อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อ.อาลี เสือสมิง วาทกรรม "วะฮาบีย์" และ"ชีอะฮ์"

อาจารย์อาลี เสือสมิง

อาจารย์อาลี(สันติ) เสือสมิง  ท่านสังกัดอยู่ในมัซฮับชาฟีอีท่านได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับกลุ่ม"ชีอะฮ์ การเปิดเชิกรุกและภัยคุกคามของของลัทธิชีอะฮ์ในบ้านเรา และการรับมือของวะอาบีย์กับภัยคุกคามของลัทธิชีอะฮ์เหล่านั้น ดังนี้
ความหมายและประเภทของกลุ่มชีอะฮ์
กลุ่มชีอะฮ์ในประเทศไทย
อัล-ชีอะฮ์ ตามหลักภาษาหมายถึงบรรดาผู้ให้การสนับสนุนช่วยเหลือและปฏิบัติตามบุคคลนั้นๆ และทุกๆ กลุ่มคนที่รวมกันบนเรื่องราวของพวกเขาเรียกว่า “ชีอะฮฺ” (ตะฮฺซีบฺ อัล-ลุเฆาะฮฺ ; อัล-อัซฮะรียฺ 3/61)

ชีอะฮฺของท่านมุอาวียะฮฺ อิบนุ อบีสุฟยาน (ร.ฎ.) ก็หมายถึงบรรดาผู้ที่เห็นชอบและเข้าร่วมเป็นฝ่ายของท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) และให้การสนับสนุนต่อท่าน เป็นต้น


คำว่า ชีอะฮฺ ที่ปรากฏในข้อตกลงอัต-ตะหฺกีมจึงหมายถึง พรรคพวก ผู้ให้การสนับสนุนและฝ่ายที่ร่วมด้วย ซึ่งจะเห็นว่า ฝ่ายของท่านอะลี (ร.ฎ.) ก็เรียกว่า ชีอะฮฺ ฝ่ายของท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ก็เรียกว่าชีอะฮฺ ไม่ได้เจาะจงว่าเฉพาะผู้ที่ให้การสนับสนุนอะลี (ร.ฎ.) เพียงแต่ฝ่ายเดียวที่ถูกเรียกว่า ชีอะฮฺ เพราะคำว่าชีอะฮฺ ตามหลักภาษาก็คือ พรรคพวกที่เข้าร่วมสนับสนุนและเห็นชอบกับบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดนั่นเอง

เป่าหมายอายะตุลลอฮ์ โคมัยนีย์ แห่งอิหร่าน คือชาวซุนนีย์สู่แนวทางชีอะฮ์

ต้องแยกประเภทของกลุ่มชีอะฮฺ  ซึ่งมีอยู่หลายกลุ่ม  ชีอะฮฺบางกลุ่มมีหลักการใกล้เคียงกับอะฮฺลิซซุนนะฮฺ  วัลญะมาอะฮฺ  เช่น  กลุ่มซัยดียะฮฺ  ในขณะที่บางกลุ่มเป็นภัยอย่างชัดเจน  เช่น  ชีอะฮฺบาฏินียะฮฺ  เป็นต้น  ส่วนชีอะฮฺที่แพร่หลายในบ้านเราขณะนี้  คือ  ชีอะฮฺอิมามียะฮฺ  อิซฺนาอะชะรียะฮฺ  (อิหม่าม  12)  หรือ  ชีอะฮฺญะอฺฟะรียะฮฺ  ชีอะฮฺกลุ่มนี้มีหลักความเชื่ออยู่หลายประเด็นที่แตกต่างจากอะฮฺลิซซุนนะฮฺ

ส่วนประเด็นข้อนิติศาสตร์นั้นบางส่วนก็สอดคล้องกับอะฮฺลิซซุนนะฮฺในบางมัซฮับ  ในขณะที่มีอีกหลายประเด็นที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง  อันตรายที่ดูแล้วเป็นภัยร้ายแรงสำหรับอะฮฺลิซซุนนะฮฺของชีอะฮฺกลุ่มนี้ก็คือ  ท่าทีที่มีต่อเหล่าซอฮาบะฮฺ  ซึ่งพวกชีอะฮฺมักจะกล่าวโจมตีและใส่ไคล้  เช่น  ค่อลีฟะฮฺทั้ง  3  ท่าน,  ท่านหญิงอาอิชะฮฺ  (ร.ฎ.)  และท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ  (ร.ฎ.)  เป็นต้น  รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้มีมาก  เอาเป็นว่า  สิ่งแรกที่เราจำเป็นต้องรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็คือ  แนวทางของอะฮฺลิซซุนนะฮฺ  วัลญะมาอะฮฺ  ถ้าเรามั่นคงในสิ่งนี้แล้วเราก็จะสามารถแยกแยะได้ว่าอะไรถูก  อะไรผิด


