อย่าให้ความขัดแย้งเกิดขึ้นในมุสลิมบ้านเราเช่นนี้อีก |
เหตุมีการละหมาด 2 ญามะอะฮฺ ในมัสยิดเดียวกัน ซึ่งเกิดขึ้น
ณ มัสยิดกิ่งเพชร ซอย 7 ถนนเพชรบุรี มัสยิด ดารุลอะมาน พยาไท และมัสยิดอื่นๆ เช่น ที่มัสยิดอัลฮูดา คลองสามประเวศ
สำหรับมัสยิดกิ่งเพชร คณะกรรมการปะปนกันระหว่างฝ่ายสุนนะฮ์ที่เรียกตนเองว่าคณะเก่าและกับสุนนะฮฺที่คณะเก่าเรียกว่าคณะใหม่
ปัญหาเวลาเข้าเวลาละหมาด ผู้ทำหน้าที่ตำแหน่งเป็นอิมาม
ผู้ที่สร้างปัญหา คือเมื่อมีการอิกอมะฮฺแล้ว หากอิมามประจำไม่อยู่ ฝ่ายสุนนะฮที่ถูกเรียกว่าคระใหม่ก็ขึ้นไปเป็นอิมามแทน
ฝ่ายสุนนะฮ์ที่เรียกตนเองว่าคณะเก่าได้มาหลังจากนั้น ก็ไม่ยอมละหมาดตาม แต่กลับไปตั้งญามะอะฮฺซ้อนในขณะเดียวกัน แล้วแข่งกันอ่านซ้อนกันวุ่นวาย
หากฝ่ายสุนนะฮฺที่เรียงตัวเองว่าสายเก่ามาก่อนจะไม่มีปัญหา ฝ่ายสุนนะฮฺที่ถูกเรียกว่าสายใหม่ ก็จะตามพวกเขาได้ แต่เวลาที่สุนนะฮฺถูกเรียกว่าสายใหม่มาก่อน พวกเขาจะไม่ตาม
ก็ได้มีตัวแทนของชาวสุนนะฮฺที่ถูกเรียกว่าสายใหม่ได้เข้าไปสอบถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น ที่ทำให้มัสยิดแตกแยกกันอย่างนี้ ก็ได้คำตอบว่า ทางฝ่ายสุนนะฮฺที่ถูกเรียกว่าสายใหม่ละหมาด อ่านไม่เหมือนบรรพบุรุษ ที่พวกเขาทำสืบกันมา
การตามอะฮฺลิสสุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮฺ กรณีไม่ให้ละหมาดตามคนคนหนึ่งได้นั้น ก็คือ ผู้นั้นเป็นผู้ทำบิดอะฮฺ เป็นผู้ต่อต้านอะฮฺลิสสุนนะฮฺแล้ว อย่างเช่นอิมามอะหมัดไม่ให้ละหมาดตามหลังยามียะฮฺ พวกที่ร้ายแรงมาก คำถามว่าการละหมาดฝ่ายสุนนะฮฺถูกเรียกว่าสายใหม่ร้ายแรงจนถึงขั้นพวกเขาละหมาดตามไม่ได้เลยกระนั้นหรือ?
การที่พวกเขาทำตามปู่ย้าตายาย หากปู่ย่าตายายตามสุนนะฮฺมาแล้ว ก็ไม่มีปัญหา แต่ก็ทราบกันดีว่าตามสุนนะฮฺหรือไม่ ซึ่งร้อยประเทศ ร้อยปู่ย่าตายาย แต่นบีมีคนเดียว เพราะฉะนั้นอย่าไปหวังปู่ย่าตายาย
พระองค์อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ในอัลกุรอาน เมื่อทางนำมายังพวกเขา พวกเขาจะตามปู่ย่าตายายกระนั้นหรือ ?
