อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โต๊ะหมอแขก


ในบางชุมชน ที่มุสลิม อาศัยอยู่ จะมีหมอประจำอยู่ ที่เขาเรียกว่าโต๊ะหมอแขก มีทั้งโต๊ะหมอที่เป็นผู้ชาย และเป็นผู้หญิง อาจมีการแต่งกายที่ดูแล้วขลังหรือดูเป็นผู้เคร่งคลัดในศาสนา โต๊ะหมอแขกในที่นี้ หาใช่หมอที่มีการรักษาด้วยยาสมุนไพร่ หรือยาแผนปัจจุบันไม่ แต่เป็นหมอทีมีการรักษาด้วยการปัดเป่าจากดุอาอ์ หรือคาถาอาคมต่างๆ ซึ่งอาจเป็นอัลกุรอาน หรือคาถาที่เป็นภาษาบาลีสัตกฤต หรือภาษาใดๆก็ตาม ซึ่งอาจปัดเป่าไปยังที่แผล หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายผู้รับรักษา เช่น กระหม่อม หน้าผาก หรือการกล่าวแล้วเป่าลงไปในน้ำที่เตรี่ยมไว้แล้วให้ผู้ป่วยไปดื่มกิน หรือขบเคี้ยวสิ่งหนึ่ง เช่น หมากกับใบพลูและปูน พร้อมกล่าวดุอาอ์ หรือคาถาอาคม แล้วนำหมากพลูที่เคี่ยวละเอียดที่ผ่านการกล่าวดุอาอ์หรือคาถานั้นแล้ว ให้ผู้ป่วยนำไปทาที่แผล หรือบริเวณที่เกิดโรค หรือไม่โต๊ะหมอก็คายหมากที่เคี้ยวหรือเป่าไปที่บริเวณจะรักษานั้น นอกจากนี้ ยังมีการทำเครื่องรางของขลัง เช่น ตะกรุด หรืออาซีมัต หรือเส้นด้าย อาจมีสีขาวล้วนๆ หรือมีหลายสี และมีการใส่อายะฮฺอัลกุรอาน คำคาถาภาษาบาลีสันตกฤตหรือวัตถุอื่นๆ เช่น กระดูกงู กระดูกจระเข้ ในตะกรุด หรืออาซีมัตนั้น แล้วมีการเป่าดุอาอ์ หรือเสกคาถาลงไปที่ตะตะกรุด หรืออาซีมัต หรือเส้นด้ายนั้น หรือนำตะกรุด หรือเส้นด้ายจุ่มลงไปในน้ำที่เตรียมไว้ แล้วเป่าคาถาลงไป แล้วมอบไห้ผู้ทำการรักษาไปสวมไว้ที่คอ สวมไว้แขนข้อมือ รอบเอว หรือแขวนไว้ที่หน้ารถ หัวเรือ หรืออาจทำเป็นปลัดคลิกแล้วนำสวมไว้ที่รอบเอวอีกด้วย

นอกจากนี้ โต๊ะหมอแขก ยังอาจเป็นหมอดู ทำนายทายทัก ดูดวงโชคลางต่างๆ ดูวันฤกษ์ยามต่างๆ เช่น ดูวันฤกษ์ยามดีในการแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ หรือออกรถ เป็นต้น เมื่อผู้ใดมีของสูญหาย มีคนลักขโมย มีคนที่เป็นเครือญาติสูญหาย หรือเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่สบายใจ หรือกิจการงาน หรือทำการค้าขายไม่ได้เท่าที่ควรก็จะมาหาโต๊ะหมอแขก เพื่อจะให้ดูว่าของนั้นอยู่ที่ไหน ใครเป็นผู้ขโมยไป หรือดูว่าคนที่สูญหายอยู่ที่ไหน มีชีวิตอยู่อีกหรือไม่ หรือการเจ็บป่วย หรือการดำเนินกิจการไม่ได้กำไรเท่าที่ควร มันเกิดอะไรขึ้น(ท่านอิหม่ามอะห์มัดกล่าวว่า อิรอฟะห์(การทำนายของหาย) เป็นส่วนหนึ่งของไสยศาสตร์ จากหนังสืออัลมุฆนียฺ ของอิบนุกุดามะห์ เล่ม 20 หน้า 13
)
โต๊ะหมอแขก ก็อาจมีการจุดเทียน หรือใส่น้ำในภาชนะ แล้วมีการกล่าวดุอาอ์หรือมนต์คาถาต่างๆ แล้วเมื่อตนเห็นอะไรแล้ว ก็จะบอกผู้มาหาว่าเกิดอะไรขึ้น เช่น ที่เจ็บป่วยเป็นประจำ หรือค้าขายไม่ได้ มีคนมาทำของ(ถูกของ)หรือไสยศาสตร์ เป็นต้น นอกจากนี้โต๊ะหมอแขกบางคนยังเป็นผู้ทำคุณไสยฯ และแก้คุณไสยอีกด้วย เช่น ทำให้คนนั้น รัก เกลียด หลง เป็นบ้า หรือเจ็บป่วย เป็นต้น

