อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ญะฮฺมียะฮฺ




ชัยคุลอิสลาม อิบนิตัยมียะฮฺ ได้กล่าวว่า

“ ท่านยะห์ยา บิน อัมมาร เคยกล่าวว่า: ‘ พวกมุอฺตะซีละฮฺถือว่าเป็นญะฮฺมียะฮฺเพศผู้

ในขณะที่พวกอะชาอิเราะฮฺนั้นถือว่าเป็นญะฮฺมียะฮฺเพศหญิง’

 ข้อความที่กล่าวมานี้หมายความว่า พวกอะชาอิเราะฮฺที่ปฎิเสธคุณลักษณะ (ซิฟัต)ของอัลลอฮฺ
ที่ถูกรายงานเอาไว้ในตัวบทหลักฐาน

แต่สำหรับพวกอะชาอิเราะฮฺที่ยึดถือในสิ่งที่ถูกกล่าวเอาไว้ในหนังสือ “ อัล-อิบานะฮฺ” และไม่แสดงสิ่งใดที่จะเป็นการขัดแย้งกับสิ่งที่หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวไว้

 เช่นนั้นถือว่าใครที่ยึดถือแบบนี้ก็จะถือว่าเขาถูกนับเป็นอะฮฺลิซซุนนะฮฺ
หนังสืออัล-อิบานะฮฺนั้นถูกเขียนโดยอบูฮะซันอัล-อัชอารีย์ในช่วงท้ายชีวิตของท่าน

 แต่อย่างไรก็ตามแม้แต่เพียงแค่การที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นอะชาอิเราะฮฺถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นบิดอะฮฺ
โดยไม่พิจารณาว่า การที่ใช้ชื่อนั้นเขาจะคิดไปในทางที่ดีกับทุกคนที่ใช้ชื่อนี้

เพราะนั่นจะเท่ากับเป็นการเปิดประตูทั้งหลายแห่งความชั่ว สิ่งที่กล่าวถึงอยู่นี้เกี่ยวกับพวกที่ปฎิเสธความหมายที่ปรากฎด้วยการตีความประเภทนี้ ” (อ้างอิงจาก มัจมูอฺ อัล-ฟะตาวา เล่มที่ 6 หน้าที่ 360)

จากการชี้แจงของท่านชัยคุลอิสลาม อิบนิตัยมียะฮฺ ข้างต้นนั้น ทำให้เราได้รับความกระจ่างว่า พวกอะชาอิเราะฮฺที่จะถือว่าพวกเขาเป็นอะฮฺลิซซุนนะฮฺนั้นก็คือ พวกที่ยึดถือในทัศนะที่ถูกกล่าวเอาไว้ในหนังสือ “ อัล-อิบานะฮฺ” ของอบูฮะซัน อัล-อัชอารีย์ โดยมีเงื่อนไขว่าเขาจะต้องไม่เรียกตัวเองว่าเป็นอะชาอิเราะฮฺ สิ่งนี้เป็นการพอเพียงแล้วที่จะโต้ตอบผู้ที่อ้างว่าอะชาอิเราะฮฺ เป็นอะฮฺลิซซุนนะฮฺ



والله أعلم بالصواب

✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿


วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ที่มาของครุย



              โดยทั่วๆไปมุสลิมมักรู้จักชุดครุย ด้วยนัยยะต่างๆ เช่น ชุดที่ต้องสวมใส่ในวันที่ได้รับปริญญาบัตร หรือชุดที่สงวนสิทฺธิในการสวมใส่ได้เฉพาะผู้ที่จบการศึกษา เป็นต้น

              อันความจริงครุยมีที่มาจากเสื้อคลุมยาวชองพระนักบวช โดยเข้ามามีบทบาทแสดงฐานะในระบบการศึกษาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12

              สืบเนื่องจากเกิดมหาวิทยาลัยในยุโรป ภายใต้ศูนย์กลางความรู้ถูกกำหนดให้กระจุกอยู่ในคริสตจักร บรรดามหาวิทยาลัยยุคแรกต้องอาศัยบริเวณโบสถ์คริสต์เป็นสำคัญ การเรียนการสอนซึ่งเคยอยู่ในแวดวงพระก็ได้ขยายครอบคลุมไปยังฆราวาสด้วยการแต่งกายปกติทั้งของครูบาอาจารย์และศิษย์สมัยนั้นอยู่ในชุดของ “พระสอนศาสนา”  ที่อาศัยอยู่แบบของ “ดรูอิด” (Druid) หรือนักบวชชาวเซลท์ในชุมชนชาวเซลทิค

              พระเหล่านี้ใส่ชุดยาวที่มี “ฮู้ด” เพื่อแสดงความเป็นชนชั้นที่สูงกว่า เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงความเป็นผู้รู้ที่เชี่ยวชาญวิทยาศาสตร์และธรรมชาติ

             ดังนั้น การอ้างที่มาของฮู้ดซึ่งเป็นผ้าห้อยติดอยู่ตรงคอเสื้อด้านหลังว่าเป็นไปเพื่อความสะดวกในการใช้คลุมศีรษะให้ความอบอุ่นหรือปกปิดใบหน้า จึงมิใช่เหตุผลสำหรับที่มาของฮู้ดแต่ประการใด

            ทั้งนี้เป็นที่ยอมรับกันในชุมชนดังกล่าวกันอย่างแพร่หลายทั่วไปในสมัยนั้นแล้วว่า ฮู้ด ก็คือ เครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์แห่งการแบ่งแยกทางชนชั้นที่แสดงถึงความเป็นผู้เหนือกว่าทางสติปัญญาและภูมิรู้นั้นเอง



✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿


เมื่อไก่ขันลาร้อง


      เมื่อเราได้ยินเสียงไก่ขัน ห้ามเราด่าไก่  เพราะมันปลุกให้ละหมาด และให้วิงวอนขออต่ออัลลอฮฺตะอาลา จากความโปรดปรานของพระองค์ เพราะขณะนั้นไก่ตัวนั้นได้เห็นมะลาอีกะฮฺ

      แต่เมื่อเราได้ยินเสียงลาร้อง ให้เราขอป้องกันด้วยพระองค์อัลลอฮฺจากชัยฏอน เพราะขณะนั้น ลาตัวนั้นมันกำลังเห็นชัยฏอน

รายงานจากท่านอะบีฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านนบีมุหัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า


أن النبي صلى الله عليه وسلم قال
إذَا سَمِعْتُـمْ صِيَاحَ الدِّيَكَةِ فَاسْأَلُوا اللهَ مِنْ فَضْلِـهِ، فَإنَّهَا رَأَتْ مَلَكاً، وَإذَا سَمِعْتُـمْ 
نَـهِيقَ الحِـمَارِ فَتَعَوَّذُوا بِاللهِ مِنَ الشَّيْطَانِ فَإنَّهَا رَأَتْ شَيْطَاناً


"เมื่อพวกท่านได้ยินเสียงไก่ขัน จงวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺตะอาลา จากความโปรดปรานของพระองค์ เพราะความจริงมันเห็นมะลาอีกะฮฺ และเมื่อท่านพวกท่านได้ยินลาร้อง พวกท่านจงขอป้องกันด้วยพระองค์อัลลอฮฺจากชัยฏอน เพราะความจริงมันเห็นชัยฏอน" (บันทึกหะดิษโดยบุคอรีย์ มุสลิม อบูดาวูด ติรมีซีย์)

รายงานจากเซด บุตรคอลิด ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านนบีมุหัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"ท่านทั้งหลายอย่าด่าไก่ เพราะมันปลุกให้ละหมาด" (บันทึกหะดิษโดยอบูดาวูด และน่าซาอี ด้วยสายรายงานที่เศาะเฮียะฮฺ)


والله أعلم بالصواب

✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ซูฟีย์ในหนังสือของรอบีอะฮ์ บาการี





               เมื่อได้อ่านหนังสือของรอบีอะฮ์ บาการี (Rabiah Bakaree) ก็เข้าใจได้เลยว่า แนวหลักปฏบัติและอากีดะฮฺของเขา อยู่ในแนวทางของกลุ่มซูฟีย์ มุสลิมบางคนอาจไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับปรัญญาซูฟีย์ เมื่อได้อ่านก็อาจคล้อยตามได้ จึงได้นำข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับอากีดะฮฺซูฟีย์ จากหนังสือของรอบีอะฮ์ บาการี  ซึ่งมีหลายเล่ม แต่นำมาเฉพาะ หนังสือเรื่อง "ดื่มดั่มสู่อาลั่มอาราวะฮ์ (ที่อยู่ของคนตาย) รู้จักตนเองรู้จักอัลเลาะฮ์"  โดยนำบางส่วนมากล่าวในที่นี้ โดยไม่มีการกล่าววิจารณ์แต่อย่างใด ดังนี้
รอบีอะฮ์ บาการี

...เพราะเป็นความรู้ที่อะฮ์ได้รับหลังจากความตายไปชั่วขณะเมื่อวันที่ 15 ส.ค.2545 เวลา 18.00น. ที่อะฮ์เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ อะฮ์ตายไปชั่วขณะ อะฮ์รู้ว่าตอนนั้นร่างใน(วิญญาณ) ออกไปจริงๆ ก่อนที่รถจะคว่ำประมาณ 1 วินาที มันไวมากไวกว่านั้น มันเกิดขึ้นเร็วมากแค่กระพริบตา ก็ออกและได้เจอตำแหน่ง...(หน้า 10)

..งานโฮลในสมัยโต๊ะกีแซ็คคอลิคเขาจัดขึ้นมานั้น มีเป้าหมายเพื่อรวมลูกศิษย์ให้มารวมกัน มารู้จักกัน เพราะมีลูกศิษย์มากมายหลายจังหวัด จะมาเจอครู และทำพิธีกรรมต่างๆ ที่จะให้เราเข้าใจในหนทางตอรีกัตมากขึ้น และให้ได้รับบารอกัตจากโรฮานีของครูที่ล่วงลับ ...(หน้า 20-21)

...พูดถึงเรื่องมูซาฮาดะฮ์การมูซาฮาดะฮ์นั้น ทุกคนที่เข้าสู่วิชาซูฟีต้องมีการมูซาฮาดะฮ์ ความหมายของมูซาอาดะฮ์ คือการขึ้นตำแหน่ง แต่ต้องมีมูยาฮาดะฮ์ต่อสู้กับไซตอน ขจัดซีฟัตหรือนิสัยที่น่ารังเกลียด ด้วยการอ่นวีริช คือวีริชตามแนวทางของตอรีกัตในแนวทางของเรา...(หน้า 26)