พระองค์อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า
وَإِذا قيلَ لَهُمُ اتَّبِعوا ما أَنزَلَ اللَّهُ قالوا بَل نَتَّبِعُ ما أَلفَينا عَلَيهِ ءاباءَنا ۗ أَوَلَو كانَ ءاباؤُهُونَ
"และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่าจงปฏิบัติตามสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาเถิดพวกเขาก็กล่าวว่า มิได้ เราจะปฏิบัติสิ่งที่เราได้พบบรรดาบรรพบุรุษของเราเคยปฏิบัติมาเท่านั้นและแม้ได้ปรากฏว่า บรรพบุรุษของพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งใด และทั้งไม่ได้รับแนวทางอันถูกต้องก็ตามกระนั้นหรือ?"(อัลกุรอาน สูเราะฮิอัลบะเกาะเราะฮฺ 2:170)
بَل قالوا إِنّا وَجَدنا ءاباءَنا عَلىٰ أُمَّةٍ وَإِنّا عَلىٰ ءاثٰرِهِم مُهتَدونَ
"เปล่าเลย พวกเขากล่าวว่า แท้จริงเราได้พบเห็นบรรพบุรุษของเราอยู่ในแนวทางนี้ ดังนั้นเราจึงดำเนินตามแนวทางของพวกเขา" (อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัซซุครุฟ 43:22)
พระองค์อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า
وَإِذَا فَعَلُوا فَاحِشَةً قَالُوا وَجَدْنَا عَلَيْهَا آبَاءَنَا وَاللَّهُ أَمَرَنَا بِهَا قُلْ إِنَّ اللَّهَ لَا يَأْمُرُ بِالْفَحْشَاءِ أَتَقُولُونَ عَلَى اللَّهِ مَا لَا تَعْلَمُونَ ( 28 )
"และเมื่อพวกเขากระทำสิ่งชั่วช้าน่ารังเกียจ พวกเขาก็กล่าวว่า พวกเราได้พบเห็นบรรดาบรรพบุรุษของพวกเราเคยกระทำมา และอัลลอฮฺก็ทรงใช้พวกเราให้กระทำมันด้วย จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่าแท้จริงอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงใช้ให้กระทำสิ่งชั่วช้าน่ารังเกียจดอก พวกท่านจะกล่าวให้ร้ายแก่อัลลอฮฺในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้กระนั้นหรือ?" (อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัล-อะอฺรอฟ 7:28)
อิสลามไม่ใช่อยู่ที่ปู่ย่าตายาย แต่อยู่ที่นบี หากปู่ย่าตายายไม่เหมือนนบีก็เปลียนแปลง อย่ามองว่าปู่ย่าตายายเป็นะมะอฺซูมไม่มีความผิด อัลลอฮฺทรงประนามผู้ที่ตามปู่ย่าตายายโดยไม่ลืมหูลืมตา ตามอย่างเดียว เหมือนศาสนาไม่ได้มาจากท่านนบีเสียแล้ว
สำหรับบรรพบุรุษ ปู่ย่าตายายของเรา พวกเขาก็ได้ปฏิบัติตามที่พวกเขาได้รับมา สิ่งที่เขาทำมาอัลลอฮจะสอบสวนเท่าที่เขาเหล่านั้นรับข้อมูลมา รับแหล่งเรียนรู้มาเท่าที่พวกเขามีความสามารถ เท่าที่พวกเขาแสวงหา อัลลอฮทรงยุติธรรมกับปวงบ่าวเสมอ แต่สำหรับเรา เมื่อทราบแล้วว่าสิงที่เราปฎิบัติกันอยู่บางอย่างไม่มีหลักฐานรองรับ แล้วเรายังจะฝืนปฏิบัติในสิ่งที่ไม่มีหลักฐานรองรับอีกกระนั้นหรือ?