สำหรับการรักษาต่างๆ จากโต๊ะหมอแขก ไม่ใช่ว่าจะทำการรักษากัน ฟรีๆ หรือทำการเสกเป่าตะกุด หรืออะซีมัต โดยไม่มีค่าตอบแทน แต่ต้องจ่ายค่าทำหมอ ที่เรียกว่าค่าสงคลาด หรือค่าหลาด โต๊ะหมอแขกบางคนก็เอาค่าทำหมอไม่มาก เช่น เงิน 40 บาท เกลือ 5 5 ถุง น้ำ 1 ขวด เป็นต้น แต่โต๊ะหมอแขกบางคนเรียกค่าทำหมอแพงมาก เช่น ค่าทำอะซีมัต เส้นหนึ่งต้องจ่ายค่าทำหมอ ถึงหลักพันเลยทีเดียว เป็นต้น แต่ที่สำคัญที่จะขาดไม่ได้ คือเกลือ เพราะมีความเชื่อว่าเกลือจะช่วยให้ความเข็มข่นในความเป็นโต๊ะหมอเพิ่มขึ้น

ในชุมชนมุสลิมบางพื้นที่ โต๊ะหมอแขก มีความสำคัญสำหรับพวกเขาเป็นอย่างมาก ถือเป็นบุคคลที่เขาพึ่งพา ช่วยเหลือ เคารพนับถือ บางครั้งถึงขั้นวอนขอโต๊ะหมอแขกเป็นสื่อกลางต่ออัลลอฮฺเลยที่เดียว ซึงเคยถามโต๊ะหมอแขกคนหนึ่งว่า :ท่านมีความพิเศษอย่างไรที่จะทำการรักษา หรือรู้สิ่งเร้นลับ ที่คนอื่นไม่อาจรู้ได้: โต๊ะหมอคนนั้นตอบว่า : อัลลอฮฺให้เขามีความเป็นพิเศษที่จะทำการรักษา รู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้:

โต๊ะหมอแขกจึงเป็นตัวแทนของชุมชนที่จะทำพิธีกรรม หรือกิจการบางอย่าง เช่น เป็นหมอบ่าว ทำการกล่าวดุอาอ์ หรือกล่าวศอลาวาตก่อนที่เจ้าบ่าวและญาติๆ ออกจากบ้าน หรือก่อนขึ้นรถ ไปบ้านเจ้าสาว โดยที่โต๊ะหมอแขกจะอยู่เคียงข้างเจ้าบ่าวตลอดเวลา และเมื่อจะเข้าบ้านเจ้าสาว โต๊ะหมอก็จะเดินนำหน้าเจ้าบ่าว และคนอื่นๆ เข้าบ้านเจ้าสาว และเมื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวพบกันในที่ๆจัดไว้ โต๊ะหมอที่เป็นหมอบ่าวทำการเป็นผู้นำขอดุอาอ์ให้แก่เจ้าบ่าวเจ้าสาว หรือกรณีญินเข้าสิงมุสลิมคนหนึ่ง (ที่เรียกว่าผีเข้า และเข้าใจว่าเป็นผีจากวิณญาณของผู้ที่ตาย) โต๊ะหมอแขกก็จะทำการปัดเป่าให้ญินตนนั้นออกไปจากร่างกายคนที่ถูกสิงนั้น เป็นต้น

แท้ที่จริงโต๊ะหมอแขก ไม่ใช่ผู้ที่เป็นผู้รู้ โต๊ะครูบาบอ ที่แตกฉานหรือเคร่งคลัดทางศาสนาแต่อย่างใด บางคนก็ไม่ได้จบการศึกษาทางศาสนามาแม้แต่น้อยเลย ไม่ได้รู้ลึกถึงหลักปฏิบัติศาสนาและอากีดะฮฺแต่อย่างใด แต่ความรู้ที่โต๊ะหมอแขกได้รับมานั้นมีการสืบทอดต่อกันมาจากปู่ย่าตายาย ซึ่งโต๊ะหมอแขกถือเป็นผู้ที่ได้รับการไว้วางใจจากบรรพบุรุษของท่าน ที่จะได้สืบทอดวิชาอาคมเหล่านั้นต่อมา จึงเห็นอยู่ไม่น้อยที่โต๊ะหมอแขกบางคนละหมาด 5 เวลาไม่ครบ ปล่อยปละละเลยลูกหลานไม่ให้ปฏิบัติศาสนกิจ ไม่ส่งเสริมบุตรหลานให้ศึกษาเหล่าเรียนศาสนา เรื่องศาสนานั้นมองเป็นสิ่งไม่สำคัญ แต่เรื่องการปฏิบัติการใดต้องให้เป็นในวันฤกษ์ยามดี ต้องมีการทำพิธีกรรมอย่างเคร่งคลัด จึงไม่แปลกที่ชาวบ้านบางคน ไม่เคยละหมาด ถือศิลอดไม่ครบ แต่เมื่อลูกจะแต่งาน เมื่อจะสร้างบ้านพักอาศัย เมื่อจะขึ้นบ้านใหม่ เมื่อจะซื้อรถ ต้องไปหาโต๊ะหมอแขก ทำการดูวันฤกษ์ยามดี มีการสะเดาะเคราะห์ การกล่าวดุอาอ์หรือคาถา และเจิมรถ หรือนำเส้นด้ายที่ผ่านการเสกเป่าแล้วมาผูกที่หัวรถ ก็เพราะการได้รับการบ่มความเชื่อและคำสอนจากโต๊ะหมอแขกและบรรพบุรุษของตนสอนสั่งกันมา

