อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เมื่ออิสลามไม่ได้บังคับนับถือศาสนาจะเผยแพร่ด้วยดาบได้ไง



หลักเกณฑ์พื้นฐานที่กำหนดในคัมภีร์อัลกุรอาน คือ สิทธิ์เสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนา ดังปรากฏในอัลกุรอานซูเราะฮ์ อัลบะเกาะเราะฮ์ โองการที่ 259 ความว่า

"ไม่มีการบังคับใดๆ(ให้นับถือ)ในศาสนาอิสลาม"

         ศาสนาอิสลามได้เน้นการนับถือศาสนาว่าเป็นเรื่องของเสรีภาพของมนุษย์ที่มีความศรัทธาอย่างไร เรื่องนี้มีปรากฏอยู่ในอัลกุรอาน ซูเราะฮ์ อัลกาห์ฟี โองการที่ 29  ความว่า

"สัจธรรมนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้าของพวกเจ้าดังนั้นผู้ใดประสงค์ก็จงศรัทธา และผู้ใดประสงค์ก็จงปฏิเสธ"

          อัลกุรอานได้กล่าวว่าศาสดามุฮัมมัดเป็นศาสนฑูต  มีหน้าที่เผยแผ่ข่าวสารของพระผู้เป็นเจ้า แต่มิได้รับมอบหมายให้บังคับมนุษย์ให้นับถือศาสนาอิสลาม ดังปรากฏใน ซูเราะฮ์ ยูนุส โองการที่ 99 ความว่า

"เจ้าจะบังคับมวลชนจนกว่าพวกเขาจะเป็นผู้ศรัทธากระนั้นหรือ"

และในซูเราะฮ์ อัลฆอชิยะห์ โองการที่ 22  ความว่า

"เจ้ามิใช่ผู้มีอำนาจเหนือพวกเขา "

และในซูเราะฮ์ อัลชูรออ์ โองการที่ 48  ความว่า

"แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ (ไม่ยอมรับการเรียกร้อง)ดังนั้นเรามิได้ส่งเจ้ามายังพวกเขาเพื่อเป็นผู้คุ้มกันรักษา"

         โดยโองการดังกล่าวเหล่านั้นได้บัญญัติไว้อ่างชัดเจนว่า อัลกุรอานไม่มีการบังคับให้มีการนับถือศาสนาอิสลาม

         อิสลามได้กำหนดพิธีการต่างๆให้มุสลิมจะต้องปฏิบัติตาม หากประสงค์ที่จะเผยแพร่ศาสนาอิสลาม วิธีการดังกล่าวนี้มีปรากฏอยู่ในอัลกุรอานซึ่งบัญญัติให้การเผยแพร่ศาสนาอิสลาม เป็นไปด้วยความเฉลียวฉลาด และการบอกกล่าวที่น่ารับฟัง ดังปรากฏในอัลกุรอาน ซูเราะฮ์ อัลนะห์ โองการ 125 ความว่า

"จงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระเจ้าของเจ้า โดยสุขุมและการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า"

และในซูเราะฮ์ อัลบะเกาะเราะฮ์ โองการที่ 83 ความว่า

"และจงพูดจาแก่เพื่อนมนุษย์อย่างดี"

         อัลกุรอานมีวรรคตอน (อายะฮ์) ไม่น้อยกว่า 120 วรรคตอน ที่ได้เน้นถึงบทบาทพื้นฐานสำหรับมุสลิมที่จะชักจูงให้ผู้คนนับถือศาสนาอิสลาม โดยการชักชวนยังนุ่มนวล และสุขุม และปล่อยให้ผู้ที่ถูกชักชวนตัดสินเองว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธ หลังจากที่ศาสดามุฮัมมัด ได้ยึดครองมักกะฮ์ ท่านได้กล่าวแก่ชาวเมืองมักกะฮ์ว่า "ท่านมีเสรีภาพแล้ว" และท่านก็ไม่ได้บังคับให้พวกเขารับอิสลาม

         มุสลิมไม่เคยบังคับให้ผู้ที่นับถือศาสนายิว หรือคริสต์ยอมรับนับถือในศสนาอิสลาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านอุมัร อิบนุคอตตอบ รอฏิยัลลอฮุอันฮุ ผู้เป็นคอรีฟะฮ์ที่สอง ได้ให้หลักประกันแก่ชาวคริสต์ในนครเยรูซาเล็มที่จะใช้ชีวิตของตนเองได้อย่างมั่นคง โดยมีศาสนสถานไม้กางเขน และจะไม่คุกคามสิทธิใดๆทางศาสนาของเขา

        ภายหลังจากศาสดามุฮัมมัด  อพยพไปยังนครมะดีนะฮ์แล้ว ได้บัญญัติในธรรมนูญการปกครองฉบับแรกว่าชาวยิวเป็นชาติที่อยู่ร่วมกับชาวมุสลิมในประชาคมเดียวกัน โดยท่านศาสดาได้ให้สิทธิแก่ชาวยิวที่จะปฏิบัติศาสนกิจของตนได้อย่างอิสระ

          ในหนังสือเรื่อง "Allah ist ganz anders" ( อัลลอฮ์ทรงเป็นอย่างอื่นโดยสิ้นเชิง) นาง Sigrid Hunke  นักบูรพาคดีชาวเยอรมันได้ปฏิเสธว่าอิสลามเผยแพร่ด้วยคมดาบ และได้เขียนบทความไว้ว่า "การมีขันติธรรมของชาวอาหรับ มีบทบาทสำคัญต่อการเผยแผ่ของศาสนาอิสลาม" ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดต่อข้อกล่าวหาว่า ศาสนาอิสลามได้เผยแผ่ด้วยไฟและคมดาบ ในข้อความอีกตอนหนึ่งของหนังสือดังกล่าว นางได้เขียนว่า "ชาวคริสต์และยิว ได้เปลี่ยนศาสนาของตนด้วยความสมัครใจ"

         เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า กองทหารมุสลิมไม่เคยบุกรุกและยึดครองเอเซียใต้หรือแอฟริกาตะวันตก แต่ศาสนาอิสลามได้ขยายและงอกงามในประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเหล่านั้น หลังจากที่พ่อค้าชาวมุสลิมได้เดินทางไปค้าขาย พวกมุสลิมซึ่งมีจิตใจใฝ่สันติได้สร้างความประทับใจให้แก่พลเมืองในประเทศดังกล่าว โดยประชาชนของประเทศที่อยู่ห่างไกลเหล่านั้น ได้สังเกตเห็นการกระทำ ความมีศีลธรรมตลอดจนพฤติกรรมของชาวมุสลิมจึงค่อยๆ ยอมรับนับถือศาสนาอิสลามในที่สุด

ศาสตราจารย์ ดร. มะห์มูด ฮัมดี ซักซูก

د. محمود حمدي زقزوق

1 ความคิดเห็น: