ให้ความขัดแย้งเรื่องบิดอะฮฺสลายไปกับพี่น้องมุสลิม |
ผู้ถูกตักเตือนว่าทำบิดอะฮฺควรจะเข้าใจว่าผู้ตักเตือนเขามีเจตนาดี
ผู้ที่ตักเตือนว่าทำบิดอะฮฺ ควรจะเข้าใจด้วยว่า ผู้ที่ตักเตือนเราเขามีเจตนาดีต่อเรา และเป็นการปฏิบัติที่มุสลิมที่ดีของเขาตามคำสั่งของพระองค์อัลลอฮฺ ที่ให้มุสลิมทุกคน ต้องยับยั้งมุงกัรฺหรือเรื่องต้องห้ามตามความสามารถ (แม้จะเป็นมุมมองของเขาที่แตกต่างกับเราก็ตาม) ดังนั้น จึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้องที่เราจะไปออกอาการโมโหโกรธา โกรธเคืองหรือแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้หวังดีต่อเราและทำหน้าที่มุสลิมที่ดีของเขา เพราะพฤติกรรมดังกล่าวไม่ว่าเราจะเป็นชาวบ้านธรรมดา หรือผู้รู้ย่อมส่อให้เห็นว่า เราเป็นคนอวดดี เจ้าอารมณ์ ไร้เหตุผลและความคิดคับแคบในเรื่องศาสนาโดยเฉพาะปัญหาขัดแย้ง และในความเป็นจริงถ้าหากจะพูดกันอย่างใจเป็นธรรมแล้ว ทุกเรื่องที่ถูกกล่าวว่า "เป็นบิดอะฮฺ" และมุมมองที่ขัดแย้งกันนั้น ผู้ที่กำลังปฏบัติสิ่งนั้นอยู่ก็คือผู้ที่ตกอยู่ในสถานะการณ์ที่ "ล่อแหลมและเสี่ยง" ต่อความผิดพลาด มากกว่าอีกฝ่ายหนึ่งถึง 3 เท่านตัว ทั้งนี้ เพราะข้อขัดแย้งทุกเรื่องในปัญหาบิดอะฮ์ ย่อมวนเวียนอยู่ในประเด็นที่ว่า สิ่งนั้นเป็นบิดอะฮฺดีหรือบิดอะฮฺเลว ซึ่งความหมายก็คือ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า สิ่งนั้นเป็นบิดอะฮฺ แต่มาขัดแย้งกันในประเด็นที่ว่า มัน "ดี" หรือ "เลว" เท่านั้น
เมื่อทั้งสองฝ่ายยอมรับและเห็นพ้องกันว่าเรื่องที่กำลังขัดแย้งกันนั้น เป็นบิดอะฮฺ หากจะเปรียบเทียบกันในเชิงคณิตศาสตร์ ก็เท่ากับว่าฝ่ายที่ปฏิบัติหรือถือว่าสิ่งนั้นเป็นบิดอะฮฺดี เสียเปรียบไปแล้วครึ่งหนึ่ง เพราะท่านรสูลุลลอฮฺศ็อลลัลฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าว(ซึ่งคล้ายกับเป็นการ "ให้น้ำหนัก" ฝ่ายที่เตือน) ไว้ว่า "ทุกๆบิดอะฮฺ คือ ความหลงผิด (เลว)" ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง หรือ 50 %ที่เหลือ คือความขัดแย้งที่ว่า สิ่งนั้นเป็นบิดอะฮฺดี ดังความเข้าใจของเรา หรือบิดะฮฺหลงผิด(เลว , ฎอลาละฮฺ) ดังคำเตือนของเขา ข้อนี้เราก็มีความหวังแค่ 25 % เป็นอย่างสูง ทั้งนี้เพราะเรายังหาข้อพิสูจน์ใดๆมายืนยันให้แน่ชัดไม่ได้เลยว่า "สิ่งนั้น" เป็น "บิดอะฮฺ" ดังที่เราเข้าใจ เพราะนอกจากความเข้าใจดังกล่าวของเราจะไปค้านกับหะดิษท่านนบีแล้ว เราก็ไม่มีหลักยึดเหนี่ยวอื่นใดอีก นอกจากสายเชือกเปราะบางเพียงเส้นเดียว คือทัศนะของนักวิชาการบางท่านที่บอกว่า สิ่งนั้นเป็นบิดอะฮฺดี ซึ่งทัศนะของนักวิชาการไม่ว่านักวิชาการระดับไหนก็เป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดาซึ่งอาจจะผิดหรือถูกก็ได้ ต่างกับเขา ผู้ตักเตือนเรา ที่มีหลักฐานอันแข็งแกร่งและมั่นคงค้ำยันอยู่่นั้นคือ หะดิษของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม บทนั้นที่กล่าวว่า "ทุกๆบิดอะฮฺ คือความหลงผิด(เลว , ฎอลาละฮฺ)" และคำพูดหรือหะดิษที่ถูกต้องของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม นันย่อมปราศจากความผิดพลาดและมีน้ำหนักมากกว่าทัศนะของนัวิชาการทุกท่านแน่นอน เพราะฉะนั้นในสัดส่วนความถูกต้องที่ีอยู่ทั้ง 100 % ของความขัดแย้งในเรื่องบิดอะฮ์ดี-เลว เราที่เชื่อเรื่องบิดอะฮ์ดี มีสิทธิ์ถูกต้องอย่างมากไม่เกิน 25% เท่านั้น ส่วนอีก 75 % คือ "จุดเสี่ยง" อย่างที่กลาวมาแล้ว
ผู้ตักเตือนผู้อื่นเรื่องบิดอะฮฺต้องมีเจตนาดีและมีความบริสุทธิ์ใจ
บิดอะฮฺ |
