อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อิสลามคือศาสนาแรก และมนุษย์คนแรกศรัทธา




ชาย-หญิง หลายคนเข้ารับอิสลามเพราะคนรักเป็นมุสลิม..
ด้วยเหตุผลนาๆประการตัวอย่างชัดๆ เช่น
-สตรีมุสลิม แต่งตัวเรียบร้อย(ไม่โชวรูปลักษย์จนตัวเองไร้ค่า)
-สตรีมุสลิม คลุมฮิญาบปิดเส้นผม(เก็บไว้ให้คนรักเพียงคนเดียว)
#เพียงสองประการนี้ก็มีค่ามากแล้ว..แต่ทุกประการก็ทำเพื่ออัลลอฮฺยึดมั่นอย่างมั่นคงในอัลลอฮฺเป็นพระเจ้าองค์เดียว#

บุรุษมุสลิม ไม่มองหญิงนุ่งน้อยห่มน้อย(เก็บสายตาไว้มองสิ่งที่ฮะล้าล(อนุมัติ)คือมองคนที่แต่งงานแล้วเท่านั้น)
บุรุษมุสลิม ไม่ดื่มเหล้า,ไม่เล่นการพนัน,ไม่เจ้าชู้,(ไม่ทำชั่วเพราะรู้ว่าอัลลอฮฺมีจริงแล้วอัลลอฮฺจะลงโทษไม่โลกนี้ก็ในนรกก่อนได้เข้าสวรรค์)
#และอีกหลายๆอย่างที่นำมาเสนอยังไม่ครบถ้วน#

"สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจของศาสนาอิสลาม"มีอีกเยอะ

อีกอย่างที่อยากเสนอคือมุสลิมกว่า1,500ล้านคนทั่วโลกเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวที่มองไม่เห็น..เพราะแท้จริงเกินสติปัญญาของมนุษย์ธรรมดาแน่นอน 1,500เยอะไหม เยอะแน่นอนแต่เป็นเพราะความเชื่อในอัลลอฮฺ

เคยสงสัยบ้างไหมว่าเป็นเพราะอะไรว่ามีคนศรัทธามั่นอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเยอะมากทั้งๆที่ไม่เห็นพระเจ้า-และยังไม่ต้องสร้างรูปปั้นขึ้นมาแทนด้วย...

มหัศจรรย์ใช่ไหม...

ประโยค"ลาอิลาฮะอิ้ลลัลลอฮ"
แปลว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดยกเว้นอัลลอฮฺ ใช้มาตั้งแต่นบีอาดัม (อลัยฮิสลาม) มนุษย์คนแรกมาจนถึงทุกวันนี้

มหัศจรรย์ใช่ไหม...

เด็กอายุน้อยๆ..ไม่ถึงสิบขวบได้อ่านคำตรัสของพระเจ้า...

มหัสจรรย์ใช่ไหม

และมุสลิมรู้ถึงสาเหตุที่ ศาสนาที่2,3,4,5 ~~เกินขึ้นมาใหม่ว่าส่วนใหญ่เป็นเพราะอะไร

มหัสจรรย์ใช่ไหม

นบีมูฮัมหมัด(ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)ท่านเป็นผู้อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แน่นอนคือท่านไม่สามารถแต่ง อัลกุรอาน ขึ้นมาได้เอง


وَإنْ كُنْتُمْ فِي رَيْبٍ مِّمَّا نَزَّلْنَا عَلَى عَبْدِنَا فَأْتُوا بِسُوْرَةٍ مِّن مِّثْلِهِ وَادْعُوا شُهَدَاءَكُمْ مِّنْ دُوْنِ اللهِ إنْ كُنْتُمْ صَادِقِيْنَ 

"และหากพวกเจ้าอยู่ในความสงสัย จากสิ่งที่เราได้ประทานให้แก่บ่าวของเรา ดังนั้นจงนำมาสักบทหนึ่งให้เหมือนกัน และจงเรียกร้องประจักษ์พยานในหมู่พวกเจ้านอกจากอัลลอฮ์ หากพวกเจ้าเป็นผู้สัจจริง"

พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงประทานอัลกุรอานให้แก่ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่มาจากอัลลอฮ์ ที่ไม่มีผู้ใดสามารถเลียนแบบได้ ทั้งนี้ เพื่อยืนยันในการเป็นศาสนทูตของท่านนบีมูฮัมหมัด