...การมะรีฟัตเราจะสรุปว่าตำแหน่ง อะฮ์ดะฮ์ , วะฮ์ดะฮ์ , วะฮ์ดียะฮ์ , สามตำแหน่งนี้ จะต้องไปแยกกัน คนละตำแหน่ง ในแต่ละตำแหน่งหรือว่า อาลั่มอาราวะฮ์ นี้เราต้องแยก อาลั่มอาราวะฮ์ หมายความว่า รั่ว ตัววิญญาณ ตัวรั่วที่จะรับงาน เมื่อเราไปอยู่ในที่ตรงนั้นแล้ว ซูฮูดดุลกัสเราะฮ์ฟิลวะดะฮ์ - วะดะฮ์ฟิลกัสเราะฮ์
      ก็ยังไม่ใช่นี้เพียงท่านนบีบอกว่าให้มองจากมากในหนึ่งเดียว  วะดะฮ์ฟิลกัสเราะฮ์ ในหนึ่งเดียวมาจากของมาก แต่ในที่ ซูฮูดดุลกัสเราะฮ์ฟิลวะดะฮ์ เรามองที่เดียวที่นี้เมื่อเรามองอยู่ในจุดเดียวนั้นที่ว่าบากอบิลละฮ์ เรียกว่า การฟานาอุนฟานา(ว่างในว่าง)
      ฟานาฟิลละฮ์นั้น เพียงแต่ฟานายังมีอิสตี๊ยาต เราฟานาแค่ไหนก็ตามยังมีอิสตี๊ยาต แต่พอเอาไปบากอบิลละฮ์ นี้เราอยู่ คงมั่นในอัลเลาะฮ์ ซ.บ. ว่ามนุษย์เป็นความลับของฉัน และฉันก็เป็นความลับของมนุษย์ วาซีรรูฮูซีฟาตี...(หน้า 34-35)

...นี้คือ หลักวิปัสสนาหรือหลัก มูซาอาดะฮ์ หลักของซูฟี มั๊คซู๊คของซูฟี..(หน้า 39)

...ธาตุทั้งสี่ของเราจาก ดิน ,น้ำ,ลม,ไฟ, เราก็ใช้ซีเกรเราก็มองลมของเราเรื่อยไป แต่ดีที่ตูฮันยังรักยังใช้ที่จริงแล้วตูฮันไม่ได้ใช้ให้มองลม อัลเลาะฮ์ ซ.บ.บอกว่าให้รู้จักข้าแล้วข้าจะให้รู้จัก...(หน้า 47)

...เพราะฉะนั้นถึงบอกว่า ซารีอัต,ตอรีกัต,ฮากีกัต,มะรีฟัต มันต้องสัมพันธ์กันจากงานนั้นเราทำภายนอกซารีกัต งานอากีกัตทำภายใน แต่ที่สำคัญระหว่างซารีอัตมันขึ้นอยู่กับตอรีกัต...(หน้า 48)

Sufism

...ลองแบ่งเวลานั่งนิ่งๆ สัก 15-30 นาที ต่อวัน ทำสิ่งต่อไปนี้เริ่มจากการนั่งนิ่งๆ ปล่อยตัวให้สบายทุ่มเทความสนใจ ไปที่ลมหายใจของตัวตัวเราเอง เมื่อหายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจเข้า เมื่อหายใจออกก็รู้ว่าหายใจออก คนเรานั้นมักจะมีคำว่า “ของกู” อยู่เสมอ ร่างกายของกู จิตใจของกู..อะไรๆก็ของกูเสียหมด นั่นแหละสาเหตุหลัก ของการมีความทุกข์...(หน้า 158-159)

..ที่แท้จริงของชีวิตคนเราการนั่งนิ่งๆอยู่ อย่างนั้นแล้ว มันก็รู้สึกมีความสุขอย่างนั่งสมาธิ(มูรอกอเบาะฮ์)บางที นั่งจนลืมกินอาหาร เพราะเพลิดเพลิน ไปกับความสุขที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ เรื่องที่เกิดขึ้นในใจของเรานั้น มันเป็นเรื่องของการปรุงแต่ง ไม่มีตัวตนที่แท้จริงที่สิ่งทั้งหลายมันเกิดขึ้น ก็เพราะการปรุงแต่งทั้งนั้น ซึ่งก็เป็นจริงตามที่คำพระท่านว่า “การที่คนเรารู้สึก “รัก,โลภ,โกรธ,หลง” หรือความรู้สึกอะไร ก็ตาม มันก็เป็นเพียงความว่างเปล่า...(หน้า 159-160)
تصوف


...ภายในวิธีการทำความสะอาดตนเอง(บริสุทธิ) และทำให้โระฮ์เซีย(วิญญาณ) กลับสู่เจ้าของการเป็นเจ้าของโระฮ์เซีย และมนุษย์ชาติทุกๆคนนั้นสะอาด คือยกระดับชั้นที่บริสุทธิ์ ส่งถึงอาซัลลีในที่เกิดเป็นระดับชั้น โระฮ์เซียอัลเลาะฮ์ตาอาลา...(หน้า 174)

...เกี่ยวกับมุรตาบัต (ตำแหน่ง) อะฮ์ดะฮ์นี้ เนื้อหาที่ภายใน{กุลฮูวัลลอฮูอาฮัด} นั้นคือหนึ่ง ตามซาตทั้งหมดและนั้นคือในชื่อเสียงมุรตาบัตซาต ตามมุรตาบัตตนเองที่นั่งเป็นเจ้าของตนเอง...(หน้า 176)

...อะฮ์ก็ขอจากอัลเลาะฮ์ ซ.บ. จากรอซูล ซ.ล. และท่านอิบนูอาราบี ซึ่งเป็นผู้เปิดวิชาฟานาต่อชาวดลก เป็นตำราของท่าน ซึ่งก็ได้ต่อจากนาบี จากรอซูลมาอีกที่เช่นกัน? ท่านถึงจะพูดได้ว่าผู้เปิดวิชาจะไม่มีวันตายคื ครู แล้วอะฮ์ก็ขอจากบรรดานักปราชญ์ และวาลีกาลามัตที่มีความรู้เรื่องฮากีกัต ที่ล่วงลับไปแล้ว คือกาลามัตที่อัลเลาะฮ์ ซ.บ.แต่งตั้งไม่มีวันตาย อัลเลาะฮ์ ซ.บ.ให้ร่องรอยบุญของพวกเขา ให้มาช่วยอะฮ์ชี้แนะอะฮ์ด้วย...(หน้า 216)

