อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ตะกรุด เครื่องราง ของขลัง บาปใหญ่ในอิสลาม




“ตะกรุด เครื่องราง ของขลัง เป็นส่วนหนึ่งของวิชาไสยศาสตร์ซึ่งมีอยู่จริง และมีมานานแล้ว ในคัมภีร์อัลกุรอาน กล่าวถึงเรื่องของวิชาไสยศาสตร์ที่เกิดขึ้นในสมัยท่านนบีสุไลมาน(อ.ล.) เราจึงไม่สามารถปฏิเสธสิ่งนี้ได้
เรื่องของไสยศาสตร์เป็นเรื่องของการใช้อำนาจเร้นลับ การเชื่อในสิ่งเร้นลับหรือที่เรียกว่า “อัลเฆ็บ” เป็นสิ่งหนึ่งในหลักความเชื่อของอิสลาม เพราะสิ่งที่มองไม่เห็นมีหลายอย่าง เช่น อัลลอฮฺ(ซบ.) ก็เป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น สวรรค์ นรก โลกหน้า วิญญาณ ญิน มลาอิกะห์ และสิ่งอื่นๆ อีก สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริงแม้เราจะมองไม่เห็น แต่เราต้องเชื่อ
เนื่องจากคนเรากลัวในสิ่งที่ตัวเองมองไม่เห็น เพราะฉะนั้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเมื่อมนุษย์เห็นภัยพิบัติต่างๆ เช่น ฟ้าถล่ม แผ่นดินทลาย ภูเขาไฟระเบิด และรู้ว่าตัวเองไม่มีอำนาจที่จะไปต้านทานการเกิดปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่นำมาซึ่งความหายนะได้ จึงวิงวอนขอต่ออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยคุ้มครอง แต่เมื่อไม่เห็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์ มนุษย์จึงทำรูปปั้นขึ้นมาเป็นตัวแทนอำนาจศักดิ์สิทธิ์เพื่อใช้ในการวิงวอนขอความช่วยเหลือ และในการปั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น บางครั้งก็ใช้รูปร่างหน้าตาของคนดีๆที่เสียชีวิตไปแล้ว เพราะมนุษย์เชื่อว่าวิญญาณของคนดีๆ เหล่านี้จะสามารถให้ความปกป้องคุ้มครองตัวเองได้ หรือไม่ก็ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการติดต่อกับอัลลอฮฺ(ซบ.)ให้คุ้มครองตัวเอง ทำให้เกิดการทำรูปปั้น รูปเจว็ดเพื่อเคารพบูชาขึ้นมา อาจปั้นเป็นตัวเล็กๆพกติดตัวหรือห้อยคอ นี่คือที่มาของการห้อยตะกรุด เครื่องราง ของขลัง หลังจากนั้นก็มีวิชาการเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมามากมาย”

การใช้เครื่องราง ของขลังและไสยศาสตร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1. ป้องกันอันตรายจากสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น
2. ใช้ในการทำร้ายและทำลายคนอื่น
3. บางครั้งก็ใช้ในการช่วยเหลือคนอื่น

สภาพความเชื่อของคนสมัยก่อน…

คนใช้ตะกรุด เครื่องราง ของขลัง หรืออาซีมัต เพื่อการคุ้มครอง โดยเชื่อว่าใส่แล้วจะป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นจากอำนาจที่มองไม่เห็น นั่นคืออำนาจของญิน และมีบางคนเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้สามารถป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์ได้ เช่น ฟันแทงไม่เข้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักศรัทธาในอิสลาม มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานก่อนหน้าสมัยท่านนบีมูฮัมหมัด(ซ.ล.)เสียด้วยซ้ำ เราปฏิเสธไม่ได้ แต่อิสลามสอนให้เราอย่าได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้