และอันแท้จริงโต๊ะหมอแขกไม่มีอำนาจใดๆ ไม่ได้เป็นผู้ที่มีความพิเศษใดๆ ไม่สามารถรู้ในสิ่งที่เป็นสิ่งเร้นลับใดๆได้ การที่โต๊ะหมอแขกกล่าวว่าตนสามารถรู้สิ่งเร้นลับที่พระองค์อัลลอฮฺทรงปกปิดไว้ นั้นเป็นความเท็จ เพราะพระองค์อัลลอฮฺทรงกล่าวไว้ชัดเจนว่าพระองค์จะไม่ให้ใครรู้ในสิ่งเร้นลับของพระองค์ ยกเว้นรสูลของพระองค์ในบางครั้งบางเวลาเท่านั้น

อัลลอฮฺทรงบัญชาให้ท่านนบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ประกาศว่า
(قُلْ لاَ أَقُولُ لَكُمْ عِنْدِي خَزَائِنُ اللَّهِ وَلاَ أَعْلَمُ الْغَيْبَ)
"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ฉันจะไม่กล่าว (อ้าง) แก่พวกท่านว่า ณ ฉันคือคลัง(สมบัติแห่งความรู้) ของอัลลอฮฺ และฉันจะไม่กล่าว (อ้าง) แก่พวกท่านว่าฉันล่วงรู้สิ่งเร้นลับ"

พระองค์อัลลอฮ ศุบอานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
عَالِمُ الْغَيْبِ فَلاَ يُظْهِرُ عَلَى غَيْبِهِ أَحَدًا (26) إِلاَّ مَنِ ارْتَضَى مِنْ رَسُولٍ ... (27)
"(อัลลอฮฺ) ทรงรู้ถึงสิ่งเร้นลับและไม่เผยให้ใครรู้ความเร้นลับของพระองค์ ยกเว้นผู้ที่พระองค์พอพระทัยจากร่อซู้ล ..." (อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัลญิน 72 อายะห์ที่ 26-27)

พระองค์อัลลอฮ์ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
عَالِمُ الْغَيْبِ فَلَا يُظْهِرُ عَلَىٰ غَيْبِهِ أَحَدًا ( 26 )
พระผู้ทรงรอบรู้สิ่งเร้นลับ ดังนั้นพระองค์จะไม่ทรงเปิดเผยสิ่งเร้นลับของพระองค์แก่ผู้ใด
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัล-ญิน 72:26)

إِنَّ اللَّهَ عِندَهُ عِلْمُ السَّاعَةِ وَيُنَزِّلُ الْغَيْثَ وَيَعْلَمُ مَا فِي الْأَرْحَامِ وَمَا تَدْرِي نَفْسٌ مَّاذَا تَكْسِبُ غَدًا وَمَا تَدْرِي نَفْسٌ بِأَيِّ أَرْضٍ تَمُوتُ إِنَّ اللَّهَ عَلِيمٌ خَبِيرٌ ( 34 )
แท้จริงอัลลอฮฺนั้น ความรู้แห่งวันอวสานมีอยู่ ณ ที่พระองค์ และพระองค์ทรงประทานฝนลงมาและพระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในมดลูก และไม่มีชีวิตใดรู้ว่า ณ แผ่นดินใดมันจะตาย
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺลุกมาน 31:34)

