นผู้ฟื้นฟูอิสลามในยุคสมัยของท่านอย่างแท้จริง  ผู้ใดก็ตามที่อ่านตัฟซีรฺของท่าน  ฟะตาวาของท่าน  หรือหนังสือของท่าน  เช่น  อัล-วะหฺยุล มุฮัมมะดีย์ (การดลใจของมุฮัมมัด)  ยุสรุล อิสลาม (ความง่ายดายของอิสลาม)  นิดาอุ ลิลญินสิล ละฏีฟ (การเรียกร้องให้กับเพศหญิง)  อัล-คิลาฟะฮฺ (ระบบคิลาฟะฮฺ)  มุฮาวะรอตุล มุศลิหฺ วัล มุก็อดลิด (ข้อโต้แย้งของผู้ฟื้นฟูและผู้ยึดถือการตักลีด)  ตลอดจนหนังสือและบทความอื่นอีกมาก  จะตระหนักได้อย่างไม่ต้องสงสัยว่าความคิดของท่านอิมามมุฮัมมัด รอชีด ริฎอ เป็น "มะนารฺ" (ประภาคาร)อย่างแท้จริง  ซึ่งช่วยนำทางให้นาวาของอิสลามแล่นฝ่าไปในประวัติศาสตร์สมัยใหม่  ชีวิตในทางปฏิบัติของท่านเป็นการนำเอาแนวความคิดสะลาฟีย์มาประยุกต์ใช้โดยแท้จริง

            อิมามริฎอเป็นผู้ริเริ่มกฎทองที่ท่านอิมามหะสัน อัล-บันนาได้นำไปใช้ในเวลาต่อมา  นั่นคือข้อความว่า  "เราควรจะประสานความร่วมมือกันในสิ่งที่เราเห็นพ้องต้องกัน  และยกโทษให้แก่กันและกันสำหรับสิ่งที่เรามีความเห็นแตกต่างกัน"

            ช่างเป็นกฎที่น่าพิศวงอะไรเช่นนี้ ! (1)  แต่จะเป็นเช่นนี้ได้  ขอเพียงให้บรรดาผู้ที่อ้างว่าสนับสนุนและอ้างว่าเป็นผู้เจริญรอยตามชาวสะลัฟได้เข้าใจข้อความนี้อย่างถูกต้องเท่านั้น

- - - - - - - - - - - - - -





ชัยคฺ ดร. ยูซุฟ อัล-เกาะเราะฎอวียฺ เขียน
อบู ฟาอิซ  แปลและเรียบเรียง

http://www.fityah.com/


เชิงอรรถ

(1) ข้าพเจ้าได้พิสูจน์ลักษณะที่เชื่อถือได้และความมีเหตุผลของกฎดังกล่าวด้วยพยานหลักฐานจากชะรีอะฮฺ  กรุณาดูหนังสือ "ฟัตวาร่วมสมัย" ของข้าพเจ้าเล่มที่สอง   

   

·       เชิงอรรถอธิบายเพิ่มเติม เป็นของบุคคลที่ถูกระบุไว้ในวงเล็บ ได้แก่ บรรณาธิการ(ฉบับแปลภาษาอังกฤษ), ผู้แปล(คือแปลเป็นภาษไทย),  อัลอัค (ผู้อธิบายเพิ่มเติม) ส่วนที่ไม่ได้ระบุไว้นั้นเป็นของชัยคฺ ยูซุฟ อัล-เกาะเราะฎอวียฺ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น