การห้อยตะกรุด หรือ อาซีมัต ผูกเส้นด้ายต่างๆ เป็นการเลียนแบบคนต่างศาสนิก ในสมัยท่านนบีมูฮัมหมัด(ซ.ล.) ชาวอาหรับก็มีความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ ก่อนชาวอาหรับจะเดินทางไปค้าขายหรือออกรบ ชาวอาหรับจะไปเคารพสักการะเจว็ดรูปปั้นรอบๆ กะบะห์เพื่อขอให้ตนเองได้รับชัยชนะในการทำสงคราม หรือเวลาออกไปทำการค้าก็วิงวอนขอต่อเจว็ดทั้งหลายให้อำนวยโชค ทำมาค้าขายได้กำไร บางครั้งชาวอาหรับไม่ได้พกเจว็ดไป แต่การเสพติดเจว็ดบูชามีถึงขนาดที่ว่าบางครั้งเมื่ออยู่กลางทะเลทราย หากชาวอาหรับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ก็จะเอาดินมาผสมกับนมแพะ น้ำ หรือถ้าหาอะไรไม่ได้ก็ผสมกับเยี่ยวอูฐเพื่อปั้นเจว็ดไว้บูชาอธิษฐานบนบานให้ตัวเองได้รับความปลอดภัย

เหล่านี้เป็นสภาพความเชื่อของคนในสมัยก่อนหน้าอิสลาม เมื่อมาถึงยุคของท่านนบีมูฮัมหมัด(ซ.ล.) ท่านได้บอกแก่ประชาชาติมุสลิมว่าถ้าจะขอความคุ้มครองเพื่อการป้องกันภัยจากสิ่งต่างๆ  ต้องขอต่ออัลลอฮฺ(ซบ.) โดยตรง เพราะอัลลอฮฺ(ซบ.) มีคุณสมบัติอย่างหนึ่งคือเป็นผู้ทรงคุ้มครอง ดังที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสความว่า
“และหากว่าอัลลอฮฺ ทรงให้ความเดือดร้อนอย่างหนึ่งอย่างใดประสบแก่เจ้า แล้วก็ไม่มีผู้ใดจะปลดเปลื้องมันได้ นอกจากพระองค์เท่านั้น”(อัลกุรอาน ซูเราะห์อัล-อันอาม 6:17)

อายะห์อัลกุรอานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าถ้าอัลลอฮฺไม่ช่วยคุ้มครองป้องกัน มนุษย์ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่ถ้าหากอัลลอฮฺคุ้มครองแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถทำร้ายหรือทำอันตรายมนุษย์ได้ ดังนั้น ขอให้วางใจในอัลลอฮฺ(ซบ.) และขอความช่วยเหลือต่อพระองค์เท่านั้น โดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด
ที่มาของความเชื่อเรื่องเครื่องราง ของขลังในประเทศไทย…
ประเทศไทยเราได้รับอิทธิพลจากลัทธิพรามห์ฮินดูในอดีต เพราะก่อนหน้านี้ อินโดนีเซีย มาเลเซีย แหลมสุวรรณภูมิ ตกอยู่ในอิทธิพลของพรามห์ฮินดูซึ่งมีความเชื่อในเรื่องของเวทมนต์ ไสยศาสตร์ต่างๆ และเมื่อคนในบริเวณนี้มารับอิสลามก็ได้รับอิทธิพลส่วนหนึ่งจากชาวฮินดูมา และนำมาใช้ในเรื่องของเวทมนต์ ไสยศาสตร์โดยใช้ภาษาอาหรับแทนภาษาฮินดูและสันสกฤต

การห้อยเครื่องราง ของขลัง ตะกรุด อาซีมัต ถือเป็นชิริก บาปใหญ่…

ชิริก หมายถึงการนำเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือบุคคลหนึ่งบุคคลใดมามาเทียบเคียงอัลลอฮฺ หรือมีหุ้นส่วนกับอัลลอฮฺ(ซบ.) ในการเคารพสักการะ บนบานหรืออธิษฐาน ขอความช่วยเหลือหรือขอความคุ้มครอง ถ้าเข้าใจความหมายของคำว่าชิริกแล้ว เราจะเข้าใจกระจ่างได้ทันทีว่าการมีอาซีมัตหรือการใช้ตะกรุดเครื่องรางของขลังเป็นบาปใหญ่ และทำให้เราพ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมไปโดยปริยาย (ตกศาสนา)
ในเมื่อเรากล่าวกาลีมะฮ์ชาฮาดะฮ์แล้วว่า “อัชฮะดุอันลาอิลาฮาอิลลัลลอฮ วะอัชฮะดุอันนะมูฮัมมาดัรรอซูลุลลอฮฺ” หมายถึง ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮฺ และมูฮัมหมัด เป็นรอซูลของอัลลอฮฺ  นั่นหมายความว่า เราไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์อัลลอฮฺ(ซบ.) ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะมาเคารพสักการะหรือเอาสิ่งใดมาเป็นผู้คุ้มครองควบคู่ไปกับอัลลอฮฺ(ซบ.) ได้