...การที่เอาสื่อก็คือเรายอมรับครูก่อน ครูนี้ไม่ใช่แค่คอลีฟะที่คลุมผ้าเท่านั้น แต่เป็นต้นตระกูลของคอลีฟ๊ะเลย เขาเรียกว่าเอาบารอกัตจากโรฮานียะฮ์ ถ้าใครไม่เอาตรงนี้ไม่เข้าฮากีกัตเพราะโรฮานีของครูทุกๆคนจะมาลงให้ตอนคลุมผ้า...(หน้า 223)


...เพื่อเอานามที่ร้อยให้รู้จักว่านามที่ร้อยของอัลเลาะฮ์ ซ.บ. อยู่ตรงไหน นามที่ร้อยคืออะไร  มันเป็นสิ่งสำคัญมาก มันเฆบคือลับเพื่อนามที่ร้ยของอัลเลาะฮ์ ซ.บ.นี้  วิชาทั่วๆไปเขาจะไม่สอนกันให้ชัดเจน แม้แต่ในสายตอรีกัต แต่ให้หากันหลังจากเรียนและเข้าใจถึงซีฟัต20 และรู้จักตัวรู้จักอย่างแท้จริง มันเร้นลับแต่ไม่ลับถ้าเราไม่รู้จักและไม่เข้าใจตรงนี้ เราก็ไม่มีวันเข้าถึงซีเกรเลย..(หน้า 223)

...เพื่อเอาสัญญษลักษณ์ซูดอฮัน หมายถึงงานซูดอฮันที่ว่ามาซ้ายไม่ใช่ มาขวาก็ไม่ใช้ มาตรงกลางอาลิฟนั้นคืออะไร และสีนั้นสำคัญมากมันคือสัญญาลักษ์ตายและเป็น... อาลิฟคือที่ๆเราจะต้องเข้าไป และรู้จักให้แท้จริง เราต้องมูตูก๊อบลันต๊ะมูตู คือ สู่เจ้าจงตายเสียก่อนที่สู่เจ้าจะตาย...(หน้า 224)

..."รั่ว(วิญญาณ)กับการปรากฏต่อหน้าอััลเลาะฮ์" อัลเลาะฮ์ ซ.บ.ทรงสร้าง รั่ว ให้มี 2 หน้า เป็นการเฉพาะพิเศษ ...
1.หน้า ซอเฮร ภายนอก ใบหน้าของเรือนร่างที่สามารถมองเห็นด้วยตัวตน...
2.หน้า บาเตน ภายในหรือใบหน้าของวิญญาณที่หันหน้าไปยังโลกที่สูงๆ ใบหน้าแห่งวิญญาณ เปรียบเสมือนกระจกเงาส่องหน้า...(หน้า 232-233)


ภาพประกอบหนังสือของรอบีอะฮ์ บาการี

 

คลิปพิธีกรรมของกลุ่มซูฟีย์









✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ร่วมกันต่อต้านบิดอะฮฺ



   เราต้องช่วยกันต่อต้านบิดอะฮฺที่เกี่ยวกับศาสนา(ทั้งอากีดะฮฺ และอิบาดะฮฺ) ทุกรูปแบบ เพราะการทำบิดอะฮฺทำให้เราตกนรก

      ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
 " كل بدعة ضلالة وكل الضلالة في النار "
 ความว่า " ทุกๆ บิดอะฮฺคือการหลงผิด และทุกๆ การหลงผิดคือไฟนรก" (บันทึกโดยอบูดาวูด)

ท่านรสูลุลลอฮฺ  ศ็อลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กล่าวว่า
 " لعن الله من آوي محدثا " 
ความว่า "พระองค์อัลลอฮฺทรงสาปแช่งบุคคลที่ให้ที่พัก (ที่อาศัย) แก่บุคคลที่ทำบิดอะฮฺ" (บันทึกโดยบุคอรีย์)
หะดีษข้างต้นท่านนบีสั่งให้เราออกห่าง และต่อต้านบิดอะฮฺทุกรูปแบบ แม้ว่าบุคคลที่ทำบิดอะฮฺยังไม่ให้ที่นั่ง ที่พำพัก เพราะหากให้ที่พักก็ต้องนั่งคุยกับเขา เช่นนั้นไม่ว่าเรา หรือคนในครอบครัวของเราอาจจะมีแนวความคิดที่จะทำบิดอะฮฺก็ได้


 والله أعلم بالصواب والسلام

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

โปรยสตางค์ให้เด็กในวันอีดซึ่งตรงกับวันศุกร์



            ปรากฏการในวันอีด ซึ้่งตรงกับวันศุกร์ ที่มัสยิดในบางพื้นที่ได้มีการโปรยสตางค์ให้แก่เด็กๆหน้าลานมัสยิด แล้วเด็กก็วิ่งตรู่มาเก็บสตางค์เหล่านั้น โดยเจาะจงเฉพาะวันอีดตรงกับวันศุกร์เท่านั้น แต่หากวันอีดตรงกับอื่นนอกจากวันศุกร์ ก็จะไม่มีการโปรยสต่างให้แก่เด็กๆแต่อย่างใด

          ซึ่งการกระทำเช่นนี้ไม่มีรูปแบบจากสุนนะฮฺแต่อย่างใด ทั้งยังเป็นการรังแกเด็กๆ ตัวผู้ให้สนุก หรือเด็กๆ อาจจะสนุก แต่ทว่าเด็กก็ได้รับอันตราย และบาดเจ็บจากการกระแทกและแย่งชิงสตางค์ ฉะนั้นการกระทำข้างต้นถือว่าไม่อนุญาต อันที่จริงให้เด็กๆ เข้าแถวแล้วเดินมารับสตางค์นั่นถือว่าเอ็ดดูเด็ก และสอนให้พวกเขามีระเบียบอีกด้วย

ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

« مَنْ لاَ يَرْحَمُ لاَ يُرْحَمُ »