จึงขอให้ชาวสุนนะฮฺที่เรียกตัวเองว่าคณะเก่าในมัสยิดดังกล่าว ยุติและเลิกทำสิ่งเหล่านี้ หากจะให้ตามพวกเขาก็ให้มามัสยิดเร็วๆ ให้มาก่อนอาซาน แล้วชาวสุนนะฮฺที่ถูกเรียกว่าสายใหม่จะละหมาดตามพวกเขา
อย่าสร้างปัญหาเหมือนพวกมุนาฟิกสมัยท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ใช้มัสยิด สร้างความแตกแยก
พระองค์อัลลอฮิทรงตรัสว่า
وَالَّذينَ اتَّخَذوا مَسجِدًا ضِرارًا وَكُفرًا وَتَفريقًا بَينَ المُؤمِنينَ وَإِرصادًا لِمَن حارَبَ اللَّهَ وَرَسولَهُ مِن قَبلُ ۚ وَلَيَحلِفُنَّ إِن أَرَدنا إِلَّا الحُسنىٰ ۖ وَاللَّهُ يَشهَدُ إِنَّهُم لَكٰذِبونَ
"และบรรดาผู้ที่ยึดเอามัสยิดหลังหนึ่งเพื่อก่อให้เกิดความเดือดร้อนและปฉิเสธศรัทธาและก่อให้เกิดการแตกแยกระหว่างบรรดามุอ์มินด้วยกัน และเป็นแหล่งส้องสุมสำหรับผู้ที่ทำสงครามต่อต้านอัลลอฮ์และร่อซุลของพระองค์มาก่อนและแน่นอนพวกเขาจะสาบานว่า เราไม่มีเจตนาอื่นใดนอกจากที่ดี และอัลลอฮ์นั้นทรงเป็นพยานยืนยันว่า แท้จริงพวกเขานั้นเป็นพวกกล่าวเท็จอย่างแน่นอน" (อัตเตาบะฮฺ 9 อายะฮฺที่107 )
ความเป็นอันหนึ่งของคนรุ่นก่อน
สำหรับความแตกต่างทางด้านร่องรอย ซึ่๋งบรรดาศ่อหะบะฮฺ และนักวิชาการหลังจากนั้น ทั้งๆที่มีความขัดแย้งกันของพวกเขาที่เป็นที่รู้จักกัน ในสาขาต่าง ๆแพวกเขาก็มีความรักษาในโฉมหน้าของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ห่างไกลอย่างที่สุดจากสิ่งที่ทำให้เกิดการแตกแยกและก่อให้เกิดความร้าวฉานในหมู่คณะ อาทิเช่น ในหมู่พวกเขามีผู้ที่เห็นว่า มีการบัญญัติให้อ่านบิสมิลลาฮฺดัง และมีผู้เห็นว่าไม่มีบัญญํติให้อ่านบิสมิลละฮฺดัง และในหมู่พวกเขามีผู้ที่เห็นว่า มีการชอบให้ยกสองมือขึ้น และมีผู้ที่ไม่เห็นว่า มีการชอบให้ยกมือทั้งสองขึ้น และในหมู่พวกเขามีผู้เห็นว่า น้ำละหมาดจะเสียด้วยกระทบหญิง และมีผู้ที่ไม่เห็นว่าน้ำละหมาด จะเสียด้วยการกระทบผู้หญิง พร้อมกันนั้น พวกเขาทั้งหมดก็ละหมาดตามหลังอิมามคนเดียวกัน ไม่มีคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขาหยุดยั้งจากการละหมาดหลังอิมาม เนื่องจากความแตกต่างในแนวความคิด
ส่วนผู้ลอกเลียนแบบนั้น การขัดแย้งของพวกเขา ก็ตรงกันข้ามกัน ที่กล่าวมาทุกประการ และสิ่งที่เกิดร่องรอยของมัน คือ บรรดามุสลิมจะแตกแยกกันในหลักใหญ่ที่สุด หลังจากการกล่าวชะฮาดะฮฺ แล้วอันนั้นคือ การละหมาด พวกเขาปฏิเสธที่จะละหมาดพร้อมกันหลังอิมามคนเดียวกัน ด้วยข้ออ้างว่า การละหมาดของอิมามใช้ไม่ได้ หรืออย่างน้อยเป็นสิ่งน่าเกลียด ด้วยการอ้างถึงผู้ที่เขาขัดแย้งด้วย ในแนวคิดของเขา และผลที่เกิดขึ้นจากการนั้น ก็คือ จะพบว่ามีสี่เมี๊ยะหฺรอบ ในมัสยิดกลาง โดยที่จะมีอิมามสี่คนละหมาดในนั้น โดยต่อกัน และจะพบผู้คนจำนวนมากคอยอิมามของพวกเขา ในขณะผู้อื่นกำลังยืนละหมาดอยู่
