ตามรายงานต่างๆในหนังสือพิมพ์ภาษาอาหรับที่แปลโดยสถาบันศึกษาวิจัยตะวันออกกลางปรากฏว่าหลังจากเหตุการณ์ถล่มตึกเวิร์ลเทรดเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 มีชาวอเมริกันพากันเข้ามารับอิสลามเป็นระลอก
อะลา บัยยูมี ผู้อำนวยการกิจการอาหรับที่สภาเพื่อความสัมพันธ์อเมริกัน-อิสลาม(CAIR)ได้เขียนไว้ในหนังสือพิมพ์ “อัลฮะยาต” ในลอนดอนว่า ขณะนี้ ชาวอเมริกันที่มิใช่มุสลิมกำลังให้ความสนใจอิสลามมากขึ้น ทั้งนี้เพราะมีสัญญาณต่างๆปรากฏให้เห็น เช่นหนังสือเกี่ยวกับอิสลามและตะวันออกกลางในห้องสมุดต่างๆถูกยืมไปจนไม่เหลือ...คัมภีร์กุรอานฉบับแปลภาษาอังกฤษจัดอยู่ในรายการหนังสือขายดีที่สุดของอเมริกา
นับตั้งแต่เหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน ชาวอเมริกันได้แสดงความตั้งใจที่จะเข้ารับอิสลามเพิ่มมากขึ้น...ชาวอเมริกันที่มิใช่มุสลิมหลายพันคนได้ตอบสนองคำเชิญชวนให้มาเยี่ยมมัสญิดเหมือนกับคลื่นทะเลที่พัดเข้าชายฝั่งเป็นระลอก
นายนิฮาด อาวาด ประธานองค์การแคร์(CAIR)ได้บอกหนังสือพิมพ์ “อุกาซ”ของซาอุดิอารเบียว่า “ชาวอเมริกันประมาณ 34,000 คนได้เข้ารับอิสลามแล้วหลังจากเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน และนี่เป็นอัตราสูงที่สุดในสหรัฐนับตั้งแต่อิสลามมาถึงที่นี่”
ดร.วะลีด ฟาติฮี อาจารย์คณะแพทย์ในวิทยาลัยแพทย์ฮาวาร์ดได้กล่าวว่าเมื่อไม่นานมานี้บอสตันได้กลายเป็นศูนย์กลางของการเผยแผ่อิสลามแก่ชาวคริสเตียน ในวันที่ 22 กันยายน ค.ศ.2001 เขาได้ส่งจดหมายไปยังนิตยสารรายสัปดาห์ “อัล-อะฮ์รอม”ของอียิปต์โดยเขาได้เล่าเหตุการณ์ต่างๆนับตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน ว่า
“วันเสาร์ที่ 15 กันยายน ผมกับภรรยาและลูกๆได้ไปที่โบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในบอสตัน(โบสถ์ไตรนิตี้)ในจตุรัสคอปเลย์เพราะได้รับเชิญอย่างเป็นทางการจากสมาคมอิสลามแห่งบอสตันเพื่อนำเสนอเรื่องราวของอิสลาม ผู้ที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้นมีนายกเทศมนตรีของบอสตัน ภรรยาของเขาและคณะบดีของมหาวิทยาลัยต่างๆพร้อมกับคนอีกกว่าหนึ่งพันคนโดยมีสื่อมวลชนจากสถานีโทรทัศน์สำคัญของบอสตันมาด้วย เราได้รับการต้อนรับเหมือนทูต ผมนั่งอยู่กับภรรยาและลูกๆในแถวหน้าถัดไปก็เป็นภรรยาของนายกเทศมนตรี บาทหลวงได้กล่าวคำเทศนาปกป้องอิสลามว่าเป็นศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวและบอกผู้ฟังว่าผมเป็นตัวแทนของสมาคมอิสลามแห่งบอสตัน
หลังจากกล่าวคำเทศนา บาทหลวงผู้นั้นก็มายืนข้างผมในขณะที่ผมอ่านคำแถลงการณ์ที่ออกโดยมุสลิมผู้ทรงความรู้ทางศาสนาซึ่งประณามการโจมตีนิวยอร์ค คำแถลงการณ์ได้อธิบายจุดยืน แนวความคิดและหลักการของอิสลาม นี่คือเวลาที่ผมจะไม่มีวันลืมเพราะว่าคนทั้งโบสถ์ได้หลั่งน้ำตาออกมาเมื่อได้ยินข้อความจากคัมภีร์กุรอาน
ความรู้สึกเกิดขึ้นกับเราทุกคน คนหนึ่งได้กล่าวกับผมว่า ‘ดิฉันไม่เข้าใจภาษาอาหรับแต่ไม่สงสัยเลยว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นเป็นถ้อยคำของพระเจ้า’