"บุคคลใดที่ไม่เมตตา เขาก็จะไม่ถูกเมตตา (จากอัลลอฮฺ)" (บันทึกโดยบุคอรีย์)

 ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

« لَيْسَ مِنَّا مَنْ لَمْ يَرْحَمْ صَغِيرَنَا وَيُوَقِّرْ كَبِيرَنَا »

"ไม่ใช่พวกของเรา สำหรับบุคคลที่ไม่เมตตา (เอ็ดดู) เด็กๆ ของเรา และบุคคลที่ไม่ให้เกียรติผู้ใหญ่ของเรา" (บันทึกโดยติรฺมิซีย์)

     ทั้งการประทำดังกล่าวเป็นการเลียนแบบประชาชาติอื่น เช่น บางประชาชาติเค้าโปรยทาน คือโปรยสตางค์แล้วให้คนจนๆ มาเก็บ ซึ่งการกระทำดังกล่าวได้รับอิทธพลของระบบศักดินาอีกด้วย ฉะนั้นจึงไม่อนุญาตให้มุสลิมกระทำเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมากระทำในวันอีดของมุสลิมเรา

ท่านรสูลุลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กล่าวว่า

« مَنْ تَشَبَّهَ بِقَوْمٍ فَهُوَ مِنْهُمْ »

"บุคคลใดที่เลียนแบบชนกลุ่มหนึ่ง เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของชนกลุ่มนั้น" (บันทึกโดยอบูดาวูด)

แจกสตางค์โดยให้เด็กเข้าแถวเป็นการเอ็นดูเด็กและให้เด็กมีระเบียบ


والله أعلم بالصواب

✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿


วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มัลคอล์ม เอ็กซ์ ผู้ค้นพบอิสลามคือความเสมอภาค‏



        ขณะที่อยู่ในมักกะฮฺ , อัล - ฮัจ มาลิก เอล - ชาบาซ ได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงผู้ช่วยผู้จงรักภักดีของเขาใน Harlem(เขตคนดำในนิวยอร์ค) …. นี่คือจดหมายจากใจของเขา

         ผมไม่เคยประจักษ์มาก่อนเลยถึงความมีอัธยาศรัยไมตรีที่จริงใจและเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณแห่งภราดรภาพที่แท้จริงซึ่งแสดงออกมาจากผู้คนหลากหลายสีผิวและเผ่าพันธุ์เหนือแผ่นดินโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเคยเป็นบ้านของนบีอิบรอฮีม (อลัยฯ) , นบีมุฮัมมัด (ซ็อลฯ) และบรรดานบีท่านอื่นๆ ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผมตะลึงงันและประทับใจเหลือเกินในความอ่อนโยนและมีเมตตาของผู้คนหลากผิวพรรณรอบๆ ตัวผม

        เป็นความเมตตาของอัลลอฮฺที่ผมได้มาเยือนมักกะฮฺเมืองอันศักดิ์สิทธิ์ ผมเดินวนรอบกะบะฮฺ 7 รอบ ซึ่งนำโดย Mutawaf หนุ่มชื่อ มุฮัมมัด , ดื่มน้ำจากบ่อซัมซัม วิ่งกลับไปกลับมาระหว่างภูเขา อัล ซอฟา กับภูเขา อัล มัรวะฮฺ , ผมได้นมาซที่เมืองโบราณ มินา และที่ทุ่งอะรอฟะฮฺ”

         มีผู้แสวงบุญจำนวนนับล้านจากทุกมุมโลก หลากหลายมากมายผิวพรรณตั้งแต่ตาสีฟ้า ผมสีทอง จนถึงแอฟริกันผิวดำ แต่เราทั้งหมดก็ประกอบพิธีกรรมเดียวกัน ร่วมแสดงออกถึงจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวในความเป็นพี่น้องกัน ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของผมในอเมริกา ทำให้ผมมีความเชื่อว่า สิ่งนี้จะไม่มีอยู่จริงระหว่างคนผิวขาวและคนที่ไม่ใช่คนผิวขาว

        อเมริกาจำเป็นต้องทำความเข้าใจอิสลาม เพราะนี่คือศาสนาเดียวที่สามารถขจัดปัญหาสังคมเรื่องเชื้อชาติ ตลอดการเดินทางของผมในโลกมุสลิมผมได้พบปะพูดคุยกระทั่งได้ร่วมรับประทานอาหารกับผู้คนซึ่งถ้าหากเป็นในอเมริกาก็จะได้รับการพิจารณาจัดเตรียมไว้ให้ในฐานะของการเป็นคนขาวเท่านั้น แต่ทัศนคติความเป็นคนขาวได้ถูกลบออกจากหัวใจของพวกเขาโดยอิสลาม ผมไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยสำหรับภราดรภาพที่สัตย์ซื่อและจริงใจซึ่งแสดงออกมาจากผู้คนต่างสีผิวที่มารวมกันโดยไม่คำนึงถึงเรื่องเผ่าพันธุ์

       คุณอาจจะประหลาดใจกับคำพูดของผมในจดหมายนี้ แต่จากการจาริกแสวงบุญยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ สิ่งที่ผมได้พบเห็นและเรียนรู้ทำให้ผมจัดระเบียบรูปแบบความคิดของผมที่เคยยึดถือมาก่อนเสียใหม่แล้วโยนความเชื่อเก่าๆ เหล่านั้นออกไป สิ่งนี้ไม่ยากเกินไปสำหรับผมที่จะทำ ด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่มั่นคงของผม , ผมได้เผชิญหน้ากับความเป็นจริงเสมอมาและยอมรับสัจธรรมแห่งชีวิต ประสบการณ์และความรู้ใหม่ทำให้มันคลี่ขยายกระจายกว้างออก หัวใจของผมเปิดกว้างซึ่งมันเป็นความจำเป็นที่ต้องมีความยืดหยุ่นเพื่อที่จะก้าวเดินไปด้วยกันกับทุกๆ ภูมิปัญญาแห่งสัจจะ

