อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558

อาคันตุกะผู้มาเยือน แสนประหลาด

(จากหนังสือ : มหัศจรรย์เรื่องเล่าจากอัลกุรอาน)
มยุรา วงษ์สันต์ (อุมมุ มีม) : แปลและเรียบเรียง
Jiyah Abdulloh โพสต์
............................................

ก่อนหน้านี้ ท่านนบีอิบรอฮีม (อ.ล.) และลูกืของพี่ชาย นามว่า “ลูฏ” ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่อิรัก ในช่วงเวลาหนึ่ง หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็อพยพไปยังดินแดนชามด้วยกัน โดยที่นบีอิบรอฮีม (อ.ล.) และภรรยาคือนางซาเราะฮ์ได้มุ่งหน้าไปยังบัยตุลมักดิส ในขณะที่ลูฏกับครอบครัวมุ่งหน้าไปยังเมืองซะดูม

อยู่มาวันหนึ่งมีชายหนุ่มหน้าตาดีสามคนปรากฏกายขึ้น พวกเขาได้มาเคาะประตูบ้านของท่านนบีอิบรอฮีมและให้สลาม ท่านนบีอิบรอฮีมรับสลามทั้งๆ ที่ไม่รู้จักพวกเขา แต่ต้องการจะต้องรับแขกอย่างเต็มที่ ท่านนบีอิบรอฮีรับเข้าไปบอกนางซาเราะฮ์ให้เตรียมอาหารอย่างดีให้แขก ไม่นานนักนางซาเราะฮ์ก็ได้เตรียมลูกวัวย่างอ้วนพีที่สามารถเลี้ยงคนได้หลายคนมาต้อนรับ ทั้ง ๆ ที่มีแขกเพียง 3 คนเท่านั้น แต่ท่านนบีอิบรอฮีมเป็นคนใจบุญ มีนิสัยที่จะต้อนรับแขกด้วยสิ่งที่ดีที่สุดที่เขามี

เมื่อท่านนบีอิบรอฮีม (อ.ล.) นำอาหารออกมาวางตรงหน้าแขก และเชื้อเชิญให้รับประทาน ไม่มีแขกคนใดยื่นมือแตะต้องอาหารเลย ทำให้ท่านรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะในสมัยนั้นถือเป็นธรรมเนียมว่า เมื่อได้รับคำเชื้อเชิญให้รับประทานอาหาร แขกก็จะรับประทานด้วยความยินดี แต่ถ้าแขกไม่รับประทานแสดงว่าไม่ได้มาดี นบีอิบรอฮีมจึงถามว่า เพราะเหตุใดพวกท่านจึงไม่ยอมรับประทานอาหารเล่า ? ที่พูดเช่นนั้น ก็เพื่อเป็นการเชื้อเชิญซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่พวกเขาก็ยังนั่งนิ่งไม่ยอมรับประทาน ท่านนบีจึงรู้สึกหวาดวิตกมาก ชายทั้งสามเมื่อเห็นเช่นนั้น จึงได้เปิดเผยตัวตนว่าพวกเขาเป็นมลาอิกะฮ์ที่มาในร่างมนุษย์เพื่อปฏิบัติภารกิจที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาคือ ญิบรีล มีกาอีล และอิสรอฟิล และสำหรบมบาอิกะฮ์นั้นเป็นผู้ที่ไม่กินและไม่ดื่ม

นางซาเราะฮ์เองก็ประหลาดใจในการกระทำของแขกทั้งสาม ที่ไม่ยอมรับประทานอาหาร เมื่อนบีอิบรอฮีม (อ.ล.) บอกนางว่า พวกเขาคือมลาอิกะฮ์ นางดีใจที่พวกเขามาดี มิได้มาร้าย ทันใดนั้น มลาอิกะฮ์แจ้งข่าวแก่ท่านนบีว่า “เราขอบอกข่าวดีแก่ท่านด้วยเด็กชาย (ลูกชาย) ผู้รอบรู้

ด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง นางซาเราะฮ์เอามือตบแก้มตัวเองและพูดขึ้นว่า ฉันจะคลอดลูกได้อย่างไรในเมื่อฉันแก่และเป็นหมันแล้ว และสามีของฉันก็ชราภาพเช่นกัน (มีรายงานว่าท่านนบีอายุถึง 120 ปีแล้ว) มลาอิกะฮ์จึงตอบว่า “นางจะประหลานใจในเดชานุภาพของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) กระนั้นหรือ ? แท้จริง นับว่าเป็นความเมตตาและความจำเริญที่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงมอบให้แก่วงศ์ตระกูลของนบีของพระองค์ และนี่แหละคือข่าวดีที่มลาอิกะฮ์ได้รับหน้าที่นำมาบอกแก่อิบรอฮีมและนางซาเราะฮ์และพวกเขายังแจ้งอีกว่า ลูกของทั้งสองจะมีชื่อว่า “อิสฮาก” และจะได้เป็นนบีเช่นกัน เมื่ออิสหากโตขึ้นเขาจะแต่งงานและมีลูกชื่อ “ยะอ์กูบ” ซึ่งจะได้เป็นนบีเช่นเดียวกับพ่อของเขา และปู่ของเขา ทั้งท่านนบีอิบรอฮีมและภรรยาก็จะคงมีชีวิตอยู่จนถึงเวลานั้น

นางซาเราะฮ์และนบีอิบรอฮีม (อ.ล.) ดีใจเป็นอันมากสำหรับข่าวดีที่ได้รับแจ้งนี้ และเมื่อคลายความตื่นเต้น หวาดกลัว จึงถามมลาอิกะฮ์ ว่า แล้วอะไรคือภารกิจที่สำคัญของท่าน ? พวกเขากล่าวว่า เราถูกส่งมายังกลุ่มชนที่ชั่วช้า นั่นคือ กลุ่มชนของลูฏ ผู้เป็นลูกของพี่ชายของท่าน เพราะพวกเขาได้กระทำความผิดต่อตนเอง และล่วงละเมิดต่อสิทธิของผู้อื่น ด้วยเหตุนี้การลงโทษอันเจ็บปวดจะเกิดขึ้นแก่พวกเขา แต่ท่านนบีอิบรอฮีมเป็นห่วงท่านนบีลูฎ (ลูกของพี่ชาย) มาก จึงบอกว่า ในกลุ่มชนนั้นมีผู้ที่ศรัทธาอยู่ด้วย บรรดามลาอิกะฮ์จึงบอกว่าโปรดอย่ากังวลไปเลย พวกเขาจะปลอดภัยจากการลงโทษ แล้วจึงออกเดินทางไปเมืองซะดูมที่นบีลูฎ (อ.ล.) และกลุ่มชนของเขาอยู่ที่นั่นเพื่อปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมาย






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น