อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เมื่ออุลามาอ์ทั้งสี่มัซฮับเห็นพ้องกันว่า การจัดเลี้ยงอาหารบ้านคนตายเป็นการอุตริที่ต้องห้าม


การทำพิธีกรรม โดยอ้างว่าทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย ด้วยการอัญเชิญโต๊ะลาไบมาว่ากล่าวทำพิธีและจัดเลี้ยงอาหารให้โต๊ะลาแบ ที่ทำกันเป็นการเฉพาะในช่วง 3 วันแรก ในวันครบ 7 วัน 40 วัน และ100 วันของผู้ตาย ไม่ปรากฏให้เห็นเป็นหลักฐานของบรรพชนยุคต้นเลย เมื่อมีการนำเสนอและติเตือนว่าการทำพิธีกรรมดังกล่าวไม่มีรูปแบบจากท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และชาวสลัฟและให้ละทิ้งมันเสีย ก็ถูกตอบโต้ว่า พวกนี้หลงผิด ไม่เอาอุลามาอ์ พวกเอาแนวคิดจากพวกวาฮาบีย์ และปฏิเสธที่จะละทิ้งมัน


 ต่อไปนี้จะขอยกคำพูดของอุลามาอ์ที่กล่าวติเตือนถึงเรื่องนี้ ว่าเป็นบิดอะฮ์ลุ่มหลง ซึ่งพวกเขาเป็นอุลามาอ์ชั้นแนวหน้าของมัซฮับทั้งสี่ โดยเฉพาะคำพูดของอุลามาอ์ของสายชาฟีอีย์ ที่ผู้ยึดติดกับการทำพิธีกรรมเหล่านี้อ้างหนักหนาว่าต้องผูกขาดและต้องปฏิบัติตามพวกเขาอย่างเคร่งครัด

ท่านอิหม่ามชาฟิอี กล่าวว่า

وَأَكْرَهُ الْمَأْتَمَ ، وَهِيَ الْجَمَاعَةُ ، وَإِنْ لَمْ يَكُنْ لَهُمْ بُكَاءٌ ، فَإِنَّ ذَلِكَ يُجَدِّدُ الْحُزْنَ ، وَيُكَلِّفُ الْمُؤْنَةَ مَعَ مَا مَضَى فِيهِ مِنْ الْأَثَرِ" .

และข้าพเจ้า รังเกียจ การมะอฺตัม และมันคือ การรวมตัวกันเป็นหมู่คณะ และแม้ว่าจะไม่มีการร้องให้ก็ตาม เพราะแท้จริงดังกล่าวนั้น ทำให้เกิดความโศกเศร้าขึ้นมาใหม่ และมันทำให้แบกภาระการใช้จ่าย (แก่ครอบครัวผู้ตาย) ทั้งๆที่หะดิษได้อ้างเป็นหลักฐานผ่านมาแล้ว -อัลอุม 1/318


ท่านอิหม่ามนะวะวีย์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ.  676)  ได้กล่าวไว้ในหนังสือ  “อัล-มัจญมั๊วะอฺ”   เล่มที่  5  หน้า  320  ว่า …

قَالَ صَاحِبُ الشَّامِلِ وَغَيْرُهُ  :  وَأَمَّا إِصْلاَحُ أَهْلِ الْمَيِّتِ طَعَامًا وَجَمْعُ النَّاسِ عَلَيْهِ  فَلَمْ يُنْقَلْ فِيْهِ شَىْءٌ  وَهُوَ بِدْعَةٌ غَيْرُ مُسْتَحَبَّةٍ …..

“ท่านเจ้าของหนังสือ  “อัช-ชามิล”  (มีชื่อว่า อบูนัศรฺ, มะห์มูด บิน อัล-ฟัฎล์ อัล-อิศบะฮานีย์,   มีชื่อรองว่า  อิบนุ ศ็อบบาค   เป็นชาวเมืองอิศฟาฮาน,  สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 512) และนักวิชาการท่านอื่นๆกล่าวว่า …  อนึ่ง  การที่ครอบครัวผู้ตายได้จัดปรุงอาหารขึ้น และเชิญชวนผู้คนให้มาร่วมรับประทานกัน  พฤติกรรมนี้ ไม่เคยปรากฏมีรายงานหลักฐานมาแต่ประการใด,   ดังนั้น มันจึงเป็นบิดอะฮ์ที่ไม่ชอบตามหลักการศาสนา”


ท่านเช็ค อิบนุหะญัรฺ อัล-ฮัยตะมีย์  (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 974)  ได้กล่าวในหนังสือ  “ตุ๊ห์ฟะตุ้ล มุห์ตาจญ์”  ว่า


وَمَا اعْتِيْدَ مِنْ جَعْلِ أَهْلِ الْمَيِّتِ طَعَامًا لِيَدْعُواالنَّاسَ إِلَيْهِ  بِدْعَةٌ مَكْرُوْهَةٌ كَإِجَابَتِهِمْ لِذَلِكَ

“สิ่งซึ่งปฏิบัติกันมาจนกลายเป็นประเพณีไปแล้ว .. อันได้แก่การที่ครอบครัวผู้ตายปรุงอาหารขึ้นมา เพื่อเชิญให้ผู้คนมาร่วมรับประทานนั้น  มันคือบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจ ..  เช่นเดียวกับการตอบรับคำเชิญชวนไปร่วมในงานเลี้ยงนี้ (ก็เป็นบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจเช่นเดียวกัน)
(จากหนังสือ  “อิอานะฮ์ อัฏ-ฏอลิบีน”   เล่มที่  2  หน้า  146)


ท่านอะห์มัด บิน ซัยนีย์ ดะห์ลาน  อดีตมุฟตีย์ของมัษฮับชาฟิอีย์แห่งนครมักกะฮ์  ได้กล่าวตอบเมื่อมีผู้ถามปัญหาเรื่องการเลี้ยงอาหารบ้านผู้ตายว่า …

نَعَمْ،  مَايَفْعَلُهُ النَّاسُ مِنَ اْلإِجْتِمَاعِ عِنْدَ أَهْلِ الْمَيِّتِ وَصُنْعِ الطَّعَامِ مِنَ الْبِدَعِ الْمُنْكَرَةِ الَّتِىْ يُثَابُ عَلَى مَنْعِهَا وَالِى اْلأَمْرِ …..

“ใช่,  สิ่งซึ่งประชาชนกำลังกระทำกัน  อันได้แก่การไปชุมนุมกัน ณ ครอบครัวผู้ตาย  และมีการปรุงอาหาร (เพื่อเลี้ยงดูกัน)  ถือว่า เป็นหนึ่งจากบิดอะฮ์ต้องห้าม ..  ซึ่งผู้นำที่ต่อต้านเรื่องนี้ จะได้รับผลบุญตอบแทน ………”
(จากหนังสือ  “อิอานะฮ์ อัฏ-ฏอลิบีน”   เล่มที่  2  หน้า  145)


ท่านเช็คอะห์มัด ซัยนีย์ ดะห์ลาน  ยังได้กล่าวในการตอบคำถามนี้อีกตอนหนึ่งว่า

وَلاَ شَكَّ أَنَّ مَنْعَ النَّاسِ مِنْ هَذِهِ الْبِدْعَةِ الْمُنْكَرَةِ فِيْهِ إِحْيَاءٌ لِلسُّنَّةِ وَإِمَاتَةٌ لِلْبِدْعَةِ، وَفَتْحٌ لِكَثِيْرٍ مِنْ أَبْوَابِ الْخَيْرِ وَغَلْقٌ لِكَثِيْرٍ مِنْ أَبْوَابِ الشَّرِّ،  فَإِنَّ النَّاسَ  يَتَكَلَّفُوْنَ كَثِيْرًا يُؤَدِّىْ إِلَى أَنْ يَكُوْنَ ذَلِكَ الصُّنْعُ مُحَرَّمًا ….

“และไม่มีข้อสงสัยใดๆเลยว่า   การห้ามปรามประชาชนจาก (การกระทำ) สิ่งบิดอะฮ์ต้องห้ามอย่างนี้  คือการฟื้นฟูซุนนะฮ์และเป็นการทำลายบิดอะฮ์,   และยังเป็นการเปิดประตูแห่งความดีอย่างมากมาย และเป็นการปิดประตูแห่งความชั่วอย่างมากมาย,เพราะว่าประชาชนต่างก็ทุ่มเท(ในเรื่องนี้) กันอย่างหนัก  จนการกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่การปฏิบัติที่ต้องห้ามได้” …
(จากหนังสือ  “อิอานะฮ์ อัฏ-ฏอลิบีน”   เล่มที่  2  หน้า  146)


มีรายงานมาเกี่ยวกับเรื่องการกินเลี้ยงที่บ้านผู้ตายจากท่านอิหม่ามอะห์มัด อิบนุ หัมบัลว่า ….