       ระหว่าง 11 วันที่ผ่านมาในโลกมุสลิมแห่งนี้ ผมได้รับประทานอาหารในจานใบเดียวกัน , ดื่มร่วมแก้วกัน , หลับบนพรมผืนเดียวกัน , ร่วมนมาซเพื่อพระเจ้าองค์เดียวกันกับมวลมุสลิมผู้ร่วมทาง ผู้ซึ่งดวงตาของเขาเป็นสีฟ้าที่สุดแห่งสีฟ้า , เส้นผมเป็นสีทองที่สุดแห่งสีทอง และผู้ซึ่งมีผิวสีขาวที่สุดในบรรดาสีขาว และในถ้อยคำและในการกระทำของมุสลิมผิวขาว ผมรู้สึกได้ถึงความจริงใจดุจเดียวกับที่รู้สึกในท่ามกลางมุสลิมผิวดำแห่งไนจีเรีย ซูดาน และกาน่า

      พวกเราคือสิ่งเดียวกันโดยแท้ (เป็นพี่น้องกัน) - ด้วยเพราะความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวได้ขจัดความรู้สึกถึงการเป็นคนขาวออกไปจากหัวใจ , จากพฤติกรรมและจากทัศนคติของพวกเขา

       ผมสามารถเห็นได้จากการนี้ , ซึ่งเผื่อว่าบางทีอเมริกันผิวขาวจะยอมรับในเอกภาพของพระเจ้าและเผื่อว่าบางทีพวกเขาจะยอมรับในสัจธรรมแห่งการเป็นมนุษย์ของคน – แล้วหยุดตีค่าของคน , กีดกันและทำร้ายผู้อื่นเพียงเพราะ ความไม่เหมือนกัน ของสีผิว

      กับการคุกคามด้วยคตินิยมเชื้อชาติ อเมริกาเสมือนมะเร็งร้ายที่ไม่อาจรักษาให้หายได้ พวกอเมริกันผิวขาวที่เป็นคริสเตียนควรเปิดใจกว้างยอมรับความจริงถึงคำตอบของปัญหาการทำลายล้าง บางทีมันอาจไม่สายเกินไปที่จะช่วยอเมริกาให้รอดพ้นจากความหายนะที่จวนเจียนจะเกิดขึ้นเช่นเดียวกับการทำลายล้างในประเทศเยอรมันที่เกิดขึ้นเพราะคตินิยมเชื้อชาติ ซึ่งในที่สุดก็ได้ทำลายตัวตนของคนเยอรมันเอง

     แต่ละชั่วโมงในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์นี้สามารถทำให้ผมมีความเข้าใจด้านจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งมากขึ้นถึงสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ในอเมริการะหว่างคนดำกับคนขาว อเมริกันนิโกรไม่ควรถูกตำหนิสำหรับความโกรธแค้น ( ที่เขามีต่ออเมริกันผิวขาว ) เกี่ยวกับเรื่องเผ่าพันธุ์ เพราะนั่นเขาเพียงกำลังแสดงออกถึงผลการกระทำของพวกอเมริกันผิวขาวผู้มีคตินิยมเชื้อชาติที่จงใจกระทำมาตลอดเวลา 400 ปี แต่ขณะเดียวกันคตินิยมเชื้อชาติก็นำอเมริกาสู่หนทางแห่งการฆ่าตัวตาย ผมเชื่อจากประสบการณ์ซึ่งผมเคยมีกับพวกเขาว่าคนขาวที่เป็นคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ , ในวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยต่างๆ , จะเป็นลายมือบนกำแพงและพวกเขาจำนวนไม่น้อยจะหันกลับสู่วิถีแห่งความจริงทางจิตใจ – หนทางเดียวที่อเมริกาจะต้องเลือกโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงทั้งนี้เพื่อที่จะขจัดปัดเป่าภยันตรายแห่งความหายนะอันเกิดจากคตินิยมเชื้อชาติ

ไม่เคยเลยที่ผมจะได้รับเกียรติอย่างสูงส่งเช่นนี้ ไม่เคยเลยที่ผมจะได้รับการปฏิบัติที่ทำให้มีความรู้สึกถึงความต่ำต้อยและไร้ค่า จะมีใครบ้างที่เชื่อว่าพรอันยิ่งใหญ่ได้ถูกรวมไว้เพื่อมอบให้แก่อเมริกันนิโกรคนหนึ่ง ? เมื่อไม่กี่คืนที่ผ่านมา , ชายคนหนึ่งซึ่ง ( ถ้าเป็น ) ในอเมริกาเขาจะถูกเรียกว่า “ คนขาว” , เป็นนักการทูตสหประชาชาตฺ , เป็นเอกอัครราชทูต และเป็นสหายของกษัตริย์ได้เตรียมห้องสูทในโรงแรมของเขาแก่ผม ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงความใฝ่ฝันที่จะเป็นผู้ได้รับเกียรติยศอันใหญ่หลวงเช่นนี้ – เกียรติยศซึ่งในอเมริกาจะถูกถวายให้ก็แด่พระราชาเท่านั้น – ไม่ใช่แก่นิโกร

บรรดาการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลโลกทั้งหลาย



ด้วยความจริงใจ

อัล – ฮัจ มาลิก เอล – ชาบาซ

( มาลคอล์ม เอ๊กซ )

อิมามชาฟิอีย์ท่านเกลียดการจัดเลี้ยงงานศพ


          เมื่อถามมุสลิมบ้านเรา ว่าสังกัดมัซฮับไหน ต่างก็ตอบตรงกันว่า มัซฮับชาฟิอีย์ แต่แล้วใยมุสลิมบ้านเรา ถึงปฏิบัติตรงข้ามกับที่อิมามชาฟีอีย์ ที่กล่าวไว้โดยสิ้นเชิง

           ในที่นี้ขอกล่าวกรณีจัดเลี้ยงเมื่อมีการเสียชีวิตของมุสลิมคนใดเกิดขึ้น ครอบครัวผู้ตายก็จะมีการจัดเลี้ยงเพื่ออุทิศให้แก่ผู้ตาย(จริงๆแล้วอิสลามไม่มีการอุทิศบุญแก่ผู้ตาย แต่มีการทำแทนเท่านั้น) โดยมีการกำหนดเฉพาะเจาะจงวันจัดเลี้ยง ไม่ว่าวันที่ 1, 2 ,3 , 7 ,40 หรือวันที่ 100 นับแต่วันที่เสียชีวิตของผู้ตาย

         ซึ่งมันตรงกันข้ามกับสุนนะฮฺ และคำกล่าวของอิมามชาฟิอีย์ ที่มุสลิมบ้านเราสังกัดทัศนะของท่านโดยสิ้นเชิง

        ท่านอิมามชาฟิอีย์ กล่าวว่า ท่านเกลียดงานศพต่างๆ นั้นหมายรวมถึงการที่ญาติของผู้ตายจัดเลี้ยงอาหารแก่โต๊ะลาแบ(โต๊ะะลาใบ) หรือแก่ผู้คนในชุมชน และให้พวกเขาทำพิธีต่างๆ แล้วมีการอุทิศผลบุญนั้นแก่ผู้ตาย เพราะการกระทำเช่นนั้นท่านอิมามชาฟิอีย์เห็นว่า มันทำให้เกิดการเศร้าโศกขึ้นมาใหม่ และจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายอันไม่จำเป็น

       ซึ่งจะเห็นได้ว่า เมื่อมุสลิมคนใดในบ้านเราเสียชีวิตลง ก็ต้องออกค่าใช้จ่ายด้วยการไปติดหนี้ยืมสินมากมาย เพื่อนำมาใช้จ่ายในการจัดเลี้ยงทำบุญอุทิศคนตาย อันดับแรก ก็ต้องนำเงินไปซื้อข้าวสาร ซื้อไข่ไก่ แล้วนำมาแจก พร้อมซองเงิน แก่ผู้ที่มาละหมาดญานะซะฮฺ ซึ่งขึ้นอยู่ว่ามีผู้มาละหมาดญานะซะฮฺมากน้อยเพียงใด หลังจากนั้น ก็นำค่าใช้จ่ายมาจัดเลี้ยงอาหารที่บ้านของญาติผู้ตายตามวันที่กำหนดเฉพาะเจาะจงไว้

       แน่นอนว่าต้องมีค่าใช้จ่ายมากมาย โดยเฉพาะครอบครัวที่ยากจน หรือขัดสน ต้องเป็นหนี้สินเขาอย่างหลีกเลี้ยงไม่ได้ เพื่อให้เป็นไปตามที่คนมุสลิมบ้านเราทำกัน โดยมุสลิมบางคนเข้าใจว่า นั้นเป็นบทบัญญัติศาสนา เป็นแบบอย่างท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  บรรดาศอฮาบะฮฺ และอิมามชาฟีอีย์ วางเอาไว้ เพราะได้มีการกระทำเช่นนี้สืบกันมาแต่ตั้งแต่บรรพบุรุษ และโต๊ะลาแบก็ได้บอกและให้กระทำเช่นนั้น

      แต่มันตรงข้าม กันอย่างสิ้นเชิง  เมื่อมุสลิมคนใดเสียชีวิตลง ท่านนบี ศ็อลลัลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กำชับให้เราชำระหนี้สินของผู้ตายให้หมดสิ้น และทรัพย์สินของผู้ตายนั้นถือเป็นมรดกเป็นสิทธิของทายาทที่เขาจะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเขา แต่เรากลับไปเพิ่มหนี้สิน มันตรงข้ามกับคำสอนศาสนาอย่างสิ้นเชิง

     เราลองมาดูคำพูดของท่านอิมามชาฟิอีย์ กล่าวไว้ในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง

ท่านอิมามนะวะวีย์ (ท่านสังกัดมัซฮับชาฟิอีย์ สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ.676) กล่าวไว้อัลมัจญมัวอ์ (5/306) ว่า

"ส่วนการไปนั่งเพื่อการปลอบใจนั้น อิมามชาฟิอีย์ อัลมุศ็อนนิฟ และสหายท่านอื่นๆ ก็ได้ตราไว้ถึงความน่าเกลียดของการนั้น พวกเขากล่าวว่า หมายถึงไปนั่งเพื่อการปลอบใจ โดยที่ครอบครัวของผู้ตายจะไปชุมนุมในบ้านหนึ่ง แล้วผู้ที่ต้องการปลอบใจจะมุ่งไปหาพวกเขา พวกเขากล่าวว่า หากแต่ว่า สมควรที่พวกเขาจะเลิกราไปธุระต่างๆ ของพวกเขา แล้วผู้ใดได้พบพวกเขา ก็ให้เขาปลอบใจพวกเขา และไม่มีความแตกต่างระหว่างบรรดาผู้ชาย และผู้หญิง ในการเป็นที่น่าเกลียดของการไปนั่งเพื่อการปลอบใจ"

อิมามชาฟิอีย์ ที่อิมามนะวะวีย์ได้ชี้ถึง ได้ตราไว้ในหนังสืออัลอุมมฺ(1/248) ไว้ว่า

"และฉันเกลียดงานศพต่างๆ และมันก็คือหมู่คณะ  ถึงแม้จะไม่มีการร้องไห้ให้แก่พวกเขาก็ตาม เพราะว่า การกระทำเช่นนั้น มันทำให้เกิดความเศร้าโศกใหม่ และทำให้ต้องมีค่าใช้จ่าย พร้อมกับสิ่งที่มันได้ผ่านไปในนั้น จากร่องรอย"

