อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สุนนะฮฺในไทยเริ่มขึ้นเมื่อใด


เราต่างรู้กันดีนะครับ ต่อข้อวิจารณ์ คำด่าทอจากพี่น้องส่วนหนึ่งที่มีต่อพวกวะฮาบีย์ (ตามที่เขาเรียกและเข้าใจกัน) อันปรากฏอยู่ในยุคปัจจุบันอย่างเกลื่อนกลาด สมัยก่อนนะครับ เขาจะเรียกพวกที่มาเรียกร้องให้กลับไปสู่อิสลามที่บริสุทธิ์จากความงมงายและประเพณีผิดๆต่างๆเหล่านี้ว่า พวกมูดอ พวกคณะใหม่ กระทั่งปัจจุบันจึงเรียกว่าพวกวะฮาบีย์ คำเหล่านี้คงจะได้ยินกันเบื่อหูแล้วใช่ไหมครับ

ความเข้าใจผิดของพวกเขาข้อหนึ่ง ในอีกหลายๆข้อคือ ความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนต่อประวัติศาสตร์ของคำ ที่มาของมัน นิยาม ความเป็นมาของคำเหล่านั้น ตลอดจนวัฒนธรรมและปัจจัยในการกำเนิดมันขึ้นมา
ในประเทศไทย เอาแค่คำว่า “คณะใหม่” หรือ “วะฮาบีย์” ก็ถูกเข้าใจมั่วไปหมดแล้ว นอกจากยังไม่รู้ที่มาที่ไปของชื่อแล้ว ความเข้าใจของพวกเขาที่ว่า “คณะใหม่เข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ ดร.อิสมาอีล ลุฏฟี กับ ดร.ญีฮาด มุหัมมัด กลับมาเมืองไทย!” ก็เสมือนการใส่กระดุมเม็ดแรกผิดรูเสียแล้วนั้นเอง การวิจารณ์ใส่ไคล้ชาวสุนนะฮฺหรือคณะใหม่ที่ทำๆกันอย่างเอางานเอาการด้วยมุมมองที่ผิดเพี้ยน ทำให้เกิดความบูดเบี้ยวของเนื้อหาตามไปด้วยอย่างมิต้องสงสัย ยังไม่นับถึงความอิจฉาริษยาต่อรูปแบบดะอ์วะฮฺต่างๆอันหลากหลายของชาวสุนนะฮฺ หรือพวกวะฮาบีย์ นำมาสู่การเล่นสกปรกทางภาษาและการกระทำ เช่น ไอ้พวกจานดำ พวกซาบิกุ๊ย ตลอดจนเที่ยวยัดเยียดความผิดให้แก่คำสอนของอาจารย์ต่างๆโดยอาศัยนิสัยเชื่อคนง่าย ไม่ชอบคิดและใคร่ครวญเองของคนไทยมาเป็นประโยชน์ ตัดประโยคนั้นประโยคนี้ แล้วมาขยายความไปเอง กระทั่งการกล่าวหาอาจารย์บางคนที่สอนอยู่ในทีวี ว่าสูบกัญชาในเดือนเราะมะฎอน หรือเป็นพวกพม่าช่วยยิว ก็มีมาแล้ว และอีกมากมายซึ่งน่าเกลียดเกินจะเอามาเขียน ณ ที่นี้ได้

กระทู้นี้ เราจึงอยากให้เพื่อนๆได้มาเรียนประวัติศาสตร์ในอีกมุมหนึ่ง อันปราศจากอคติ และความคับแคบทางความคิด ผ่านการเขียนเชิงวรรณกรรมเรื่องสั้นชื่อ “เสาปูนร่ำไห้” ที่เขียนโดย ครูมุรีด ทิมะเสน ว่าด้วยประวัติของ ครูอะหฺมัด วะฮาบ มินังกาเบา ผู้เอาสุนนะฮฺแบบเป็นตัวเป็นตน เข้ามาคนแรกๆในประเทศไทย ซึ่งเกิดก่อน ดร.อิสมาอีล และ ดร.ญีฮาด ตั้งหลายปีดีดัก พร้อมกันนั้น เราก็ขอแนบลิงค์ ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงเกี่ยวกับคำว่า วะฮาบีย์ หรือที่จริงคือขบวนการฟื้นฟูอิสลามที่ชื่อ “อัลมุวัฮฺฮิดูน” ของ อัลอิมาม อัลมุญัดดิด ชัยคุลอิสลาม มุหัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ ด้วย
มาร่วมกันทบทวนประวัติศาสตร์กันใหม่นะครับ ^^

“เสาปูนร่ำไห้” — ครูมูรีด ทิมะเสน
http://upload.one2car.com/download.aspx?pku=12C184BFBC5TUVX5RL1C1U3XG8XMTF
“ขบวนการวะฮาบีย์ของอิมาม มุหัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ” — อามีน รอนา
http://www.as-sabikoon.com/node/55
วะฮาบียะฮ์ เป็นลัทธิใหม่ในอิสลามจริงหรือ ? — อ.อับดุลเลาะ หนุ่มสุข
http://www.islammore.com/main/content.php?page=content&category=54&id=252

ป.ล.
1.จากรูปประกอบ ครูอะหฺมัด วะฮาบ ยืนอยู่กลางภาพ และครูอิสมาอีล อะหฺมัด ศิษย์เอก ยืนแถวหน้า ที่สามจากซ้าย ฯลฯ

2.ถ้าจะแสดงความเห็น เอาแบบมีเหตุมีผล ไม่เอาแบบเกรียนๆนะครับ เพลียจะตอบ
ด้วยรักและหวัง
http://smiana.wordpress.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น