قَالَ أَحْمَدُ  :  هُوَ مِنْ فِعْلِ الْجَاهِلِيَّةِ،   وَأَنْكَرَهُ شَدِيْدًا …

ท่านอิหม่ามอะห์มัดกล่าวว่า  :  “มัน (การให้บ้านผู้ตายเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารแขก) เป็นพฤติการณ์ของพวกญาฮิลียะฮ์ ! ” ..   และท่านจะแอนตี้มันอย่างรุนแรง …
(จากหนังสือ  “อัล-มันฮัล อัล-อัษบุลเมารูด ฯ”   เล่มที่  4  ส่วนที่  8  หน้า  273)


ท่านอิบนุ กุดามะฮ์  ได้กล่าวในหนังสือ  “อัล-มุฆนีย์”   เล่มที่  2  หน้า  413 ว่า …

فَأَمَّا صُنْعُ أَهْلِ الْمَيِّتِ طَعَامًا لِلنَّاسِ فَمَكْرُوْهٌ،  ِلأَنَّ فِيْهِ زِيَادَةً عَلَى مُصِيْبَتِهِمْ وَشُغْلاً أِلَى شُغْلِهِمْ وَتَشَبُّهًا بِصُنْعِ أَهْلِ الْجَاهِلِيَّةِ،  وَيُرْوَى أَنَّ جَرِيْرًا وَفَدَ عَلَى عُمَرَ فَقَالَ  :  هَلْ يُنَاحُ عَلَى مَيِّتِكُمْ ؟ قَالَ : لاَ،   قَالَ  :  وَهَلْ يَجْتَمِعُوْنَ عِنْدَ أَهْلِ الْمَيِّتِ وَبَجْعَلُوْنَ الطَّعَامَ ؟  قَالَ  :  نَعَمْ،   قَالَ  :  ذَلِكَ النَّوْحُ  ……

“อนึ่ง  การที่ครอบครัวผู้ตายปรุงอาหารขึ้นมาให้ประชาชน(รับประทานกัน) นั้น  ถือว่า  เป็นเรื่องน่ารังเกียจ,    เนื่องจากมันเป็นการซ้ำเติมเคราะห์กรรมของพวกเขามากยิ่งขึ้น  ซ้ำยังเป็นการเพิ่มภาระพวกเขาซึ่งหนักอยู่แล้วให้หนักเข้าไปอีก   และยังเป็นการลอกเลียนการกระทำของพวกญาฮิลียะฮ์อีกด้วย,    มีรายงานมาว่า  ท่านญะรีรฺ (บิน อับดุลลอฮ์ อัล-บะญะลีย์) ร.ฎ.  ได้มาหาท่านอุมัรฺ (อิบนุล ค็อฏฏอบ ร.ฎ.) แล้วท่านอุมัรฺถามว่า ..  เคยมีการนิยาหะฮ์ (คร่ำครวญอย่างหนัก) ให้แก่ผู้ตายของพวกท่านบ้างไหม ? ท่านญะรีรฺก็ตอบว่า  ไม่เคย, ..   ท่านอุมัรฺก็ถามต่อไปอีกว่า ..  แล้วเคยมีการไปชุมนุมกันที่บ้าน/ครอบครัวผู้ตาย  และมีการปรุงอาหารเลี้ยงกันไหม ?   ท่านญะรีรฺตอบว่า   เคยครับ, ท่านอุมัรฺก็บอกว่า …  นั่นแหละคือการนิยาหะฮ์ (อันเป็นเรื่องต้องห้าม) ละ”


อิหม่ามอบูบักรฺ อัฏ-ฏ็อรฺฏุชีย์  (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 530)  ได้กล่าวไว้ในหนังสือ  “อัล-หะวาดิษ วัล-บิดะอฺ”  หน้า  170  ว่า …

فَأَمَّا إِذَا أَصْلَحَ أَهْلُ الْمَيِّتِ طَعَامًا وَدَعَوُاالنَّاسَ إِلَيْهِ  فَلَمْ يُنْقَلْ فِيْهِ عَنِ الْقُدَمَاءِ شَىْءٌ،   وَعِنْدِىْ أَنَّهُ بِدْعَةٌ وَمَكْرُوْهَةٌ …..