กลุ่มชีอะฮ์และภัยคุกคามต่อมุสลิมในบ้านเรา
นายซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี ผู้นำลัทธิชีอะฮ์อิมามสิบสองประจำประเทศไทย


ชีอะฮฺในบ้านเรามีอยู่หลายกลุ่มแต่กลุ่มที่มีความเคลื่อนไหวและกิจกรรมอย่างชัดเจนในการเผยแพร่ทัศนะความคิดของตนก็คือ  กลุ่มที่เรียกว่า  อิมามียะฮฺ  อิซฺนา  อะชะรียะฮฺ  (อิหม่าม  12)  หรืออีกชื่อหนึ่งก็คืออัลญะอฺฟะรียะฮฺ  กลุ่มนี้สังกัดและได้รับการสนับสนุนจากสถานทูตอิหร่านประจำประเทศไทยโดยมีศูนย์วัฒนธรรมอิหร่านเป็นองค์กรขับเคลื่อนในด้านการเขียน  แปลและผลิตตำราในแนวชีอะฮฺ  นิตยสาร  “นิสาวาไรตี้”  ก็มีบรรณาธิการที่เป็นคนในสังกัดชีอะฮฺกลุ่มนี้

นอกจากนี้ยังมีวารสารสาส์นอิสลาม  หรือ  นิตยสารเอกภาพ  ตลอดจนสำนักพิมพ์  14  พับลิเคชั่น เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการผลิตหนังสือในแนวชีอะฮฺ  ในเดือนร่อมาฎอนก็จะมีรายการของชีอะฮฺออกอากาศอีกด้วย  แต่เดิมนับแต่สมัยโบราณชีอะฮฺมามียะฮฺจะไม่มีปัญหากับชาวซุนนีย์ในประเทศไทย  ตราบเมื่อมีการปฏิวัติอิสลามโดยอายะตุลลอฮฺ  โคมัยนี่ในอิหร่าน  ท่าทีของชีอะฮฺก็เปลี่ยนไปสู่การเผยแพร่และเรียกร้องเป้าหมายซึ่งก็คือ  ชาวซุนนีย์สู่แนวทางของชีอะฮฺ  ปัญหาจึงเกิดขึ้นอย่างที่รับรู้กันอยู่

การรับมือของวะฮาบีต่อภัยคุกคามของลัทธิชีอะฮ์
กลุ่มที่รับรู้และตระหนักถึงภัยคุกคามต่อซุนนีย์ของชีอะฮ์ คือวะฮาบีย์


ซึ่งนักวิชาการและผู้รู้ในประเทศไทยยุคก่อนมิค่อยมีองค์ความรู้เกี่ยวกับชีอะฮฺมากนักและยังมองไม่เห็นภัยคุกคามในด้านหลักความเชื่อที่ฝ่ายชีอะฮฺได้กระทำต่อพี่น้องซุนนีย์  แต่กลับไปมองว่าภัยคุกคามอยู่ที่กลุ่มวะฮาบีย์ที่เผยแพร่เข้ามาและเกิดการปะทะกันทางความคิดระหว่างกลุ่มคณะใหม่-คณะเก่าและนำไปสู่ความแตกแยกในระหว่างพี่น้องมุสลิมซุนนีย์ด้วยกัน

เมื่อกาลเวลาผ่านไป  การปะทะกันทางความคิดของกลุ่มคณะทั้งสองก็ถึงจุดอิ่มตัวในระดับหนึ่ง  ถึงแม้ว่าจะมีแรงกระเพื่อมอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากและไม่รุนแรงเหมือนก่อน  เพราะไป ๆ มา ๆ พลวัตรของกลุ่มวะฮาบีย์ก็ลดลงและไหลย้อนไปเล่นงานกลุ่มของตัวเองจนแตกเป็นค่ายเป็นสถาบันต่าง ๆ อย่างที่รับรู้กัน  แต่พลวัตรของกลุ่มชีอะฮฺอิมามียะฮฺยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องโดยแพร่ขยายเข้าสู่วงการของนักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยและนักทำกิจกรรมที่นิยมชมชอบต่ออายะตุลลอฮฺโคมัยนี่และรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน


มุสลิมซุนนีย์หลายคนได้กลายเป็นชีอะฮฺและแข็งขันในการขับเคลื่อนแนวความคิดและความเชื่อของชีอะฮฺเป็นการเปิดเชิงรุกในอีกขั้นหนึ่ง  อย่างไรก็ตามกลุ่มที่รับรู้และตระหนักถึงภัยคุกคามต่อรั้วซุนนีย์แห่งสยาม  กลุ่มแรกก็คือ  นักวิชาการที่ถูกเรียกขานว่าเป็นพวกวะฮาบีย์นั่นเอง  ในขณะที่นักวิชาการซุนนีย์แบบเดิม  (คณะเก่า)  ก็ยังไม่ใส่ใจต่อภัยคุกคามนี้ต่อไป  จะมีบ้างก็ในช่วงหลัง ๆ มานี้ที่เริ่มตอบโต้และป้องปกรั้วซุนนีย์แห่งสยามนั้นแต่ก็ยังไม่เข้มข้นและจริงจังเท่ากับกลุ่มนักวิชาการที่ถูกเรียกขานว่า  วะฮาบีย์


ความจริงถ้ากลุ่มชีอะฮฺไม่ล้ำเส้นและเปิดเชิงรุกอย่างที่กระทำอยู่ในขณะนี้  มุสลิมซุนนีย์ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมโดยไม่มีความรู้อันใดเกี่ยวกับชีอะฮฺมากนัก  เรียกว่า  ต่างคนต่างอยู่  ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน  แต่บัดนี้มันเลยจุดนั้นหรือเรียกว่ามันล้ำเส้นไปแล้ว  การปะทะจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ซึ่งดูเหมือนว่าฝ่ายซุนนีย์ในบ้านเราจะเป็นฝ่ายตั้งรับเสียมากกว่า  และเผลอ ๆ จะเพลี่ยงพล้ำไปเสียด้วยซ้ำ


กลุ่มที่ถูกเรียกขานว่า  วะฮาบีย์  โดยนักวิชาการแกนนำของกลุ่มคือผู้ที่รับมือกับภัยคุกคามดังกล่าวได้ดีที่สุดในขณะนี้  อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นผู้จุดประกายและกระตุกให้ผู้คนที่ไม่ค่อยจะรับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ตื่นตัว  และเริ่มสนใจว่าอะไรเป็นอะไร  นี่คือคุณูปการที่ต้องยอมรับกัน  ส่วนอะไรจะเลวร้ายกว่ากันระหว่างกลุ่มทั้งสอง  ผมคงตอบไม่ได้  เพราะผมมิใช่ตุลาการที่จะชำระคดีความว่า  ใครเลว  ใครชั่ว  แต่สิ่งที่ผมรับรู้อยู่ทุกขณะจิตก็คือ  ผมรักในแนวทางแห่งอะฮฺลิซซุนนะฮฺ  วัลญะมาอะฮฺ  และผมก็รับไม่ได้กับการล้ำเส้นของกลุ่มชีอะฮฺหรือกลุ่มใด ๆ ก็ตาม


เมื่อมีการล้ำเส้นก็ต้องมีการปัดป้องและรักษาพื้นที่ของเราเอาไว้ตามสิทธิอันชอบธรรม  บางทีคนที่เลวที่สุดอาจจะไม่ใช่ใครเลย  นอกจากคนที่ปล่อยให้ผู้อื่นทำลายสิทธิของตนโดยไม่คิดจะปกป้องและรักษามันไว้  ทั้ง ๆ ที่สามารถกระทำได้  และอีกคนหนึ่งที่ร้ายไม่แพ้กันก็คือ  คนที่ชอบล้ำเส้นและไม่รู้ตำแหน่งที่เหมาะควรของตนว่าควรอยู่  ณ  ตรงจุดไหน  สองคนนี่แหล่ะที่มักเป็นต้นสายปลายเหตุของความเลวร้ายในทุกกรณี




ตรวจสอบทางเว็บไซต์ของอาจารย์อาลี เสือสมิงได้ คลิก 1 , 2



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น