อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทำไมมุสลิมบางท่านไม่มีการลูบหน้าหลังให้สลาม


ทำไมมุสลิมบางท่านไม่มีการลูบหน้าหลังให้สลาม


บทความต่อไปนี้นำมาจากเว็บผู้ที่สังกัดมัซฮับชาฟีอีย์โดยตรง (ท่านอาจารย์อาลี เสือสมิง(มัซฮับชาฟีอีย์) ก็กล่าวเช่นนี้เช่นกัน)

الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد..

การลูบหน้าหลังการให้สล่ามครั้งที่สองนั้น เข้าใจว่าอาศัยหลักฐานจากหะดีษที่รายงานโดยท่านอนัส อิบนุมาลิก (ร.ฎ.) ซึ่งมีใจความว่า : ปรากฏว่าท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เมื่อท่านเสร็จสิ้นการละหมาดของท่าน ท่านได้ลูบหน้าผากของท่านด้วยมือขวา แล้วกล่าวว่า :

أَشْهَدُ اَنْ لاَ إِلهَ اِلا الله الرَّحْمٰنُ الرحيمُ أللهُمَّ اذْهِبْ عَنِّى الْهَمَّ والحزنَ

ท่านอิบนุ อัซซุนนีย์ บันทึกหะดีษนี้เอาไว้ในหนังสือ “อัลเยาวฺม์ วัลลัยละฮฺ” ของท่าน (เลขที่ 110) ท่านอิหม่ามอันนะวาวีย์ (ร.ฮ.) ก็ระบุเอาไว้ในหนังสืออัลอัซฺก๊ารของท่านในหน้า 69 (อันนู๊ร อัลอิสลามียะฮฺ เบรุต)

และอิบนุ ซัมอูนในอัลอะมาลีย์ (ก๊อฟ 176/2) อีกสายรายงานหนึ่งจากท่านอนัส (ร.ฎ.) เช่นกัน โดยใช้สำนวนว่า : ปรากฏว่าท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เมื่อท่านละหมาดเสร็จ ท่านได้ลูบหน้าผากของท่านด้วยฝ่ามือขวาและลูบผ่านบนใบหน้าของท่านจนมาถึง เคราของท่าน แล้วกล่าวว่า :

بِسْمِ اللهِ الَّذِىْ لاَإِلهَ إِلاَّهُوَعَالِمُ الْغَيْبِ إلخ

ซึ่งสายรายงานนี้อบูนุอัยฺม์ รายงานเอาไว้ในอัคบ๊าร อัศบะฮาน (2/104) ในส่วนของสายรายงานแรกนั้น ท่านอัลบัซซ๊าร, อัฏฏอบรอนีย์ในอัลเอาซัฏ และอิบนุ อะดีย์ได้รายงานเอาไว้ ทั้งหมดรายงานจากท่านอนัส (ร.ฎ.)

นักวิชาการหะดีษได้วิเคราะห์สายรายงานของหะดีษข้างต้นแล้วได้สรุปว่า เป็นหะดีษที่อ่อนถึงอ่อนมาก (ฎ่ออีฟ-ฎ่ออีฟ ญิดดัน) -ดูอัลฟุตูฮาตฺ อัรร็อบฺบานียะฮฺ อะลัล อัซก๊าร อันนะวาวียะฮฺ ; ดารุ้ลฟิกริ เล่มที่ 2 หน้า 57) โดยเฉพาะในสายรายงานของหะดีษที่ 2 นั้น มีดาวุด อิบนุ อัลมิฮฺบัรฺ ปรากฏอยู่ซึ่งบุคคลผู้นี้ ท่านอิบนุ ฮิบบาน ระบุว่า กุหะดีษโดยอ้างสายรายงานถึงผู้ที่ไว้ใจได้ (ซิกอตฺ) -(ดูตัฟซีฮุชชะรีอะฮฺ อัลมัรฟูอะฮฺ ; อิบนุ อิร๊อก อัลกินานีย์ เล่มที่ 1 หน้า 59)

และในสายรายงานของหะดีษแรก ปรากฏว่ามีสลาม อัฏฎ่อวีล ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นนักกุหะดีษ (อ้างแล้ว 1/64) จากซัยดฺ อัลอัมฺมีย์ ซี่งถูกกล่าวหาว่าเป็นนักกุหะดีษเช่นกัน (อ้างแล้ว 1/62) เมื่อเป็นเช่นนี้การลูบหน้าหลังการให้สล่ามครั้งที่สอง จึงไม่มีหลักฐานส่งเสริมให้กระทำ เพราะหลักฐานที่ระบุถึงการกระทำดังกล่าวมิใช่เป็นเพียงแค่หะดีษฎ่ออีฟ (อ่อน) เท่านั้นแต่ถึงขั้นฎ่ออีฟมาก ๆ หรือเป็นหะดีษเมาฎูอฺ (หะดีษเก๊) เลยทีเดียว

จึงได้ข้อสรุปว่า ไม่มีซุนนะฮฺให้ทำการลูบหน้าหลังการให้สล่ามครั้งที่ 2 แต่อย่างใด

วัลลอฮุอะอฺลัม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น