อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เมื่อคัมภีร์โตราห์ของยิวให้เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์


                ไม่ทราบว่าชาวตะวันตกที่ไม่เคยย่อท้อในการใส่ร้ายป้ายสีศาสนาอิสลามว่าเป็นศาสนาที่เผยแผ่ด้วยคมดาบนั้น เคยอ่านคัมภีร์โตราห์(เตารอต ซึ่งประทานแก่ท่านนบีมูซา) ว่าด้วยสงครามหรือไม่ ถ้าหากพวกเขาอ่าน ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพวกเขาจะเข้าใจลึกซึ้งมากน้อยเพียงใด ลองพิจารณาไตร่ตรองบทบัญญัติที่ว่ีาด้วยสงครามในโตราห์(คัมภีร์เก่า) ที่บรรดามุสลิมต่างเชื่อว่ามันถูกบิดเบือนตัดทอนและเพิ่มจนไม่มีเค้าของต้นฉบับเดิมแล้ว

ในโองการที่ 20 หัวข้อบทบัญญัติที่ว่าด้วยการล้อมเมืองและเปิดประเทศที่อยู่ไกลได้กล่าวว่า

ความว่า "เมื่อใดที่ท่านทั้งหลายโจมตีเมืองใดเมืองหนึ่งจงเรียกร้องให้มีการประนีประนอม หากพวกเขาตอบรับการประนีประนอม ก็จงถือว่าประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้นได้กลายเป็นทาสของพวกท่าน แต่หากพวกเขากระด้างกระเดื่องและแข็งข้อไม่ยอมรับการประนีประนอม ท่านก็จงปิดล้อมและทำสงครามกับพวกเขา เมื่อพระเจ้าอนุมัติให้ท่านทั้งหลายมีชัยชนะเหนือพวกเขา ท่านจงเข่นฆ่าพวกเขาที่เป็นชายทั้งหมดด้วยดาบ ส่วนผู้หญิง เด็กเล็ก สัตว์เลี้ยงและทุกอย่างที่หลงเหลือในเมืองก็จงริบเป็นทรัพย์เชลยของพวกท่าน และพวกท่านจงสุขสำราญกับสัตว์เลี้ยงที่ยึดได้จากศัตรูของพวกท่านซึ่งถือเป็นของขวัญจากพระเจ้าของท่าน"

              เมื่อได้อ่านบทคำสั่งของโตราห์ที่มีต่อชาวบะนีอิสรอิลและชาวยิวที่ยึดมั่นศรัทธาในคำสอนของนบีมูซา ในเรื่องการปิดล้อมและเปิดเมืองต่างๆ ที่พวกเขาเรียกว่า เมืองห่างไกล(ไม่ใช่เมืองพันธะสัญญา) หากพลเมืองยินยอมประนีประนอมก็ให้ถือว่าพลเมืองทุกคนเป็นทาสโดยไม่มีการยกเว้น หากมีการต่อสู้และได้รับชัยชนะ พลเมืองทุกคนที่เป็นชายก็ถูกฆ่าโดยไม่มีการละเว้น เช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นแก่เฒ่าหรือเด็กเล็ก  พวกเขาไม่มีโอกาสกระทำการใดๆ ที่สามารถรักษาชีวิตของพวกเขาจากคมดาบได้ เป็นต้นว่า ยอมรับเข้าศาสนายิว หรือยอมจ่ายอัล-ญิซญะฮฺ (เงินค่าหัวเพื่อเป็นการชดเชยกับการได้รับความคุ้มครอง) หรือกระทำการอื่นใดที่สามารถรักษาชีวิตของพลเมืองที่พ่ายแพ้สงคราม แต่พระเจ้าของพวกเขากลับมีคำสั่งให้เข่นฆ่าพลเมืองอย่างสิ้นซาก โดยไม่มีการยกเว้น
ในขณะที่อัลกุรอานมีบทคำสอนในเรื่องนี้ว่า