แม้จะบอกว่าการที่ใส่ ตะมาอิม ตะมีมะฮ์ อาซีมัตนั้น เราขอบารอกัตจากอัลลอฮฺให้คุ้มครองเราก็ตาม…
เรามีสิ่งใดเป็นสื่อกลางไม่ได้ทั้งสิ้นในการวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ(ซบ.) เราต้องขอโดยตรง เป็นพระมหากรุณาอันล้นพ้นของอัลลอฮฺ(ซบ.) ที่เปิดโอกาสให้เราขอได้โดยตรง นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมท่านนบีมูฮัมหมัด(ซ.ล.) ถึงได้บอกคุณสมบัติของอัลลอฮฺว่าพระองค์คือผู้ทรงคุ้มครอง เราต้องทำความเข้าใจคุณสมบัติของอัลลอฮฺ(ซบ.)  ถ้าหากเราเชื่อมั่นและศรัทธาในอัลลอฮฺ(ซบ.) เราต้องเชื่อว่าพระองค์คือผู้ทรงคุ้มครอง อย่าเอาสิ่งใดมามีหุ้นส่วน หรือมาตั้งภาคีเป็นชิริกกับพระองค์ในเรื่องคุณสมบัติการเป็นผู้ทรงคุ้มครองของอัลลอฮฺ(ซบ.)

ผลของการใช้เครื่องราง ตะกรุด อาซีมัต… 

คนที่ใช้เครื่องราง ตะกรุด อาซีมัต ส่วนมากจะลืมตัว คิดว่าเครื่องรางของขลังเป็นสิ่งที่คุ้มครองตนเอง แทนที่จะคิดว่าอัลลอฮฺ(ซบ.) เป็นผู้คุ้มครอง แต่กลับคิดว่าตะกรุดเป็นสิ่งที่ให้ความคุ้มครอง ทำให้เกิดความเข้าใจผิด บางคนที่ใส่ตะกรุดเชื่อว่าตัวเองใครมายิงฟันไม่เข้า จึงทำตัวเกะกะระราน ต้องการแสดงอิทธิฤทธิ์ความขลังของตะกรุด จึงแสดงนิสัยอันธพาลออกมาซึ่งทำให้ตัวเองกลายเป็นลูกน้องของชัยฏอน ดังนั้น การเล่นไสยศาสตร์จึงเป็นการเชื่อในอำนาจของชัยฏอน ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะฉะนั้น อิสลามถึงได้ห้าม ความจริงชัยฏอนไม่มีอำนาจ เนื่องจากอัลลอฮฺ(ซบ.) ไม่ได้ให้อำนาจมัน มันแค่ทำหน้าที่หลอกเราให้หลงเชื่อ แต่มันไม่สามารถที่จะบังคับเราให้เชื่อตามมัน

หากเกรงว่าจะเกิดอันตรายมีวิธีป้องกันอย่างไรตามหลักอิสลาม…

ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซ.ล.) เคยโดนวิชาไสยศาสตร์ในตอนบั้นปลายชีวิตของท่าน คือมีชาวยิวจ้างเด็กคนหนึ่งให้เอาเส้นผมที่หวีของท่านนบีไปผูกกับใยอินทผลัมและนำไปฝังไว้ที่ก้นบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ผลของการทำไสยศาสตร์ทำให้ท่านนบีไม่สบายเป็นไข้อยู่หลายวัน ดังนั้นอัลลอฮฺ(ซบ.) จึงได้สอนการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ(ซบ.) โดยการประทาน 2 ซูเราะห์ ซึ่งเป็น 2 ซูเราะห์ที่ขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ(ซบ.) คือซูเราะห์อัลฟะลัก และซูเราะห์อันนาส ดังนั้นท่านนบีมูฮัมหมัด(ซ.ล.) ได้สอนให้เราได้อ่าน 2 ซูเราะห์นี้ก่อนนอนโดยการเป่าลงไปบนฝ่ามือแล้วใช้ฝ่ามือลูบไปยังทุกส่วนของร่างกายที่มือไปถึง  นี่ก็เป็นวิธีการขอความคุ้มครองป้องกัน ที่อัลลอฮฺ(ซบ.) ประทานแก่ท่านนบี ซึ่งเราควรที่จะนำมาใช้ (มีบางรายงานกล่าวว่าให้อ่าน กุลฮุวัลลอฮุอะฮัด….และตามด้วยอีกสองซูเราะห์ที่ขอความคุ้มครอง)
บนโลกใบนี้ ไม่ได้มีมนุษย์อาศัยอยู่เผ่าพันธุ์เดียว ยังมีสิ่งที่มนุษย์มองไม่เห็นซึ่งเราเรียกว่าญินอาศัยอยู่กับเรา และมันมีอิทธิพลต่อมนุษย์เหมือนกัน มันสามารถเข้ามาสิงในตัวมนุษย์หรือแกล้งเราทางด้านภายนอกก็ได้ ดังนั้น เราต้องขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ(ซบ.) และหาวิธีการป้องกันตามวิถีทางของอิสลาม เช่น เมื่อเวลาเราหวาดผวา ตกใจกลัว ให้เราขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺด้วยการกล่าวว่า “อะอูซุบิลลาฮิมินัชชัยฏอนิรร่อญีม”หมายความว่า“ฉันขอความคุ้มจากอัลลอฮฺให้พ้นจากมารร้ายที่ถูกสาปแช่ง”การอ่านอายะห์กุรซีย์ และการดำรงรักษาละหมาดอยู่เป็นประจำก็เป็นการป้องกันการแทรกแซงของพวกญินอย่างหนึ่ง การไม่กินสิ่งของต้องห้าม ทำให้ร่างกายของเราสะอาด ทำให้อีหม่านเราเข้มแข็ง การแทรกแซงจากอำนาจเร้นลับก็ยากที่จะเข้ามาถึงตัวเรา การอาบน้ำละหมาดอยู่เสมอๆ การอ่านกุรอานเป็นประจำก็เป็นการช่วยป้องกันอย่างหนึ่ง และขอดุอาอฺจากอัลลอฮฺ(ซบ.)โดยตรงเลยเมื่อเราขอจากอัลลอฮฺแล้วญินก็ไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงได้

ฝากถึงพี่น้องมุสลิม…

วิธีการป้องกันตัวเองให้พ้นจากมารร้ายนั้น ประการแรกเลย เราต้องมีอีหม่านที่มั่นคง การจะมีอีหม่านที่มั่นคงได้ก็ต้องหลีกห่างจากสิ่งต้องห้าม ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารที่ฮะรอม การเล่นการพนัน กินเหล้า สิ่งเหล่านี้คัมภีร์อัลกุรอานกล่าวชัดว่ามันเป็นงานของชัยฏอน ถ้าเราไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นของฮะรอม นั่นก็เท่ากับการสมัครใจเข้าไปเป็นพวกพ้องของมัน เมื่อตกเป็นลูกน้องมันแล้ว มันก็สามารถทำอะไรกับเราก็ได้ ดังนั้น เราจึงต้องละเว้นสิ่งที่ต้องห้ามให้ได้เสียก่อน หลังจากนั้นก็ทำจิตวิญญาณให้เข้มแข็งด้วยการละหมาด หรือการถือศีลอด การซิกรุ้ลลอฮฺ การอ่านกุรอาน และเวลาจะขอความคุ้มครองอะไรก็แล้วแต่ต้องขอต่ออัลลอฮฺ(ซบ.) โดยตรง ไม่จำเป็นต้องขอผ่านตะกรุดหรือบุคคลใดๆ ให้เป็นสื่อกลาง อัลลอฮฺ(ซบ.) เปิดโอกาสให้เราแล้วให้เราเข้าหาพระองค์ได้โดยตรง เพียงแต่ว่าเวลาจะเข้าหาอัลลอฮฺ(ซบ.) เราต้องทำจิตใจร่างกายของเราให้สะอาด อัลลอฮฺ(ซบ.) ก็จะทรงรับดุอาอฺและทรงช่วยเหลือเรา อินชาอัลลอฮฺ

.................................
อาจารย์บรรจง บินกาซัน




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น