ผู้ติดตามประวัติศาสตร์การพิชิตดินแดนของอิสลาม จะพบว่า ชาวเมืองที่อิสลามเข้าพิชิตนั้น ต่างก็รักมุสลิมอย่างมาก จนกระทั้งเลือกเอามุสลิมเป็นผู้ตัดสินแทนผู้ที่นับถือศาสนาเดียวกันกับพวกเขา
อย่าง ชาวคริสต์เมืองชาม มีหนังสือถึงท่านอบีอุบัยดะฮฺ ซึ่งอยู่ที่ค่ายทหารหนึ่งว่า
“ชาวมุสลิมทั้งหลาย พวกท่านเป็นที่รักสำหรับพวกเรายิ่งกว่าชาวโรม ถึงแม้ว่าชาวโรมจะอยู่ในศาสนาเดียวกับพวกเราก็ตาม และพวกท่านซื่อสัตย์ต่อพวกเรา สุภาพอ่อนโยน ไม่กดขี่ขมเหงพวกเรา ปกครองดูแลพวกเราเป้นอย่างดี แต่ชาวโรมนั้นคุกคามกิจการงาน และบ้านเรือนของพวกเรา...” (หนังสือ ฟุตูฮุชชาม ของท่านอัลอัซดีย์ อัลบัศรีย์ หน้า 97)
-ประชาชนเมือง ฮิมศฺ ปิดประตูเมืองไม่ยอมให้ทหารของฮิรากฺลิอูซเข้า และพวกเขาประกาศให้ชาวมุสลิมทราบว่าพวกเขาชื่นชอบที่จะอยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิมมากกว่าจะอยู่ภายใต้การกดขี่ข่มเหง และละเมิดสิทะฮิ์ของชาวโรม (หนังสือ ฟุตูฮุลบุลดาน ของท่านบะลาซิรีย์ หน้า 137)
เหตุการณ์การสู้รบสมภูมิ “อัลญิสรฺ” ในปีที่ 13 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช ฝ่ายมุสลิมเกือบจะพ่ายแพ้ เพราะถุกปิดล้อมอยู่ระหว่างแม่น้ำยูเฟรติสจากทหารเปอร์เซีย ในสถานการณ์คับขันเช่นนั้น ปรากฏว่า ผู้นำชาวคริสต์จากเผ่าฏอยอฺนำทหารเข้ามาสมทบกับท่านแม่ทับมุษันนา ซึ่งเป็นแม่ทัพฝ่ายมุสลิม และให้การสนับสนุนจนกระทั่งฝ่าวงล้อมออกมาได้
-ชาวอียิปต์ให้การต้อนรับมุสลิม เพราะพวกเขาได้รับความยุติธรรม ความใจกว้าง และการเผื่อแผ่ของชาวมุสลิม หลังจากพวกโรมได้กระทำการกดขี่พวกเขาอย่างที่สุดมาแล้ว เมื่อญิสติยาน(ชาวโรมป ได้สังหารชาวอียิปต์ 200,000 คน ที่เมืองอเล็กวานเดรีย ทำให้ชาวอียิปต์จำนวนมากต้องหลบหนีออกไปอยู่ในท้องทะเลทราย แม้แต่นักบวชที่อยู่ในโบสถ์ก็ต้องหนีออกไปด้วย และเมื่อท่านอัมรฺ อิบนุล อ๊าซ มาถึงก็ได้ให้ความปลอดภัยแก่นักบวชทั้งหลาย
-ผู้บัญชาการของท่านฆ่อลีฟะฮฺ อัลมัวอฺตะซิม (ฮ.ศ.218-237) มีคำสั่งเฆี่ยนอิมาม และมุอัซซิน เพราะทั้งสองคนร่วมกันทำลายโบสถ์ของชาวมะญูซ (บูชาไฟ) เพื่อจะนำหินไปสร้างมัสยิดแทน
-กองกำลังมุสลิมเมื่อทำหน้าที่พิชิตเมืองหนึ่งเมืองใดเสร็จแล้ว ก็จะถอนกองกำลังออกไปเพื่อพิชิตเมืองอื่นๆ แต่ทำไมชาวเมืองที่ถูกพิชิต จึงไม่หันมาเป็นศัตรูกับมุวลิม คำตอบคือ เพราะพวกเขาพบศาสนาที่ยิ่งใหญ่ พบแนวทางอันเที่ยงตรง พบจรรยามารยาทอันสูงส่ง
โทมัส อารโนลด์ กล่าวว่า “เท่าที่ชาวคริสต์ยังคงเก็บเอาความมั่งคั่งมากมาย และเสวยสุขจากความสำเร็จในช่วงยุคต้นๆแห่งอิสลามเอาไว้ได้ ก็เพราะความประเสริฐของอิสลามที่ได้ให้หลักประกันในการคุ้มครองอิสรภาพในด้านความเชื่อและการปกครองแก่พวกเขา (หนังสือ อินติชารุลฺอิสลาม หน้า 60)
การพิชิตดินแดนของกองกำลังอิสลาม จุดประสงค์อยู่ที่แผ่ขยายความเป็นธรรม แจ้งข่าวให้ผู้คนทราบเกี่ยวกับศาสนาของอัลลอฮฺ คือ อิสลาม ทุกคนที่ได้เข้ารับอิสลามคือมุสลิมฐานะเท่าเทียมกับมุสลิมคนอื่นๆ ทัดเทียมกับมุสลิมผู้ทำหน้าท่พิชิตอิสลามเป็นศาสนาของอัลลอฮฺ ผู้ใดศรัทธาเขาก็มีเกียรติและภาคภูมิใจในอิสลาม และจะปกปักษ์รักษาอิสลาม ไม่มีความแตกต่าง ระหว่างผู้เข้าอิสลามเดิมๆ หรือผู้เข้าอิสลามใหม่ ความเป็นอาหรับนั้นอยู่ที่ภาษา ไม่ใชเชื้อชาติ ผู้ใดพูดภาษาอาหรับเขาก็เป็นอาหรับ
การพิชิตดินแดนของอิสลาม ไม่ใช่การฆ่า หลั่งเลือด ไม่ฆ่าเชลย ไม่ฆ่าสตรี ไม่ฆ่าเด็ก และทาส ไม่มีการทำลายล้างพังทลายบ้านเรือน และสูงส่งเกินกว่าข้อตำหนิใดๆ ไม่มีการปล้นสะดม พร้อมกันนั้นยังมีลักษณะการปฏิบัติการอันสูงส่ง สุภาพและคงความยุติธรรม นีคือการพิชิตดินแดนของกองกำลังอิสลาม
อาดัม เมทซ์ กล่าวว่า “เป็นประเพณีตั้งแต่ยุคเริ่มแรกของอิสลามมาแล้วว่าจะไม่เรียกทาส แต่จะเรียก ชายหนุม จะไม่เรียกทาสผู้หญิงว่า ทาสี แต่จะเรียกว่า หญิงสาว และส่วนหนึ่งของผู้ที่มีความยำเกลงอัลลอฮฺ และมีจิตใจสูงส่งเขาจะต้องไม่ตบตีทาสของเขา..”
“ความยืดหยุ่น ผ่อนปรนของมุสลิม ในการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกับชาวยิว ชาวคริสต์ เป็นความผ่อนปรนที่ไม่เคยมีมาก่อนในสมัยกลาง...”
(อัลฮธฎอเราะฮฺ อัลอิสลามียะฮฺ)
والله أعلم بالصواب
ญาซากัลลาฮฺฮูค็อยร็อนค่ะ...
ตอบลบ