อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2558

"ฮิญาบ" ในความคิดเห็นจากมุสลิมะห์ชาวญี่ปุ่น(มุอัลลัฟ)



เมื่อตอนที่ฉันเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นศาสนาตามธรรมชาติโดยกำเนิดของเรานั้น กำลังมีการถกเถียงกันอย่างรุนแรงเกี่ยวกับนักเรียนหญิงที่คลุมฮิญาบในโรงเรียนของฝรั่งเศส

คนส่วนใหญ่ดูเหมือนจะคิดและรู้สึกว่า ผู้หญิงมุสลิมสวมฮิญาบเพราะพวกเธอเป็นทาสของวัฒนธรรมจนมันถูกมองเสมือนว่าเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่ พวกเขาเชื่อว่าเสรีภาพและอิสรภาพของผู้หญิงไม่มีทางเกิดขึ้นได้ถ้าหากพวกเธอไม่ถอดฮิญาบออกเสียก่อน

ฉันเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของผู้หญิงเหล่านั้น ฮิญาบของฉันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมของฉัน มันไม่ใช่เครื่องหมายทางสังคมหรือการเมือง มันแค่เป็นอัตลักษณ์ทางศาสนาของฉันก็เท่านั้น

ฉันสวมฮิญาบมาตั้งแต่เข้ารับอิสลามในกรุงปารีส ลักษณะที่หลากหลายของฮิญาบขึ้นอยู่กับประเทศที่ผู้สวมใส่อาศัยอยู่ หรือขึ้นอยู่กับระดับความรู้ทางศาสนาของผู้สวม ในฝรั่งเศสฉันคุลมผ้าธรรมดาๆ ที่เข้ากับชุด และมันแปะเพียงบางเบาอยู่บนศีรษะของฉันจนมันเกือบจะเป็นไปตามสมัยนิยม ตอนที่ฉันไป ซาอุดิอารเบีย ฉันสวมเสื้อคลุมสีดำปิดหมดทั้งตัว แม้แต่ตาของฉันก็ไม่เปิดให้เห็น ดังนั้น ฉันจึงมีประสบการณ์กับฮิญาบตั้งแต่แบบที่ง่ายที่สุดของมันไปจนถึงแบบที่สมบูรณ์มากที่สุด

ในฐานะคนต่างชาติ(คนญี่ปุ่น)ในปารีส บางครั้งฉันรู้สึกไม่สบายใจที่ถูกผู้ชายจ้องมอง แต่ในชุดฮิญาบฉันไปไหนมาไหนโดยไม่มีใครจับสังเกต และได้รับการปกป้องจากการจ้องมองที่ไม่สุภาพ

ฮิญาบทำให้ฉันมีความสุข มันเป็นทั้งสัญญาณของการเคารพเชื่อฟังต่ออัลลอฮฺและเป็นการประกาศถึงความศรัทธาของฉัน ฉันไม่จำเป็นต้องประกาศความเชื่อของฉัน เพราะฮิญาบบอกให้ทุกคนที่เห็นได้รู้แล้ว โดยเฉพาะพี่น้องมุสลิม และมันจึงช่วยกระชับสายสัมพันธ์ของความเป็นพี่น้องกันในศาสนาอิสลาม

ในไม่ช้าการสวมฮิญาบก็เป็นไปเองโดยธรรมชาติ ด้วยความสมัครใจอย่างแท้จริง ไม่มีมนุษย์คนไหนจะบังคับให้ฉันสวมมันได้ ถ้ามีคนบังคับ ฉันอาจจะขัดขืนและปฏิเสธก็ได้ “อัลลอฮฺทรงสั่งใช้เรื่องนี้ (ฮิญาบ) ไว้อย่างเน้นหนัก” และในเมื่ออิสลาม (ตามความหมายในตัวของมันเอง) หมายถึงเราต้องปฏิบัติตามพระประสงค์ของอัลลอฮฺ ฉันจึงทำหน้าที่ในอิสลามของฉันด้วยความเต็มใจและโดยไม่มีความยากลำบาก อัลฮัมดุลิลละห์

ครั้งหนึ่งท่านศาสดาเคยถามฟาฏิมะห์ บุตรสาวของท่านว่า “อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้หญิง?” และนางตอบว่า “การที่ไม่มองผู้ชายและไม่ถูกมองโดยผู้ชาย”

การมองฮิญาบจากภายนอก ทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่ถูกซ่อนไว้ได้ ช่องว่างระหว่างการอยู่ข้างนอกแล้วมองเข้ามา กับการอยู่ข้างในแล้วมองออกไป อธิบายถึงความว่างเปล่าในความเข้าใจต่ออิสลาม คนภายนอกอาจจะมองว่าอิสลามเป็นอุปสรรคสำหรับมุสลิม แต่อย่างไรก็ตาม ภายในนั้นมีความสันติสุข, เสรีภาพ และปิติสุข ซึ่งผู้ที่ได้ประสบกับมันไม่เคยรู้จักมันมาก่อน

ครั้งหนึ่งทีญี่ปุ่น...พ่อของฉันกังวลใจเมื่อฉันออกไปข้างนอกในชุดเสื้อแขนยาวและคลุมศีรษะแม้จะในวันที่อากาศร้อนที่สุด แต่ฉันพบว่าฮิญาบช่วยปกป้องฉันจากแสงอาทิตย์ ที่จริง เป็นฉันต่างหากที่รู้สึกไม่สบายใจที่เห็นขาของน้องสาวตอนที่เธอสวมกางเกงขาสั้น..มันชั่งต่างกันจริงๆ


................................
ที่มา Muttaqeen Al Islam



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น