อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

จงบริจาคก่อนที่ความตายจะมาถึง





บริจาคก่อนอายุขัยจะมาถึง


เมื่อวาระสุดท้ายได้มาถึง สิ่งที่รออยู่เบื้องหน้าคือหลุมศพและการสอบสวน ไม่เหลือเวลาสำหรับความสุขใดอีก เวลาเพียงน้อยนิด จึงหาวิธีสร้างบุญให้เร็วที่สุด ในเมื่อสังขารร่างกายไม่ไหว สิ่งเดียวที่พอจะทำได้คือทรัพย์สิน การบริจาคเป็นสิ่งง่ายที่สุด เขาสั่งให้เอาเงินไปให้คนนี้เท่านั้น คนนั้นเท่านี้ ทั้งที่มันเป็นสิทธิของอีกคนหนึ่ง นั้นหมายถึงทายาทผู้มีสิทธิรับมรดก

พระองค์อัลลอฮฺทรงตรัสว่า


يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا أَنفِقُوا مِمَّا رَزَقْنَاكُم مِّن قَبْلِ أَن يَأْتِيَ يَوْمٌ لَّا بَيْعٌ فِيهِ وَلَا خُلَّةٌ وَلَا شَفَاعَةٌ وَالْكَافِرُونَ هُمُ الظَّالِمُونَ  

"บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงบริจาคส่วนหนึ่ง จากสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้าก่อนจากที่วันหนึ่งจะมา ซึ่งในวันนั้นไม่มีการซื้อขาย และไม่มีการเป็นมิตร และไม่มีชะฟาอะฮ์ และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น คือ พวกที่อธรรม(แก่ตัวเอง)"(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ 2:254)
 พระองค์อัลลอฮฺทรงตรัสว่า


وَأَنفِقُوا مِن مَّا رَزَقْنَاكُم مِّن قَبْلِ أَن يَأْتِيَ أَحَدَكُمُ الْمَوْتُ فَيَقُولَ رَبِّ لَوْلَا أَخَّرْتَنِي إِلَىٰ أَجَلٍ قَرِيبٍ فَأَصَّدَّقَ وَأَكُن مِّنَ الصَّالِحِينَ 


"และจงบริจาคจากสิ่งที่เราได้ให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้าก่อนที่ความตายจะเกิดขึ้นแก่ผู้ใดในหมู่พวกเจ้า แล้วเขาก็จะกล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ มาตรว่าพระองค์ท่านทรงผ่อนผันให้แก่ข้าพระองค์อีกชั่วเวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อที่ข้าพระองค์จะได้บริจาคและข้าพระองค์ก็จะอยู่ในหมู่คนดีทั้งหลาย (ผู้ทรงคุณธรรม)"  (อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัลมุนาฟิกูน 63:10)
รายงานมาจากท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม แล้วกล่าวว่า
ท่านรสูลของอัลลอฮฺ การทำทานแบบใดมีผลมีผลบุญมากที่สุด” ท่านตอบว่า “การที่ท่านบริจาคทานขณะที่ท่านสุขภาพแข็งแรง มีความตระหนี่ กลัวความยากจน มุ่งหวังความร่ำรวย ท่านอย่าปล่อยเวลาผ่านไปจนเมื่อวิญาณมาอยู่ที่คอของท่าน ท่านเพิ่งกล่าวว่า ให้คนนี้เท่านั้น ให้คนนั้นเท่านี้ ทั้งที่มันเป็นสิทธิของอีกคนหนึ่ง” (บันทึกหะดิษโดยบุคอรีย์ และมุสลิม)

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม แล้วกล่าวว่า
คนที่ปล่อยทาสและทำบุญขณะที่เขาจะตาย ก็เปรียบเสมือนคนที่ให้ของคนอื่นตอนตนเองอิ่มแล้ว” (บันทึกหะดิษโดยอัตติรมิซีย์)

การที่เราได้รับประทานอาหารร้อนๆ จากเตาของบ้านข้างๆ ย่อมรู้สึกดีกับเขามากกว่าเขากินกันจนอิ่มแล้ว ถ้าเหลือเขาก็ให้เรา ถ้าไม่เหลือก็ถือว่าแล้วกันไป การบริจาคเพื่ออัลลอฮฺ ตอนใกล้ตายก็มีลักษณะคล้ายกัน แม้ตามหลักถือว่าใช้ได้ แต่กลับกระทบต่อคนใกล้ชิดเขาเอง ที่ยังต้องเพชิญชีวิตต่อไป

พวกเขาตระหนี่ตอนเงินอยู่กับตน แต่กลับสุรุ่ยสุร่ายเมื่อหลุดมือไปแล้ว
ซึ่งตอนมีชีวิตก็หวงแหนเงินทอง มีมากแต่ไม่ยอมบริจาค แต่พอเงินจะหลุดจากมือไปพร้อมกับวิญาณ กลับบริจาคอย่างไม่คิดชีวิต ทั้งที่ควรมอบให้แก่ทายาท ผู้ที่ยังต้องเพชิญหน้าชีวิต เพื่อเป็นต้นทุนต่อไป

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม แล้วกล่าวว่า
“การที่ท่านทิ้งลูกของท่านไว้อย่างร่ำรวย ย่อมดีกว่าทิ้งไว้อย่างแร้นแค้น ต้องคอยขอผู้อื่น” (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบุคอรีย์)

  والله أعلم بالصواب

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น