فَإِذَا لَقِيتُمُ الَّذِينَ كَفَرُوا فَضَرْبَ الرِّقَابِ حَتَّىٰ إِذَا أَثْخَنتُمُوهُمْ فَشُدُّوا الْوَثَاقَ فَإِمَّا مَنًّا بَعْدُ وَإِمَّا فِدَاءً حَتَّىٰ تَضَعَ الْحَرْبُ أَوْزَارَهَا ذَٰلِكَ وَلَوْ يَشَاءُ اللَّهُ لَانتَصَرَ مِنْهُمْ وَلَٰكِن لِّيَبْلُوَ بَعْضَكُم بِبَعْضٍ وَالَّذِينَ قُتِلُوا فِي سَبِيلِ اللَّهِ فَلَن يُضِلَّ أَعْمَالَهُمْ ( 4 )
"และเมื่อพวกเจ้าพบบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาก็จงฆ่าเสีย(กรณีสงคราม) จนกระทั่งเมื่อพวกเจ้าปราบพวกเขาจนแพ้แล้ว ก็จงจับพวกเขาเป็นเชลยหลังจากนั้นจะปล่อยเป็นไทหรือจะเรียกเอาค่าไถ่ก็ได้ จนกระทั่งการทำสงครามได้สิ้นสุดลงด้วยการวางอาวุธ เช่นนั้นแหละ และหากอัลลอฮ.ทรงประสงค์แน่นอน พระองค์จะทรงตอบแทนการลงโทษพวกเขา แต่ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงทดสอบบางคนในหมู่พวกเจ้ากับอีกบางคน ส่วนบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าตายในทางของอัลลอฮ. พระองค์จะไม่ทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผลเป็นอันขาด"  (อัลกุรอาน สูเราะฮฺมูหัมหมัด 4)


โองการดังกล่าว บอกให้ทราบว่า คำสอนอัลกุรอานยังเปิดโอกาสให้พลเมืองที่พ่ายแพ้จากการโจมตีของชาวมุสลิมสามารถมีชีวิตได้ โดยอาจถูกจับเป็นเชลย และหลังจากนั้นพวกเขาถูกปล่อยเป็นไทหรือถูกเรียกเก็บค่าไถ่ก็ได้ตามคำตัดสินของผู้นำมุสลิม

พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า


قَاتِلُوا الَّذِينَ لَا يُؤْمِنُونَ بِاللَّهِ وَلَا بِالْيَوْمِ الْآخِرِ وَلَا يُحَرِّمُونَ مَا حَرَّمَ اللَّهُ وَرَسُولُهُ وَلَا يَدِينُونَ دِينَ الْحَقِّ مِنَ الَّذِينَ أُوتُوا الْكِتَابَ حَتَّىٰ يُعْطُوا الْجِزْيَةَ عَن يَدٍ وَهُمْ صَاغِرُونَ ( 29 )
“พวกเจ้าจงต่อสู้บรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และต่อวันปรโลก และไม่งดเว้นสิ่งที่อัลลอฮ์และร่อซูล ห้ามไว้ และไม่ปฏิบัติตามศาสนาแห่งความสัจจะ อันได้แก่บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ จนกว่าพวกเขาจะจ่ายอัล-ญิซยะฮ์ จากมือของพวกเขา เอง ในสภาพที่พวกเขาเป็นผู้ต่ำต้อย"
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัต-เตาบะฮฺ 9:29)

              อิสลามจึงให้โอกาสแก่พวกเขาเพื่อแลกเปลี่ยนจากการถูกฆ่าด้วยการที่ให้พวกเขายอมจ่ายอัล-ญิซยะฮฺ ซึ่งถือเป็นค่าที่มีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับการคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขา

บทบัญญัติของดตราห์ที่ว่าด้วยการปิดล้อมและเปิดเมืองแห่งพันธะสัญญา

คัมภีร์โตราห์ได้สั่งสอนให้ชาวยิวปฏิบัติต่อพลเมืองที่อยู่ในเมืองแห่งพันธะสัญญาว่า

ความว่า "หากเป็นพลเมืองอื่นที่อยู่ในเมืองแห่งพันธะสัญญาที่ถือเป็นมรดกของพระเจ้าที่มอบไว้ให้แก่พวกท่านแล้ว ท่านจงอย่าให้พวกเขาหลงเหลืออยู่เลย จงเข่นฆ่าพวกเขาให้สิ้น ท่านจงอย่าให้พวกเขาหลงเหลืออยู่เลย จงเข่นฆ่าพวกเขาให้สิ้นซาก โดยเฉพาะพลเมืองที่อาศัยอยู่ใน 6 เมืองหลักในบริเวณนครเยรูซาเล็มตามที่พระเจ้าได้สั่งสอนท่านไว้ ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสไม่ให้พวกเขาเผยแพร่คำสอนอันชั่วร้ายของพวกเขาแก่พวกท่านทั้งหลาย"