นอกจากนั้นการขัดแย้งได้ไปถึงขั้นร้ายแรงไปกว่านั้นในพวกเขา ตัวอย่าง เช่น การห้ามแต่งงานระหว่างผู้ยึดถือแนวความคิดของอิมามหะนาะฟีย์ กับผู้ที่ยึดถือแนวความคิดของอิมามชาฟิอีย์ หลังจากนั้นได้มีการชีขาดปัญหาศาสนาออกมาจากผู้มีชื่อเสียงของพวกเขาบางคนผู้ยึดแนวความคิดของอิมามอบูหะนีฟะฮฺ ได้อนุญาตให้ชายที่ยึดถือแนวความคิด(มัซฮับ) ของอิมามอบูหะนีฟะฮฺแต่งงานกับหญิงผู้ยึดแนวความคิดของอิมามชาฟิอีย์ และได้ให้เหตุผล ในเรื่องดังกล่าวด้วยถ้อยคำกล่าวของเขาว่า เป้นการลดเธอลงมาอยู่ในตำแหน่งของพวกผู้ได้รับคัมภีร์เหมือนกัน (ยะฮูดีย์ นัศรอนีย์) และไม่อนุญาตทำกลับกัน กล่าวคือ ไม่อนุญาตชายที่ยึดถือมัซฮับชาฟิอีย์แต่งงานกับหญิงที่ยึดถือมัซฮับของอิมามหะนาฟีย์ เหมือนกับที่ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ได้รับคัมภีร์เหมือนกัน(ยิว , คริสต์)แต่งงานกับหญิงมุสลิมมะฮฺ
นี้คือตัวอย่างที่เป็นผลการขัดแย้งของพวกผู้คนรุ่นหลัง ซึ่งตรงกันข้ามกับการขัดแย้งของบรรดาคนรุ่นก่อน
จึงขอร้องขอความร่วมมืออย่าให้เกิดเรื่องเช่นนี้ในมัสยิดบ้านเราอีกเลย โปรดมองกลับไปยังคนรุ่นก่อนที่เขามีความขัดแย้งในแนวความคิดข้อบัญญัติศาสนาบางประการ แต่พวกเขาก็ยังละหมาดตามอิมามคนเดียวกันได้เลย และโปรดนำการตัดสิ้นความขัดแย้งนั้นกลับไปยังพระองค์อัลลอฮฺและรสูลของพระองค์เถิด
พระองค์อัลลอฮฺทรงตรัสว่า
فَلا وَرَبِّكَ لا يُؤمِنونَ حَتّىٰ يُحَكِّموكَ فيما شَجَرَ بَينَهُم ثُمَّ لا يَجِدوا فى أَنفُسِهِم حَرَجًا مِمّا قَضَيتَ وَيُسَلِّموا تَسليمًا
"มิใช่เช่นนั้นดอก ข้าขอสาบานด้วยพระเจ้าของเจ้าว่า เขาเหล่านั้นจะยังไม่ศรัทธาจนกว่าพวกเขาจะให้เจ้าตัดสินในสิ่งที่ขัดแย้งกันระหว่างพวกเขาแล้วพวกเขาไม่พบความ คับใจใด ๆ ในจิตใจของพวกเขาจากสิ่งที่เจ้าได้ตัดสินใจ และพวกเขายอมจำนนด้วยดี"(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอันนิสาอฺ 4:65)
والله أعلم بالصواب
คลิปละหมาดตะรอเวียะฮ์ 2 ญามะอะฮฺในมัสยิดเดียวกัน
เป็นคลิปที่มัสยิดอัลฮูดา คลองสามประเวศ กรุงเทพ กดเข้าไปดู
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น