وَاللَّهُ خَلَقَكُم مِّن تُرَابٍ ثُمَّ مِن نُّطْفَةٍ ثُمَّ جَعَلَكُمْ أَزْوَاجًا وَمَا تَحْمِلُ مِنْ أُنثَىٰ وَلَا تَضَعُ إِلَّا بِعِلْمِهِ وَمَا يُعَمَّرُ مِن مُّعَمَّرٍ وَلَا يُنقَصُ مِنْ عُمُرِهِ إِلَّا فِي كِتَابٍ إِنَّ ذَٰلِكَ عَلَى اللَّهِ يَسِيرٌ ( 11 )
และอัลลอฮฺทรงบังเกิดพวกเจ้ามาจากฝุ่นดิน แล้วก็มาจากเชื้ออสุจิ แล้วทรงทำให้พวกเจ้าเป็นคู่สามีภริยา และจะไม่มีหญิงใดตั้งครรภ์และนางจะไม่คลอด เว้นแต่ด้วยความรอบรู้ของพระองค์ และไม่มีผู้สูงอายุคนใดจะถูกยืดอายุออกไป และอายุของเขาก็จะไม่ถูกตัดทอน เว้นแต่อยู่ในบันทึก (ของพระองค์) แท้จริง นั่นเป็นการง่ายดายสำหรับอัลลอฮฺ
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺฟาติฏิร 35:11)

รายงานจากท่านมัสรูก เล่าว่า ท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎียัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า
“หากมีบุคคลใดพูดกับท่านว่า : มุหัมมัดเห็นพระเจ้าของเขาแล้ว แน่นอน เขาพูดโกหก ซึ่งพระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
“บรรดาดวงตาทั้งหลายย่อมไม่สัมผัสพระองค์ได้...” (อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัล-อาม 6:103)
และถ้ามีใครพูดกับท่านว่า : เขารู้สิ่งเร้นลับ แน่นอนเขาพูดโกหก ซึ่งอัลลอฮฺทรงตรัสว่า
“ไม่มีสิ่งเร้นหลับนอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น” (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบุคอรีย์ หะดิษเลขที่ 477)

รายงานจากท่านอิบนุ อุมัร ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า
“กุญแจความลับมี 5 ประการ ไม่มีใครรู้นอกจากอัลลอฮฺ กล่าวคือ ไม่รู้ว่าจะมีเพศใดในมดลูก , พรุ่งนี้ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น , ไม่รู้ว่าเมื่อไรฝนจะตก , ไม่รู้ว่าที่ใดเป็นสถานที่ตาย และไม่รู้ว่าวันกิยามะฮฺจะเกิดขึ้นเมื่อไร (ทั้งหมดนี้) นอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น (ที่ทรงรู้)” (บันทึกหะดิษโดยอิมามบุคอรีย์ หะดิษที่ 476)

การที่โต๊ะหมอแขกได้ทำนายทายทัก และอาจถูกต้องถามที่ทำนาย ก็เนื่องจากญินที่โต๊ะหมอแขกเลี้ยงไว้ มากระซิบที่หูนายอันเป็นที่รักของมัน แล้วโต๊ะหมอแขกนำคำกระซิบของญินที่ตนเลี้ยงไว้มาบอกแก่ผู้ทีให้โต๊ะหมอแขกดูให้ แต่มันก็ปะปนความเป็นเท็จ

รายงานจากท่านมุอาวิยะฮฺ อิบนุ อัลหะกัม อัสสุละมี ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า
“ฉันได้ถาม(ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ว่า : โอ้ท่านรสูล มีการกระทำหลายอย่างที่พวกเราได้ทำในยุคสมัยฮิลียะฮฺ คือพวกเราเคยไปหาหมอดู(จะเป็นอย่างไร) ท่านตอบว่า : พวกท่านอย่าได้ไปหาหมอดู ฉันถามอีกว่า : พวกเราเคยถือโชคลาง ท่านตอบว่า : นั่นแหละเป็นสิ่งที่คนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านพบในใจตน แล้วมันจะไม่ขัดขวางพวกท่าน” (บันทึกโดยอิมามมุสลิม หะดิษเลขที่ 2084)

รายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎียัลลอฮุอันฮา เล่าว่า
“ผู้คนได้ถามท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ถึงเรื่องหมอดู ท่านได้กล่าวกับพวกเขาว่า : พวกนี้ไม่มีอะไรหรอก พวกเขาถามอีกว่า : โอ้ท่านรสูล พวกหมอดูได้บอกถึงสิ่งหนึ่ง และปรากฏว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องจริง ท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า : คำพูดที่เป็นความจริงนั้น ญินได้นำมากระซิบที่หูคนรักของมัน ดุจดังเสียงไก่ แล้วพวกหมอดูก็ได้นำคำพูดอันมากมายเป็นร้อยโกหกปะปนในคำพูดนั้น” (บันทึกหะดิษโดยอิมามมุสลิม หะดิษเลขที่ 2086)