พลเมืองที่อาศัยอยู่ใน 6 ตัวเมืองดังกล่าว ต้องได้รับการลงโทษด้วยวิธีปลิดชีวิตสถานเดียว พวกเขาไม่มีโอกาสถูกเชิญชวนให้นับถือศาสนาของฝ่ายที่ประสบชัยชนะจากสงคราม หรือมีการประนีประนอมหยุดสงคราม ไม่มีหนทางอื่นเลยเว้นแต่คมดาบเท่านั้น พลเมืองเหล่านี้ต้องได้รับการลงโทษด้วยวาทกรรมแห่งกาฆ่าเผ่าพันธุ์ ทั้งๆที่พวกเขาไม่ได้มีความผิดอะไร เว้นแต่เข้าพำนักในแผ่นดินแห่งพันธะสัญญาเท่านั้น

นักปราชญ์ยิวที่ไห้การอรรถาธิบายคัมภีร์โตราห์ในเรื่องดังกล่าวได้อธิบายว่า
ความว่า "แท้จริงการที่พระผู้เป็นเจ้าสั่งให้ฆ่าพลเมืองที่ไม่ใช่ยิวที่อาศัยในเมืองดังกล่าว ก็เพราะเป็นการป้องกันชาวยิวไม่ให้ถูกบังคับให้เคารพภัคดีต่อบรรดาเจว็ดต่างๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วชาวยิวก็หาได้เข่นฆาพลเมืองที่ชั่วร้ายอย่างสิ้นซาก ตามคำบัญชาของอัลลอฮฺแต่อย่างใดไม่ ด้วยเหตุนี้บรรดาพลเมืองจึงจำต้องเผชิญกับการทำร้ายจากชาวยิวอย่างต่อเนื่อง  ทั้งการถูกฆ่าหรือทำลายทรพย์สินอย่างมากมาย  ซึ่งหากก่อนหน้านี้ชาวยิวได้ปฏิบัติคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าอย่างเคร่งครัด (โดยการเข่นฆ่าพวกเขาให้สิ้นซาก) บรรดาพลเมืองคงไม่ต้องประสบชะตากรรมเช่นปัจจุบัน"

               นักปราชญ์ชาวยิวได้เห็นชอบวาทกรรมแห่งการเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ปรากฏในคัมภีร์โตราห์ และพวกเขายังได้แสดงความเสียใจที่บรรดาพลเมืองยังเล็ดรอดจากความอำมหิตของดาบชาวยิว

              จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่ชาวยุโรปได้กระทำการต่อชาวอเมริกาใต้ช่วงการค้นพบดินแดนใหม่ๆ พวกเขาได้ปฏิบัติการเข่นฆ่าชาวอินเดียนแดง ซึ่งเป็นเผ่าพัีนธุ์ดั้งเดิมอย่างถอนรากถอนโคน เช่นเดียวกับชาวอังกฤษที่ได้ปฏิบัติต่อชาวพื้นเมืองออสเตรเลีย

              และมุสลิมรวมถึงคนทั่วโลกได้เห็นด้วยดวงตาเองแล้ว เกี่ยวกับความโหดร้าย ป่าเถื่อนของชาวยิวที่กระทำต่อชาวปาเลสไตน์ผู้บริสุทธิ์ พวกเขาได้ปฏิบัติการอันน่าสยดสยองต่อเพื่อนมนุษย์โดยไม่คำนึงถึงลูกเด็กเล็กแดง คนแก่คนชรา สตรี หรือประชาชนผู้หมดทางสู้

แท้จริงแล้วชาวยิวกำลังน้อมรับปฏิบัติตามคำสอนที่อยู่ในคัมีร์โตราห์ ที่กล่าวว่า

ความว่า "จงอย่าให้บรรดาพลเมืองในดินแดนแห่งพันธะสัญญามีชีวิตอยู่แม้แต่คนเดียว"

นี้คือคำสอนของคัมภีร์โตราห์ และนี้คือคำสอนของพระเจ้าของมูซา (โมเสส) และสาวกของเขา ซึ่งอิสลามเชื่อว่าถูกตัดต่อ เพิ่มเติมหรือสังคายนาจนไม่เหลือเค้าโครงของคัมภีร์โตราห์ฉบับเดิม....!!!



والله أعلم بالصواب

✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น