“อนึ่ง  การที่ครอบครัวผู้ตายปรุงอาหารขึ้น และเชิญชวนให้คนมากินอาหารนั้น  เรื่องนี้ ไม่ปรากฏมีรายงานมาจากประชาชนยุคก่อนๆแต่อย่างใด,   และในทัศนะของฉัน มันเป็นเรื่องบิดอะฮ์ และเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ”


ในหนังสือ  “มัตนุ คอลีล” ของนักวิชาการมัษฮับมาลิกีย์ มีกล่าวเอาไว้ว่า …

وَأَمَّا اْلإجْتِمَاعُ عَلَى طَعَامِ بَيْتِ الْمَيِّتِ  فَبِدْعَةٌ مَكْرُوْهَةٌ إِنْ لَمْ يَكُنْ فِى الْوَرَثَةِ صَغِيْرٌ،   وَإِلاَّ فَهُوَ حَرَامٌ  …..

“อนึ่ง  การไปชุมนุมกินอาหารกันที่บ้านคนตาย  ถือเป็นบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจ หากว่าในทายาทผู้ตายไม่มีเด็กเล็ก (ยังไม่บรรลุศาสนภาวะ), …   แต่ถ้า (ผู้ตาย) มี (ทายาทที่ยังเล็กอยู่)   ก็ถือว่า (การไปชุมนุมกินอาหารที่บ้านผู้ตาย) เป็นเรื่องต้องห้าม (หะรอม)”
(จากหนังสือ  “อัล-มันฮัลฯ”  อันเป็นหนังสืออธิบายสุนันของท่านอบูดาวูด  เล่มที่ 4   ส่วนที่ 8  หน้า  272)


ท่านอิบนุล ฮุมาม  ได้กล่าวในหนังสือ  “ชัรฺหุ้ล ฮิดายะฮ์”  ว่า ..

وَيُكْرَهُ اتِّخَاذُ الضِّيَافَةِ مِنْ أَهْلِ الْمَيِّتِ،   ِلأَنَّهُ مَشْرُوْعٌ فِى السُّرُوْرِ لاَ فِى الشُّرُوْرِ وَهِىَ بِدْعَةٌ مُسْتَقْبَحَةٌ….

“เป็นเรื่องน่ารังเกียจที่จะให้ครอบครัวผู้ตายเป็นฝ่ายเลี้ยงอาหาร !   เพราะการเลี้ยงอาหารนั้น เป็นบทบัญญัติในกรณีมีความสุข (เช่นตอนแต่งงาน,   ตอนมีบุตร,  เป็นต้น)  มิใช่เป็นบทบัญญัติในยามทุกข์ (เช่นตอนพ่อแม่หรือลูกเมียตาย  เป็นต้น) …. มันจึงเป็นเรื่องบิดอะฮ์ที่น่าเกลียด ……..”
(จากหนังสือ  “กัชฟุช ชุบฮาต”  ของท่านมะห์มูดหะซัน รอเบี๊ยะอฺ  หน้า 192)


ท่านอัล-กุรฏุบีย์  (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 671)  ได้กล่าวในหนังสือ  “อัต-ตัซกิเราะฮ์”  หน้า  102  ว่า …

وَمِنْهُ الطَّعَامُ الَّذِىْ يَصْنَعُهُ أَهْلُ الْمَيِّتِ الْيَوْمَ فِىْ يِوْمِ السَّابِعِ،  فَيَجْتَمِعُ لَهُ النَّاسُ،  يُرِيْدُ بِذَلِكَ الْقُرْبَةَ لِلْمَيِّتِ وَالتَّرَحُّمَ لَهُ،  وَهَذَا مُحْدَثٌ لَمْ يَكُنْ فِيْمَا تَقَدَّمَ،  وَلاَ هُوَ مِمَّا يَحْمَدُهُ الْعُلَمَاءُ،  قَالُوْا وَلَيْسَ يَنْبَغِىْ لِلْمُسْلِمِيْنَ أَنْ يَقْتَدُوْا بِأَهْلِ الْكُفْرِ  وَيَنْهَى كُلُّ إِنْسَانٍ أَهْلَهُ عَنِ الْحُضُوْرِ لِمِثْلِ هَذَا ..