พระองค์ได้ทรงกล่าวท้าทายไว้ในอายะห์นี้ว่า “และหากพวกเจ้าอยู่ในความสงสัยจากสิ่งที่ถูกประทานให้แก่บ่าวของเรา” หมายถึงสงสัยในอัลกุรอานที่ประทานให้แก่นบีมูฮัมหมัดว่าจะไม่ได้มาจากอัลลอฮ์จริง ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดก็ตาม
เป็นที่ทราบกันดีว่า ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม นั้นเป็นผู้ที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงยืนยันไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า

هُوَ الَّذِي بَعَثَ فِي الأُمِّيِيْنَ رَسُوْلاً مِّنْهُمْ 

“พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งศาสนทูตในกลุ่มคนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่เป็นจากพวกเขา” ซูเราะห์อัลญุมุอะห์ อายะห์ที่ 2


ดังนั้นการที่ผู้ใดจะกล่าวอ้างว่า ท่านนบีมูฮัมหมัดได้แต่งอัลกรุอานขึ้นเอง หรือได้อ่านหรือคัดลอกมาจากตำราเล่มใด จึงเป็นคำกล่าวหาที่เลื่อนลอย
และหากคนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่เป็นอย่างมูฮัมหมัดกระทำได้จริงตามที่กล่าวหา ดังนั้นผู้อื่นก็ย่อมกระทำได้และย่อมทำได้ดีกว่า โดยเฉพาะในปัจจุบัน มีคนที่อ่านออกเขียนได้ อีกทั้งมีความรู้,ความชำนาญในศาสตร์อื่นๆมากมาย

เมื่อคนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่เป็นชื่อมูฮัมหมัด เพียงคนเดียว ได้นำมาทั้งหมด 114 บท พระองค์อัลลอฮ์ทรงท้าทายว่า “ดังนั้นจงนำมาสักบทหนึ่ง” คือให้ผู้ที่สงสัยหรือผู้กล่าวหา นำมาแค่เพียงบทเดียว ไม่ว่าจะเป็นบทที่สั้นหรือยาวก็ได้ อีกทั้งให้ระดมผู้คนมาช่วยกันกระทำการเยี่ยงนี้โดยไม่จำกัดจำนวน โดยพระองค์กล่าวว่า “และจงเรียกร้องประจักษ์พยานในหมู่พวกเจ้า” คำว่า “ประจักษ์พยาน” ในที่นี้

ท่านอิบนิ อับบาส อธิบายว่า คือผู้ให้ความช่วยเหลือในหมู่พวกเจ้า
อัสซุดดีย์ ได้กล่าวว่า จาก อบี มาลิก ให้ความหมายว่า หุ้นส่วนหรือผู้ร่วมขบวนการของพวกเจ้า
มุญาฮิด กล่าวว่า (และจงเรียกร้องประจักษ์พยานในหมู่พวกเจ้า) หมายถึง รวบรวมผู้คนให้เป็นประจักษ์พยานในเรื่องนี้

และพระองค์อัลลอฮ์ทรงท้าทายในท้ายอายะห์นี้ว่า “หากพวกเจ้าเป็นผู้สัจจริง” คือผู้สัจจริงย่อมกระทำได้ มิใช่เป็นผู้กล่าวหาผู้อื่นอย่างเลื่อนลอย แต่ปรากฏว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่ปรากฏว่าคนทั้งโลกผู้สัจจริงในกรณีนี้แม้แต่คนเดียว ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์อัลลอฮ์ ยังกล่าวอีกว่า

قُلْ لَئِنِ اجْتَمَعَتِ الإنْسُ وَالْجِنُّ عَلَى أنْ يَأْتُوا بِمِثْلِ هَذَا الْقُرْآنِ لاَ يَأْتُوْنَ بِمِثْلِهِ وَلَوْكاَنَ بَعْضُهُمْ لِبَعْضٍ ظَهِيْراً


“ประกาศเถิดมูฮัมหมัด หากว่ามนุษย์และญินร่วมกันในการนำมาเช่นเดียวกับอัลกุรอานนี้ พวกเขาไม่สามารถนำมาเช่นเดียวกันได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาต่างเป็นผู้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันก็ตาม” ซูเราะห์ อัลอิสรออ์ อายะห์ที่ 88

อิสลามมหัศจรรย์ใช่ไหม....คนที่ได้สำผัสด้วยการเข้ารับอย่างศรัทธามั่นจากใจอย่างแท้จริง....เขาคือชาวสวรรค์


والله أعلم بالصواب


♥ Amazing of islam ♥

ข้อมูลจาก
http://www.fareedfendy.com/tafseer/al_baqarah/23.php


✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น