عَنْ عَائِشَةَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهَا زَوْجِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنَّهَا سَمِعَتْ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ إِنَّ الْمَلاَئِكَةَ تَنْزِلُ فِي الْعَنَانِ وَهُوَ السَّحَابُ فَتَذْكُرُ اْلأَمْرَ قُضِيَ فِي السَّمَاءِ فَتَسْتَرِقُ الشَّيَاطِينُ السَّمْعَ فَتَسْمَعُهُ فَتُوحِيْهِ إِلَى الْكُهَّانِ فَيَكْذِبُوْنَ مَعَهَا مِائَةَ كَذْبَةٍ مِنْ عِنْدِ أَنْفُسِهِمْ
มีรางานจากอาอิชะห์ ร่อฏิยัลลอฮุอันฮา ภรรยาทานนบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่าเธอได้ยินร่อซูลุ้ลลอฮฺ ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “มะลาอิกะห์ลงมาสู่ “อินาน” ซึ่งก็คือเมฆแล้วกล่าวถึงเรื่องที่มีบัญชาจากฟากฟ้า บรรดาชัยฏอนก็แอบฟังแล้วนำมาเล่าอย่างๆ ลับๆ แก่บรรดาหมอดู พวกเขายังได้ปลอมปนความจริงที่ได้มาด้วยความเท็จจากพวกเขาเองอีกร้อยความเท็จ”

เมื่อหลายปีมาแล้ว ญาติคนหนึ่งซึ่งมีอายุประมาณ 10 ขวบ ได้หายสาบสูญไปจากบ้าน โดยไม่มีผู้ใดทราบว่าเขาไปอยู่ที่ไหน มีชีวิตอยู่อีกหรือไม่ ก็มีการไปหาโต๊ะหมอแขก หลายคนด้วยกัน ผลของการดูของโต๊ะหมอแขกแต่ละคนแตกต่างกัน โต๊ะหมอแขกคนหนึ่งบอกว่าไปอยู่กับผี(ญิน)ที่จอมปลวกลูกหนึ่ง โต๊ะหมอกแขกอีกคนหนึ่งบอกว่าไปอยู่กับผีที่เนินสูงแห่งหนึ่งที่มีต้นไม้ปกคลุม ซึ่งอยู่ไม่ไกลกับบ้านของเขามากนัก แต่ผลปรากฏว่าอีกหนึ่งปีต่อมา ญาติคนนั้นก็กลับมา ได้ความว่าเขาได้ขึ้นรถเมย์ไปต่างจังหวัด กลับบ้านไม่ถูกตางค์ก็หมดพอดี เลยไปอาศัยอยู่กับเจ้าของร้านขายข้าวแกงคนหนึ่ง และช่วยเจ้าของร้านขายข้าวแกงเรื่อยมา หลังจากนั้นเจ้าของร้านก็ได้สืบหาญาติและบ้านเกิดของเขา แล้วได้ส่งเขากลับมาอย่างปลอดภัย มันคนละเรื่องกันเลยที่โต๊ะหมอแขกดูให้

และพิธีกรรมและการรักษาของโต๊ะหมอแขกที่เป็นมุสลิม กลับไม่ต่างอะไรมากนักกับพิธีกรรมและการรักษาของหมอที่อยู่ในชุมชนชาวพุทธศาสนา มีความแตกต่างกันเพียงการแต่งกาย แต่กลับคล้ายครึ่งกันในการทำพิธีกรรม และการรักษาต่างๆ อย่าง มีการใช้หมากพลู ข้าวเปลือก ข้าวสารเป็นตัวกลางในการรักษา มีการใช้น้ำในการทำน้ำมนต์ มีการทำการเสกเป่าตะกุด เส้นด้าย นำมาแขวน สวมตามร่างกายหรือสิ่งของต่างๆ มีการเรียกค่าทำหมอ ซึ่งเรียกว่าค่าสงคลาด หรือค่าหลาดเหมือนกัน มีการอาบน้ำเมื่อหายจากการเจ็บป่วย เพื่อไม่ให้โรคนั้นกลับมาซ้ำเติมอีก และคำกล่าวคาถาที่คล้ายครึ่งกันมาก แต่หมอแขกบางคนก็นำอายะฮฺอัลกุรอานมากล่าว