وَقَالَ أَحْمَدُ بْنُ حَنْبَلٍ :  هُوَ مِنْ فِعْلِ الْجَاهِلِيَّةِ !  قِيْلَ لَهُ :  أَلَيْسَ قَدْ قَالَ النَّبِىُّ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ  ” إِصْنَعُوْا ِلآلِ جَعْفَرٍ طَعَامًا ؟   فَقَالَ  :  لَمْ يَكُوْنُوْا هُمُ اتَّخَذُوْا !   إِنَّمَا اتُّخِذَ لَهُمْ”   فَهَذَا كُلُّهُ وَاجِبٌ عَلَى الرَّجُلِ أَنْ يَمْنَعَ أَهْلَهُ مِنْهُ  وَلاَ يُرَخِّصَ لَهُمْ،   فَمَنْ أَبَاحَ ذَلِكَ ِلأََهْلِهِ فَقَدْ عَصَى اللَّـهَ عَزَّ وَجَلَّ،  وَأَعَانَهُمْ عَلَى اْلإِثْمِ وَالْعُدْوَانِ  …….

“และส่วนหนึ่งจากพฤติกรรมของพวกญาฮิลียะฮ์(พวกอนารยชนยุคก่อนอิสลาม) ก็คือ เรื่องอาหารซึ่งลูกเมียผู้ตายในสมัยปัจจุบัน ได้ปรุงขึ้นมาในวันที่ 7 (หรือวันที่ 3,  วันที่ 10,  วันที่ 40,  หรือครบ 100 วันแห่งการตาย)  ..  แล้วผู้คนก็มาชุมนุมกินอาหารนั้นโดยมีจุดประสงค์เพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตายและแสดงความเมตตาต่อผู้ตาย   นี่คือ อุตริกรรม (บิดอะฮ์) ที่ไม่เคยปรากฏในยุคที่ผ่านมา และก็มิใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่นักวิชาการยกย่องสรรเสริญแต่อย่างใด,   พวกเขา (นักวิชาการ) กล่าวว่า  ไม่สมควรอย่างยิ่งที่มุสลิมเราจะไปเลียนแบบพวกกาฟิรฺ   และสมควรที่มนุษย์ทุกคนจะต้องห้ามปรามลูกเมียของเขาจากการไปร่วมในงานประเภทนี้


นักวิชาการทั้ง 4 มัษฮับ จึงเห็นพ้องต้องกันว่า การที่ลูกเมียหรือญาติผู้ตายเป็นเจ้าภาพจัดทำอาหาร แล้วเชิญแขกมารับประทาน เพื่ออุทิศผลบุญให้ผู้ตายนั้น เป็น بِدْعَـةٌ مُنْكَرَةٌ หรือ การอุตริที่ต้องห้าม .......
( โปรดดูข้อมูลจากหนังสือ “อิอานะฮ์ อัฏ-ฏอลิบีน” อันเป็นตำราฟิกฮ์ที่นิยมอ่านและสอนกันมากในมัษฮับชาฟิอีย์, เล่มที่ 2 หน้า 145-146 )


ท่านซัยยิด บักรีย์ ก็ได้กล่าวสรุปว่า ....

وَقَدْ أَجَابَ بِنَظِيْرِهَذَيْنِ الْجَوَابَيْنِ مُفْتِى السَّادَاتِ الْمَالِكِيَّةِ وَمُفْتِى السَّادَاتِ الْحَنَابِلَةِ
“และประธานฝ่ายตอบปัญหาของมัษฮับมาลิกีย์ และประธานฝ่ายตอบปัญหาของมัษฮับหัมบาลีย์ ก็ได้ให้คำตอบ (ในเรื่องเดียวกันนี้) คล้ายคลึงกับ 2 คำตอบข้างต้นของมัษฮับชาฟิอีย์และมัษฮับหะนะฟีย์ (ที่ผ่านมาแล้ว).....”
(จากหนังสือ “อิอานะฮ์ อัฎ-ฎอลิบีน” เล่มที่ 2 หน้า 135)


จึงไม่พบคำสอนหรือทัศนะบรรดาอิหม่ามในมัซฮับต่างๆ และบรรดานักวิชาการท่านอื่นๆ ที่ส่งเสริมให้กระทำเช่นนั้น ยกเว้นท่านอิบนุ กุดามะฮฺ ที่มีทัศนะว่า “ถ้ามีความจำเป็นในเรื่องดังกล่าวก้อนุญาต เพราะบางทีผู้มาร่วมงานศพ มาจากต่างหมู่บ้านหรือสถานที่ไกลๆ และค้างคืน ณ ที่พวกเขา พวกเขาไม่มีทางเลี่ยงนอกจากต้องรับรองเขาในบานะแขก”(หนังสือฟิกฮุสสุนะฮฺ เล่ม 1 หน้า 508)


















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น