เมื่อเธอจากไป คนในโบสถ์ก็น้ำตาไหล ผู้หญิงคนหนึ่งได้เอากระดาษใส่มาในมือผม บนกระดาษแผ่นนั้นเขียนว่า ‘โปรดให้อภัยสำหรับอดีตของเราและปัจจุบันของเรา นำศาสนามาให้เราต่อไปเถิด’ ชายอีกคนหนึ่งยืนอยู่ที่ทางเข้าโบสถ์ ตาของเขาเอ่อไปด้วยน้ำตาและกล่าวว่า ‘คุณก็เหมือนกับเรา ไม่ คุณดีกว่าพวกเรา’” ฟาติฮีเล่าถึงวันถัดไปที่สมาคมอิสลามแห่งบอสตันได้เชิญเขาไปยังศูนย์กลางอิสลามในแคมบริดจ์
เราคิดว่าจะมีคนไม่เกินร้อย แต่เราต้องแปลกใจเมื่อมีคนมาถึงพัน ในจำนวนคนเหล่านั้นก็มีเพื่อนบ้าน อาจารย์มหาวิทยาลัย บาทหลวงและแม้แต่บรรดาผู้นำของบาทหลวงจากโบสถ์ใกล้เคียงที่เชิญเรามาพูดเรื่องอิสลาม ทุกคนได้แสดงความสมานฉันท์กับมุสลิม เราได้รับคำถามมากมาย ทุกคนต้องการที่จะรู้จักและเข้าใจแนวความคิดของอิสลาม
ในทุกคำถาม ไม่มีแม้แต่คำถามเดียวที่โจมตีผม ในทางตรงข้าม เราได้เห็นตาของผู้คนเอ่อไปด้วยน้ำตาเมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับหลักการและคำสอนของอิสลาม หลายคนไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับอิสลามมาก่อน พวกเขาได้ยินเกี่ยวกับอิสลามจากสื่อที่อคติเท่านั้น ในวันเดียวกันนั้นเองผมได้รับเชิญไปเข้าร่วมในงานประชุมที่โบสถ์อีกแห่งหนึ่งและก็ได้เห็นภาพเดียวกัน
ในวันพฤหัส คณะนักศึกษาและอาจารย์ประมาณ 300 คนจากฮาวาร์ดได้มาเยี่ยมสมาคมอิสลามแห่งบอสตันโดยมีทูตอเมริกันประจำเวียนนาร่วมมากับคณะด้วย พวกเขานั่งบนพื้นในมัสญิด เราได้อธิบายให้พวกเขารู้ถึงเรื่องของอิสลามและคลายความสงสัยของพวกเขาทุกอย่างที่ได้ยินมาจากสื่อ อีกครั้งหนึ่งที่ผมได้อ่านคัมภีร์กุรอานพร้อมความหมายและได้เห็นพวกเขาน้ำตาซึม พวกเขาฟังด้วยความสนใจและหลายคนขอที่จะมาเข้าร่วมชั้นเรียนประจำสัปดาห์ที่ศูนย์กลางอิสลามจัดขึ้นเพื่อคนที่มิใช่มุสลิม”
ฟาติฮีกล่าวว่าเมื่อวันที่ 21 กันยายน มุสลิมได้ไปเข้าร่วมการประชุมกับผู้ว่าการของรัฐแมสซาชูเซทส์โดยได้มีการพูดถึงเรื่องที่จะนำเอาอิสลามเข้าไปบรรจุไว้ในหลักสูตรของโรงเรียน เขาอ้างว่านายเจน สวิฟท์ผู้ว่าการรัฐตกลงที่จะดำเนินการตามแผนการของพวกเขา “นี่เป็นเพียงบางตัวอย่างของสิ่งที่ได้เกิดขึ้นและกำลังเกิดขึ้นในเมืองบอสตันและในอีกหลายเมืองในช่วงเวลาดังกล่าว” ฟาติฮีได้กล่าวต่อไปว่า “การเชิญชวนสู่อิสลามมิได้ถูกขัดขวางและไม่ได้ล้าหลังไป 50 ปีดังที่เราคิดในวันแรกหลังจากเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน ในทางตรงข้าม 11 วันที่ผ่านไปเหมือนกับ 11ปีในประวัติศาสตร์ของการเชิญชวนผู้คนสู่อิสลามในนามของพระเจ้า ผมเขียนจดหมายมาถึงคุณวันนี้ด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อิสลามจะแพร่ขยายในอเมริกาและในทั่วโลกอย่างรวดเร็วยิ่งกว่ามันแพร่หลายในอดีต อินชาอัลลอฮฺ (หากพระเจ้าทรงประสงค์) เพราะว่าขณะนี้ทั้งโลกกำลังถามว่า ‘อิสลามคืออะไร ?’
.......................................
ญาซากัลลาฮฺฮูค็อยร็อนค่ะ...
ตอบลบ