อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เมื่อพวกตาต๊าร์บุกกรุงแบกแดด


               เมื่อพวกตาต๊าร์ (TARTARS) มีชัยชนะเหนือมุสลิมในกรุงแบกแดด ได้เกิดเหตุการณ์สยองขวัญขึ้นตามที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ ท่านอบิลฟิด๊าอฺ (อิบนิกะซี๊รฺ) ได้บันทึกไว้ในหนังสือ “อัลบิดายะฮฺ วันนิฮายะฮฺ” รายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ นครแบกแดด ในปี ฮ.ศ.ที่ 656 ว่า

“แล้วพวกมัน(หมายถึงพวกตาต๊าร์) ก็หลั่งไหลกันเข้ามาในเมือง ฆ่านทุกคนที่พวกมันสามารถจะฆ่าได้ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง เด็กหรือผู้ใหญ่ คนหนุ่มคนสาวหรือคนชรา หลายคนต้องหลบลงคูคลอง คอกสัตว์ กองขยะ ซ่อนตัวอยู่หลายๆวัน โดยไม่ได้ออกมาสู่โลกภายนอก บางกลุ่มรวมตัวกันหลบหนีเข้าไปอยู่ในร้านค้าแล้วปิดไว้อย่างแน่นหนา พวกตาต๊าร์ตามมาทะลวงประตูหรือไม่ก็จุดไฟเผา จนกระทั้งเลือดไหลเข้าสู่รางน้ำลงมานองพื้นเบื้องล่างทั่วทุกซอกซอย การกระทำเช่นนี้เกิดขึ้นทุกแห่ง ไม่ว่าในมัสยิด หรือที่ชุมนุม ใดๆ จะไม่มีใครรอดชีวิต นอกจากพวกยิวและคริสต์ที่อยู่ใต้การปกครองของมุสลิม หรือผู้ไปขอพึ่งพิงพวกเขา (พวกยิวและคริสต์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิมนี้เอง เป็นไส้ศึกชักนำพวกตาต๊าร์เข้ามาโจมตีอิสลามและมุสลิมในกรุงแบกแดด โดยชี้ช่องทางจุดยุทธศาสตร์ให้ และร่วมก่อความหายนะขึ้น พวกเขาต้อนรับพวกตาต๊าร์ด้วยความยินดี เพื่อให้เข้าจัดการกับมุสลิม ทั้งที่มุสลิมเป็นผู้ปฏิบัติต่อพวกเขาตามสัญญาและให้ความคุ้มครองพวกเขาอยู่อย่างปลอดภัย)

หรือผู้ที่ขอพึ่งพิงอยู่ในบ้านของ อัลวะซี๊รฺ อิบนิ อัล ก่อมียฺ (ซึ่งเป็นพวกชีอะฮฺ รอฟิเฎาะฮฺ) มีพวกพ่อค้ากลุ่มหนึ่งได้ทำสัญญาขอยอมเสียสละทรัพย์จำนวนมหาศาลให้ให้แลกกับความปลอดภัยของตนเอง ภายหลังเหตุการณ์สงบลง กรุงแบกแดดกลับฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่ง ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง เหมือนเมืองร้างไม่มีผู้คนอยู่อาศัย นอกจากเพียงไม่กี่คนที่อยู่ระหว่างหวาดหวั่นและหิวกระหาย”

“จำนวนผู้ถูกฆ่าในในกรุงแบกแดดอันสืบเนื่องจากเหตุการณ์ครั้งนั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ บางท่านกล่าวว่าแปดแสนคน บางท่านกล่าวว่า หนึ่งล้านบางท่านกล่าวว่า สองล้านคน

พวกตาต๊าร์เข้ายึดกรุงแบกแดดในช่วงท้ายของเดือนมุอัรรอม ฆ่าฟันชาวเมืองอยู่ 40 วัน ท่านค่อลีฟะฮฺ อัลมุซตะอฺวิมบิลาฮฺ ผู้ปกครองมุสลิมถุกฆ่าตายในวันพุทธ ที่ 14 เดือนซ่อฟัร ขณะท่านมีอายุได้ 46 ปี 4 เดือน ดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮฺได้ 15 ปี 8 เดือนกว่าๆ บุตรชายคนโตของท่านชื่ออบุล-อับบ๊าส อะฮฺมัด ถูกฆ่าขณะอายุ 25 ปี บุตรชายคนกลางชื่ออบุลฟัฏลฺ อับดุรเราะฮฺมาน ก็ถูกฆ่าขณะอายุ 23 ปี ส่วนบุตรชายคนเล็กชื่อ มุบร๊อก ถูกจับเป็นเชลย นอกจากนี้พี่น้องหญิงของท่านอีก 3 คน คือ ฟาฏิมะฮฺ ค่อดียะฮฺ และมัรยัมก็ถูกจับป็นเชลยเช่นกัน”

▂  ▂ ▃ ▄ ▅ ▆ ▇ █
สายสัมพันธ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น