ผู้ตักเตือนผู้อื่นเรื่องบิดอะฮฺ แม้จะมั่นใจว่่าเราพุดในเรื่องที่ถูกต้องก้ไม่สมควรใช้วาจาก้าวร้าวรุนแรงหรือใช้วิธีการประมาณอีกฝ่ายหนึ่งในการเผยแผ่ความจริง (ตามความเข้าใจของเรา) ซึ่งเราไม่มีสิทธิ์ใดๆ เลยที่จะกระทำเช่นนั้น ทว่าควรใช้ความสุภาพนิ่มนวล เจตนาดีและความบริสุทธิ์ใจเป็นที่ตั้งในการตักเตือน แทนการพูดประณามและโจมตีเพื่ควมสะใจผู้ฟังบางท่าน ทั้งนี้เพื่เป็นการปฏิบัติตามหลักการเผยแพร่ศาสนาตามแนวทางที่พระองค์ัอัลลอฮฺได้ทรงสั่งไว้นั้นคือ
"จงเรียกร้องเชิญชวนไปสู่พระผู้อภิบาลของเจ้า ด้วยวิทยาปัญญาและการตักเตือนที่ดี" (อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัน-นะหฺลฺ อายะฮิที่ 125)เหนือสิ่งอื่นใดต้องตระหนักและสำนึกในสิทธิและหน้าที่ของตนเองอยู่เสมอว่าในฐานะของนักวิชาการหรือผู้รู้นั้น
***"เรามีหน้าที่สอนคนแต่ไม่มีหน้าที่ด่าคน"***
ทำความเข้าใจสลายความขัดแย้ง |
การให้เกียรติในการใช้ดุลยพินิจและเลือกปฏิบัติ
จะต้องให้เกียรติในดุลยพินิจและความดำริชอบของผู้ปฏิบัติสิ่งที่เรามองว่าเป็นบิดอะฮฺ ขณะที่เขามองว่าไม่ใช่และจะต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า "ข้อเท้จจริงของสิ่งนี้ ส่วนมาก คือความขัดแย้งของนักวิชาการ" แล้วเราก็ไม่มีสิทธิใดๆเลยที่จะไปประณามหรือไปบังคับ "ความคิด" ผู้ใดให้ต้องคล้อยตามความเชื่อของเรา หากเมื่อเขาปฏิบัติตามมุมมองของเขาที่แตกต่างกับเราอันเป็นทัศนะของนักวิชาการอีกด้านหนึ่งก้ย่อมเป็นสิทธิอันชอบธรรมของเขาอย่างเต็มเปี่ยม ดังนั้น เมื่อเราได้ตักเตือนผู้ใดในสิ่งที่เรามองว่าเป็นบิดอะฮฺแล้ว เขายังไม่ยุติก็แสดงว่า เขาพร้อมแล้วที่จะรับผิดชอบในการกระทำของเขาทุกอย่าง ต่อพระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานาวูว่าตาอาลา ด้วยตัวของเขาเอง ไม่ว่าจะลงนรกขุมไหนก็ตาม
ต้องมั่นใจที่จะยอมรับความจริงและเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ทุกฝ่ายหากมั่นใจที่จะ "ยอมรับความจริง" ในปัญหาว่าสิ่งใดเป็นบิดอะฮฺหรือไม่ ก็ต้องกล้าหาญพอที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ด้วยการปลูกฝังความยำเกลงต่อพระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานาฮูว่าตาอาลา ให้มากขึ้น และจะต้องมีความบริสุทธิ์ใจ ในการตรวจสอบอย่างจริงจังเกี่ยวกับเรื่องนี้จากหลักฐานที่ถูกต้อง ทั้งจากอัล-กุรอาน และจากอัล-หะดิษ และจาก "กฎเกณฑ์" อันเป็นที่ยอมรับของนักวิชาการ แต่มิใช่ค้นหาจาก"ทัศนะ" ของนักวิชาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทัศนะสอดคล้องกับความต้องการเพียงฝ่ายเดียว
โดยไม่ต้องไปกังวล พะวงหรือตะขิดตะขวงใจว่า ในอดีต ตนเองเคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ถุกกล่าวหาว่าเป็นบิดอะฮฺในฐานะผู้คัดค้านหรือผู้เคยปฏิบัติหรือเคยมีความเชื่ออย่างแน่นแฟ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรมาก่อน
แต่ให้ตั้งปณิธานว่า ปัจจุบันนี้ ขณะนี้และเดี๋ยวนี้ เราพร้อมแล้วที่จะยอมรับความจริงตามหลักฐานและกฎเกณฑ์ของนักวิชาการนั้น หากปฏิบัติได้ดังที่กล่าวมานี้ อินชาอัลลอฮฺ เรื่องยากก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายไป อย่างคาดไม่ถึงก้ได้ ด้วยความเมตตาต่อพระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานาฮูว่าตาอาลา
จะอย่างไรก็ตามดังได้กล่าวมาแล้วว่าเรื่องของบิดอะฮฺเป็นเรื่องที่ "ละเอียดอ่อน" เป็นอย่างมาก ทั้งในด้านวิชาการซึ่งขัดแย้งกันมายาวนาน และทั้งในด้านผลกระทบต่อความรู้สึกอันอ่อนไหวของพี่น้องมุสลิมโดยทั่วๆไป ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ว่าผู้ซึ่งพูดหรือเขียนเกี่ยวกับเรื่องบิดอะฮฺนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถเก็บรายละเอียดของเรื่องนี้ได้อย่างถุกต้องทั้งหมดโดยปราศจากผู้โต้แย้งหรือให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้
والله ولي التوفيق والهداية
อ.ปราโมทย์ (มะหฺมูด) ศรีอุทัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น