ผู้ที่พูดว่าสิ่งใดหะรอมหรือหะล้าลต้องตกศาสนา

หะรอม หะล้าล

หลักการของผู้ที่พูดว่า สิ่งนั้นหะรอม หรือสิ่งใดหะล้าล แล้วผู้พูดต้องตกศาสนาหรือตกมุรฺตัดนั้น หมายถึง
สิ่งหะรอมหรือสิ่งหะล้าลนั้น เป็นสิ่งหะรอมหรือหะล้าล "โดยมติเอกฉันท์" (อิจญมาอฺ) ของนักวิชาการ แต่ไม่ใช่สิ่งหะรอมหรือหะล้าลที่เป็นปัญหาขัดแย้งกันอยู่

ท่านเชคซัยยิด บักรียฺ ได้อธิบายไว้ในหนังสือ "อิอานะฮฺ อัฏ-ฏอลิบีน" เล่มที่ 4 หน้า 135 ว่า "คำพูดที่ว่าและคัดค้านสิ่งซึ่งเป็นมติเอกฉันท์) คือ (สาเหตุแห่งการตกมุรฺตัดนั้น) ได้แก่การคัดค้านสิ่งซึ่งนักวิชาการมีมติเป็นเอกแันท์แล้วว่า ได้ (หะล้าล) หรือ ไม่ได้ (หะรอม) ดังนั้นที่ถูกจัดเข้าอยู่ในคำพูดดังกล่าวนี้ก็คือ (การคัดค้าน) ทั้งหมดของสิ่งวาญิบที่เป็นเอกฉันท์ และทั้งหมดของหะรอมที่เป็นมติเอกฉันท์..."


ท่านซัยยิด ซาบิก ได้กล่าวไว้ในหนังสือ "ฟิกฮุส ซุนนะฮฺ" เล่มที่ 2 หน้า 384 ว่า ...และบางส่วนจากตัวอย่างที่แสดงถึงความเป็นกาฟิรฺนั้น ได้แก่

-การพูดหรือยึดถือว่าอนุญาต(คือถือว่าหะล้าล) ในสิ่งซึ่งบรรดามุสลิมมีมติเอกฉันท์แล้วว่าหะรอม เช่น พูดหรือถือว่าอนุญาตให้ดื่มเหล่าได้ , ผิดประเวณีได้ , รับดอกเบี้ยได้ , บริโภคเนื้อสุกรได้ , หรืออนุญาตให้ล่วงละเมิดได้ในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ที่ได้รับการคุ้มครองตามหลักสาสนาแล้ว เป็นต้น

-การห้าม (คือถือว่าหะรอม) ในสิ่งซึ่งบรรดามุสลิม มีมติเอกฉันท์แล้วว่า หะล้าล อย่างเช่น การห้าม(บริโภค) สิ่งดีๆทั้งหลาย (เช่น กล่าวว่า การบริโภคเนื้อวัว , ควาย , แพะ , แกะ เป็นสิ่งหะรอม เป็นต้น)

!!!แต่สำหรับการพูดว่าสิ่งใดเป็นหะรอมหรือหะล้าล  ในปัญหาศาสนาที่ยังมีการขัดแย้งกันอยู่ มิใช้เป็นมติเอกฉันท์ของนักวิชาการ การพูดดังกล่าว ก็ไม่ตกมุรฺตัด เช่นการพูดว่า "การอ่านอัลกุรอานให้แก่ผู้ตาย" การกินเลี้ยงบุญบ้านคนตาย" ว่าเป็นสิ่งต้องห้าม ไม่ถือว่าผู้นั้นตกมุรฺตัด เพราะเป็นปัญหาศาสนาที่มีความขัดแย้งกันอยู่

แต่สำหรับผู้ที่กล่าวหาผู้ที่กล่าวว่า การอ่านอัลกุรอาน หรือกินบุญบ้านคนตายเป็นสิ่งต้องห้าม เป็นอุตริกรรมขึ้นใหม่ในศาสนา ว่าเป็นเป็นกาเฟรฺ ผู้นั้นก็จะกลายเป็นผู้ตกมุรฺตัดเสียเอง จำต้องกล่าวปฏิญาณใหม่

ดั่งหะดิษที่ รายงานจากท่านอับดุบดุลลอฮฺ อิบนุ อุมัรฺ ร่อฎีญัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

"เมื่อบุคคลใดได้กล่าวหาพี่น้อง(มุสลิม)ของเขาว่า เป็นกาเฟรฺ คำกล่าวหา(ว่าเป็นกาเฟรฺ)นั้น ก็จะกลับไปหาคนใดคนหนึ่งจาก 2 คนนั้น"(บันทึกหะดิษโดยมุสลิม หะดิษเลขที่ 111/60)

 والله أعلم