เหตุเพราะโต๊ะหมอแขกกับหมอที่เป็นชาวพุทธศาสนา มีพื้นฐานมาจากที่เดียวกัน นั้นคือความเชื่อเดิมๆก่อนศาสนาต่างๆเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทย นั้นคือการกราบไหว้บรรพบุรุษ และภูตผีเจ้าป่าเจ้าเขา และหลังจากนั้นศาสนาพราหมณ์อินดูได้เขามาเผยแพร่ในพื้นที่ประเทศไทย(ประมาณพุทธศตวรรษที่ 8 เมืองปัตตานีขณะนั้นเรียกว่าเมืองลังกาสุกะ) ผู้คนก็ได้นำหลักความเชื่อ และพิธีกรรมต่างๆของศาสนาพราหมณ์มาผสมผสานกับความเชื่อเดิมๆของตน เมื่อพุทธศาสนาเข้ามาเผยแพร่(ประมาณช่วงระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12-18) ผู้คนก็ยังไม่ละทิ้งความเชื่อเดิมๆ โดยเอาพิธีพุทธ เช่น การไหว้พระสวดมนต์ มาผสมกับพิธีไสยศาสตร์ซึ่งเป็นของศาสนาพราหมณ์และความเชื่อเดิมในพื้นที่ เช่น พิธีการพรมน้ำมนต์ การเจิม การปรุกเสกวัตถุมงคล เป็นต้น ต่อมาเมื่อศาสนาอิสลามเข้ามา (ประมาณ พ.ศ. 1980 หรือ ฮ.ศ.857 โดยชาวอาหรับและอินเดียได้นำศาสนาอิสลามเข้ามาเผยแพร่ที่เมืองสิงคโปร์ มะละกา กลันตัน ไทรบุรี และเมืองปัตตานี) ผู้คนที่เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม ก็ยังนำหลักความเชื่อและพิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์และความเชื่อดั่งเดิมมาผสมผสานกับศาสนาอิสลาม จนมันกลมกลืนกันที่ชาวบ้านสามัญทั่วไปจะแยกแยะได้ โต๊ะหมอแขกกับหมอที่เป็นชาวพุทธศาสนาเดิมจึงมีที่มาจากที่เดียวกัน นั้นคือความเชื่อเดิมๆของบรรพบุรุษและศาสนาพราหมณ์ เดิมทีทั้งศาสนาอิสลามและพุทธศาสนาไม่มีโต๊ะหมอ และพิธีปัดเป่ารักษา การเสกเป่าด้วยคาถาอาคมเครื่องรางของขลัง การดูฤกษ์ยาม ของโต๊ะหมอเหล่านั้นก็ไม่มีในหลักความเชื่อและปฏิบัติในศาสนาอิสลาม และพุทธศาสนาแต่อย่างใด

อิสลามนั้นมีเพียงการปัดเป่ารักษาด้วยดุอาอ์ โดยปัดเป่าด้วยตนเอง หรือบุคคลอื่นปัดเป่าให้ พร้อมกับการรักษาด้วยการทานยา และสามารถเรียกค่ารักษาได้ แต่อิสลามไม่มีอาชีพหมอที่ทำการรับจ้างปัดเป่ารักษา อย่างโต๊ะหมอแขกนี้

บรรพบุรุษของผู้เขียน ก็เป็นหมอ ที่เรียกว่าโต๊ะหมอแขกนี้ คุณยายเล่าให้ฟังว่าท่านปู่ทวดเป็นโต๊ะหมอ แม้แต่เสือยังเป็นผู้รับใช้ ตอนท่านปู่ทวดเสียชีวิต เสือหลายตัวมาวนเวียนใต้ชานถุนบ้าน คุณยายและน้องชายของคุณยายได้รับการสืบทอดวิชาการรักษาด้วยคาถาอาคมจากคุณปู่ทวดสืบต่อมา แต่น้องชายของคุณยายจะเก่งกว่าได้การสืบทอดวิชามากกว่า เพราะท่านเป็นผู้ชาย จึงเป็นโต๊ะหมอที่เคารพนับถือของผู้คนในหมู่บ้าน และทุกสราทิศ เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ทรัพย์สินหาย คนหาย จะแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ก็ต้องมาน้องของคุณยายโดยไม่เว้นในแต่ละวัน

สำหรับคุณยายก็มีผู้คนมาหาท่านทำการรักษาก็ไม่ใช่น้อย ท่านได้ให้ความไว้วางใจผู้เขียน และได้สอนคำคาถาอาคมให้ผู้เขียน ซึ่งผู้เขียนก็ได้จดบันทึกไว้ในสมุดเต็มเล่ม ซึ่งเป็นคำที่มาจากภาบาลีสันตกฤตล้วนๆ ไม่มีบทที่เป็นภาษาอาหรับ หรืออายะฮฺอัลกุรอานเลย ซึ่งจะมีคำว่า “สิบทีครูกูกูให้สะบาโหม” ลงท้ายทุกบท แต่เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาศาสนา ก็ไม่มีในคำสอนอิสลามเลย ผู้เขียนก็ปฏิเสธที่จะรับสืบทอดเป็นโต๊ะหมอจากคุณยาย คุณยายก็โกรธมาก ผู้เขียนได้กล่าวเตือนคุณยายว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีในคำสอนอิสลาม และเมื่อคุณยายได้เสียชีวิตลง ก็ไม่มีผู้ใดสืบทอดโต๊ะหมอจากคุณยาย ผู้เขียนก็ขอดุอาอ์ ขอต่อพระองค์อัลลอฮฺทรงลบล้างความผิดและอภัยโทษต่อคุณยายอยู่เสมอมา

ต่อไปนี้ขอยกตัวอย่างคำคาถา ที่เป็นของโต๊ะหมอแขกมาพอสังเขป

คำคาถา เมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์ (อิสลามสายกระ...)
“หยิก...เส เธมา...กา.... ยัง...ยิ
โอม...ลึก มหา...ลึก มันนึก...กู เหมือน...นึก....
พระ...พัด... โอม...ลึก มหา...ลึก”

คาถากันของ อิสลาม สายบ้าน.................
“องค์...หน้า ทา...หลัง กัน...ผาก ลาก...ฝัน
กัน.....ใน.... กำ....แก้ว กำ....เพชร...ชั้น
ป้อง...วิญ...ใน... วาอีลาฮัก”

จึงเห็นได้ว่าคาถาเหล่านี้ ไม่มีในคำสอนอิสลาม และยังเป็นที่ต้องห้ามอีกด้วย
การเป็นโต๊ะหมอ เพื่อทำการรักษาโดยใช้คาถา(ที่ไม่ใช่เป็นการรักษาตามหลักอิสลาม) หรือทำเสน่ห์ หรือทำขุนไสยฯ จึงเป็นต้องห้ามในอิสลาม

พระองค์อัลลอฮ ศุบอานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
(وَمَا كَفَرَ سُلَيْمَانُ وَلَكِنَّ الشَّيَاطِينَ كَفَرُوا يُعَلِّمُونَ النَّاسَ السِّحْرَ)
"และสุไลมาน (นบีท่านหนึ่งของอัลลอฮฺ) มิได้ปฏิเสธ (กุโฟรต่ออัลลอฮฺ) หากแต่บรรดาชัยฏอนต่างหากที่ปฏิเสธ (กุโฟรต่ออัลลอฮฺ) พวกมันสอนไสยศาสตร์แก่ผู้คน"
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัลบากอเราะฮฺ 2:102)

ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า
”จงหลีกห่างจากบาปใหญ่ 7 ประการ บรรดาเศาะฮาบะฮฺกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮฺ มันคืออะไร? ท่านนะบี กล่าวว่า การตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ ไสยศาสตร์ การฆ่าชีวิตที่อัลลอฮ์ให้เป็นที่ต้องห้ามเว้นแต่เพื่อดำรงสัจธรรม การกินดอกเบี้ย การโกงกินทรัพย์เด็กกำพร้า การหนีทัพในวันประจัญบาน และการใส่ร้ายหญิงบริสุทธิ์ที่ไม่รู้เรื่องและเป็นผู้ศรัทธา” (รายงานโดย บุคอรียฺและมุสลิม)

อิสลามห้ามในเรื่องโชคลาง ห้ามในเรื่องการทำเครื่องรางของขลัง ห้ามทำการดูฤกษ์ยามที่มีหลักความเชื่อว่าวัน เวลา สถานที่ สิ่งของ ดวงดาว หรืออื่นๆ อาจมีผลดีผลร้ายต่อบุคคลนั้นได้ซึ่งถือเป็นการทำชีริก จึงเป็นที่ต้องห้ามผู้ที่จะเป็นโต๊ะหมอที่จะกระทำสิ่งดังกล่าวด้วย

ทั้งผู้ที่ไปหาโต๊ะหมอ เพื่อให้โต๊ะหมอดูบางสิ่งบางอย่างให้ เช่น ดูลายนิ้วมือ ดูของหาย ดูว่าทำไมการค้าขายไม่ดี ดูในเรื่องอนาคต โทษของมันคือ การละหมาดของเขาอัลลอฮฺจะไม่ตอบรับ 40 วัน และถ้าหากเขาเชื่อบางสิ่งบางอย่างจากโต๊ะหมอนั้น ก็เท่ากับเขาปฏิเสธสิ่งที่ประทานมายังท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัมแล้ว (คืออัลกุรอาน)

ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า
من أتى عرافاً فسأله عن شيء فصدقه لم تقبل له صلاة أربعين يوماً
"บุคคลใดที่ไปหาหมอดูเพื่อถามบางสิ่งบางอย่างและเชื่อหมอดู การละหมาดของเขาจะไม่ถูกตอบรับเป็นเวลา 40 วัน"(บันทึกโดย มุสลิม)

من أتى كاهناً فصدقه بما يقول فقد كفر بما أنزل على محمد
"บุคคลใดที่ไปหาหมอดู และเขาเชื่อในสิ่งที่หมอดูพูด เช่นนั้นเขาได้ปฏิเสธสิ่งที่ถูกประทานให้แก่มุฮัมมัด" (บันทึกโดย อะบูดาวูด)

รายงานจากท่านอับดิ้ลลาฮฺ ร่อฎียัญลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"การถือโชคลาง เป็นการตั้งภาคี การถือโชคลางเป็นการตั้งภาคี (ได้กล่าว) 3 ครั้ง เมื่อผู้ใดคนหนึ่งจากพวกท่านเห็นสิ่งที่เขารังเกียจ ให้เขากล่าวว่า
"اللهم لا يأتي بالحسنات إلا أنت ، ولا يدفع السيئا ت إلا أنت ، ولا حول ولا قوة إلا بك
(อัลลอฮุมมา ลา ยะฮฺตีบิฮัลซานาตี อิลลาอัลตาวาลา ยัดฟาอุสสัยยีอาตี อิลลาอันตา วาลาเฮาลาวา กูวาตาอิลลาบิกา)"
"โอ้พระองค์อัลลอฮฺ จะไม่มีผู้ใดจากพวกเรา นอกจากพระองค์ และจะไม่สามารถป้องกันความชั่วต่างๆ ได้นอกจากพระองค์ และไม่มีพลังและกำลังอันใดเว้รแต่ด้วยพระองค์"(บันทึกหะดิษโดยอบูดาวูด และอะหฺมัด)


รายงานจาก อิบนิอับบาส ร่อฎียัญลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"จะได้เข้าสวรรค์จากประชาชาติของฉัน 7 หมื่นคน โดยไม่ต้องสอบสวน พวกเขาคือพวกที่ไม่ขอการรักษาด้วยคาถา ไม่ถือโชคลาง แต่พวกเขามอบหมายต่อผู้อภิบาลของพวกเขา" (บันทึกหะดิษโดยบุคอรีย์ มุสลิม และติรฺมีซีย์)

รายงานจากท่านอิบนุ มัสอูด เล่าว่า เขาเข้ามาหาภรรยาของเขา และคอของนางมีตะกรุดแขวนอยู่ เขาจึงกระชากมันจนมันขาด และอุทานออกมาว่า
“แท้จริงวงวานศ์ของอับดุลลอฮฺนั้น ไม่ต้องการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺกับสิ่งที่พระองค์มิได้ทรงประทานหลักฐานมา”
และเขากล่าวอีกว่า
“ฉันเคยได้ยิน ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
: อันเวทมนต์คาถา เครื่องรางของขลัง และติวะละฮฺเป็นชีริก”
พวกเขา(เหล่าสาวก) ถามว่า
“โอ้ท่านอบูอับดุลลอฮฺ (นามแฝงของอิบนุ มัสอูด) เครื่องรางและคาถานั้นพวกเรารู้แล้ว แต่ติวะละฮฺนั้นละคืออะไร?”
ท่านตอบว่า
“เสน่ห์(ยาแฝด) สิ่งที่พวกผู้หญิงทำขึ้นเพื่อให้สามีหลงรัก” (บันทึกหะดิษโดยอัลฮากิม และอิบนิฮิบบาน โดยทั้งสองว่าเป็นหะดิษเศาะเฮียะฮฺ)

เมื่ออิสลามห้ามเป็นโต๊ะหมอเพื่อกระทำสิ่งที่ต้องห้ามเช่น คุณไสยฯ เสน่ห์ยาแฝด การทำนายทายทัก การทำเครื่องรางของขลัง ฯลฯ แล้ว จึงต้องห้ามเรียกค่าทำหมอ หรือค่าสงคราด หรือค่าหลาดนั้นด้วย(เว้นแต่การรักษาตามแบบฉบับท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)

รายงานจากอะบีมัสอู๊ด อัลอันศอรียฺว่า
"ท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ห้ามราคาสุนัข ค่าตัวโสเภณี และค่าดูหมอของหมอดู" ( บันทึกโดยมุสลิม /2903 และท่านอื่นๆ)

ไสยศาสตร์เป็นงานของชัยฏอน ผู้ศรัทธาย่อมไม่เดินตามรอยเท้าของชัยฏอน หากโต๊ะหมอแขกผู้ใดเชื่อว่าไสยศาสตร์เป็นเรื่องที่ศาสนาอนุมัติ นักปราชญ์อิสลามมีความเห็นสอดคล้องต้องกันว่า ผู้นั้นเป็นการฟิร และมีบทลงลงโทษประหารชีวิต หากเขาไม่กลับเนื้อกลับตัว

ท่านอุมัร ร่อฎียัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า
“พวกท่านจงประหารผู้ทำไสยศาสตร์ และหมอผีทุกคน”

“ความจริง ถ้าทั้งสองขออภัยโทษกลับเนื้อกลับตัว ก็ไม่ถูกฆ่า”

ดังนั้นโต๊ะหมอแขกผู้ใด ยังกระทำการเป็นผู้วิเศษ ยังเป็นหมอทายทัก ดูสิ่งเร้นลับ ทำคุณไสยฯ ทำเสน่ห์ยาแฝด ทำเครื่องรางของขลัง ทำการรักษาด้วยคาถากับสิ่งที่ขัดกับบทบัญญัติอิสลาม ก็จงเตาบัตกลับเนื้อกลับตัวเสีย ก่อนที่มันจะสายเกินไป

والله أعلم بالصواب

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น