อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2560

จุดต่างของมะศอลิห์มุรฺสะละฮ์ กับบิดอะฮ์ชัรฺอียะฮ์ (บิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ)





จุดต่างของมะศอลิห์มุรฺสะละฮ์ กับบิดอะฮ์ชัรฺอียะฮ์ ก็คือ

สิ่งที่เป็นมะศอลิห์มุรฺสะละฮ์  ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมไม่ทำ "เพราะมีอุปสรรค"

ส่วนสิ่งที่เป็นบิดอะฮ์ชัรฺอียะฮ์ .. ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมไม่ทำ "ทั้งๆที่ไม่มีอุปสรรค"
ดังนั้น ทั้งสองจึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ผู้ที่อะธิบายว่าตามบัญญัติศาสนามีแต่บิดอะฮ์เลว ก็อุลามาอ์สายชาฟีอีย์ อย่างท่านอิบนุหะญัร อัล-ฮัยตะมีย์ ที่ท่านอธิบายคำพูดของอีหม่ามชาฟีอีย์ ไม่ใช่วาฮาบีที่ไหน


ส่วนการกระทำของเหล่าเศาะหะบะฮ์ ก็ไม่ใช่การทำบิดอะฮ์ (ซึ่งถือเป็นกล่าวหาที่ร้ายแรงมาก) แต่การปฏิบัติเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน คือการปฏิบัติตามแบบอย่างนบี ศอ็ลฯ เป็นซุนะฮ์ ไม่ใช่บิดอะฮ์


ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า
فعليكم بسنتى وسنة الخلفاءالراشدين
"จำเป็นบนพวกท่าน ด้วยซุนนะฮ์ของฉันและซุนนะฮ์ของบรรดาคอลิฟะฮฺผู้ทรงธรรม"
และท่านร่อซุล กล่าวอีกว่า
إقتدوابالذين من بعدى أبى بكر وعمر
" และพวกเจ้าจงดำเนินตามด้วยกับทั้งสองหลังจากฉัน(เสียชีวิตแล้ว) คือ อบูบักรและอุมัร"

อัศอ็นอานีย์กล่าวว่า
فَإِنَّهُ لَيْسَ الْمُرَادُ بِسُنَّةِ الْخُلَفَاءِ الرَّاشِدِينَ إِلَّا طَرِيقَتَهُمُ الْمُوَافِقَةَ لِطَرِيقَتِهِ -صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ- مِنْ جِهَادِ الْأَعْدَاءِ وَتَقْوِيَةِ شَعَائِرِ الدِّينِ وَنَحْوِهَا ، فَإِنَّ الْحَدِيثَ عَامٌّ لِكُلِّ خَلِيفَةٍ رَاشِدٍ لَا يَخُصُّ الشَّيْخَيْنِ .
แท้จริง ไม่ใช่จุดประสงค์ด้วยคำว่า"สุนนะฮเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน" นอกจาก แนวทางของพวกเขา สอดคล้องกับแนวทางของท่านนบี ศอ็ลฯ จากการต่อสู้บรรดาศัตรู และการสร้างความเข้มแข็งแก่สัญลักษณ์แห่งศาสนา และในทำนองนั้น เพราะแท้จริงหะดิษ นั้น มีความหมายครอบคลุม ทุกๆเคาะลิฟะฮรอชิด ไม่ได้เจาะจงแก่ผู้อวุโสสองท่าน(หมายถึงไม่ได้เจาะจงเฉพาะอบูบักร์และอุมัร) -สุบุลุสสลาม เล่ม 1 หน้า 493 และตุหฟะตุลอะหวะซีย์ 3/50


และอัศศอนอานีย์ กล่าวอีกว่า
ومعلوم من قواعد الشريعة أنه ليس لخليفة راشد أن يُشَرِّع طريقة غير ما كان عليها النبي صلى الله عليه وسلم...".
และเป็นที่รู้กันจากบรรดาหลักการแห่งชะรีอัต คือ ไม่มีสิทธิ์ สำหรับเคาะลิฟะฮรอชิด การที่เขาจะบัญญัติแนวทางของเขาเอง อื่นจากสิ่ง(แนวทาง)ที่ท่านนบี ศอ็ลฯ ได้ดำเนินอยู่บนมัน -


อัลมุบาเราะกะฟูรีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า

فَإِذَا عَرَفْتَ أَنَّهُ لَيْسَ الْمُرَادُ بِسُنَّةِ الْخُلَفَاءِ الرَّاشِدِينَ إِلَّا طَرِيقَتَهُمُ الْمُوَافَقَةَ لِطَرِيقَتِهِ -صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ
เมื่อท่านได้รู้แล้ว ว่าแท้จริง ไม่ใช่จุดประสงค์ด้วยคำว่า สุนนะฮเคาะลิฟะฮรอชิดีน นอกจาก แนวทางของพวกเขา สอดคล้องกับแนวทางของท่านนบี ศอ็ลฯ - ดูตุหหฟะตุลอะฮวะซีย์ เล่ม 3 หน้า 51



การที่กล่าวว่าคำพูดนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ถือให้ทำบิดอะฮ์หะซะนะฮ์นั้น
เมื่อเป็นคำพูดของนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) แล้ว.จะเป็นบิดอะฮ์ได้อย่างไร?







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น