เหมือนกับว่าท่านอิมามชาฟีอีย์ชี้ถึงหะดิษของท่านญะรีรฺ บุตรของอับดุลลอฮฺ อัลบะญะลีย์ ที่ว่า

รายงานจากท่านญะรีรฺ บุตรของอับดุลลอฮฺ อัลบะญะลีย์ กล่าวว่า

كُنَّا نَعُدُّ اْلإِجْتِمَاعَ إِلَى أَهْلِ الْمَيِّتِ  وَصُنْعَةَ الطَّعَامِ بَعْدَ دَفْنِهِ مِنَ النِّيَاحَةِ

 “พวกเราถือว่าการรวมตัวกันยังบ้านผู้ตายและทำอาหาร(ที่บ้านของผู้ตายนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการนิยาหะฮฺ”(นิยาหะฮฺ หมายถึงการแสดงอาการเศร้าโศกเสียใจ เช่นการตีอกชกหัว ฉีกเสื้อผ้า ตีโพยตีพาย ครวญคราง ขีดขวนใบหน้าเสมือนคนขาดสติ ซึ่งเป็นที่ต้องห้ามในอิสลาม){บันทึกหะดิษโดยอิบนุ มาญะฮฺ หะดิษเลขที่ 1612 บทว่าด้วย ห้ามการร่วมชุมนุมกันที่บ้านของผู้ตาย และทำอาหาร(ที่บ้านผู้ตาย) และท่านอะหฺมัด หะดิษเลขที่ 6866)

และท่านอิมามนะวะวีย์ กล่าวว่า
"และมุศ็อนนิฟ และคนอื่นๆ ได้อ้างหลักฐานยืนยันให้ด้วยอีกหลักฐานหนึ่ง ซึ่งมันก็เป็นอุตริกรรม"
เช่นเดียวกับท่านอิบนฺ อัลฮุมามได้ตราไว้ในซัรหุลฮิดายะฮฺ (1/473) ในการเป็นสิ่งที่น่าเกลียดของการจัดหาอาหารจากครอบครัวของผู้ตายในรับรอง และกล่าวว่า มันเป็นอุตริกรรมที่น่าเกลียด ซึ่งเป็นแนวทางของพวกฮัมบะลีย์ ดังที่ปรากฏอยู่ในอัลอินศ้อฟ (2/565)



 ท่านอิหม่ามนะวะวีย์  ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “อัล-มัจญมั๊วะอฺ” เล่มที่ 5 หน้า 320 ว่า…

قَالَ صَاحِبُ الشَّامِلِ وَغَيْرُهُ : وَأَمَّا إِصْلاَحُ أَهْلِ الْمَيِّتِ طَعَامًا وَجَمْعُ النَّاسِ عَلَيْهِ فَلَمْ يُنْقَلْ فِيْهِ شَىْءٌ وَهُوَ بِدْعَةٌ غَيْرُ مُسْتَحَبَّةٍ …..

“ท่านเจ้าของหนังสือ “อัช-ชามิล” (มีชื่อว่า อบูนัศรฺ, มะห์มูด บิน อัล-ฟัฎล์ อัล-อิศบะฮานีย์, มีชื่อรองว่า อิบนุ ศ็อบบาค เป็นชาวเมือง อิศฟาฮาน, สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 512) และนักวิชาการท่านอื่นๆกล่าวว่า…

อนึ่ง การที่ครอบครัวผู้ตายได้จัดปรุงอาหารขึ้น และเชิญชวนผู้คนให้มาร่วมรับประทานกัน พฤติกรรมนี้ ไม่เคยปรากฏมีรายงานหลักฐานมาแต่ประการใด, ดังนั้น มันจึงเป็นบิดอะฮ์ที่ไม่ชอบตามหลักการศาสนา”


             >>>>แต่ตรงกันข้าม ท่านอิหม่ามอัชชาฟิอีย์ กลับสนับสนุนให้เพื่อนบ้านของผู้ตาย หรือญาติใกล้ชิดของผู้ตายทำอาหารให้แก่ครอบครัวผู้ตายต่างหาก..

อิหม่ามอัชชาฟิอีย์ ได้กล่าวไว้ในตำราเมาซูอะฮฺ อัลอิหม่าม อัชชาฟิอีย์ ; อัลกิตาบอัลอุมฺม์ ; ด๊ารฺกุตัยบะฮฺ เล่มที่ 3 หน้า 416-417 หนังสือตุหฺฟะตุล อะหฺวะซีย์ เล่ม 4 หน้า 38 และหนังสือ มิรฺกอตุลมะฟาตีหฺ เล่ม 4 หน้า 223 ว่า
 “ฉันชอบให้เพื่อนบ้านของผู้เสียชีวิตหรือผู้เป็นเครือญาติของผู้เสียชีวิตทำอาหารที่ให้ครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้อิ่มในวันและค่ำคืนที่เขาเสียชีวิตลง ซึ่งอาหารที่ยังความอิ่มหนำแก่พวกเขา เพราะแท้จริงสิ่งดังกล่าวเป็นซุนนะฮฺและเป็นการรำลึกที่ประเสริฐ และเป็นการปฏิบัติของเหล่าชนแห่งความดีทั้งก่อนและหลังพวกเรา"
หลังจากนั้นท่านอิมามชาฟิอีย์ ท่านได้นำหะดิษที่รายงานจากท่านจากท่านอับดุลลอฮฺ บุตรของยะอฺฟัรฺ มากล่าว โดยท่านกล่าวว่า
 "ทั้งนี้เพราะเมื่อมีข่าวการเสียชีวิตของท่านญะอฺฟัร  มาถึงท่านร่อซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ก็กล่าวว่า : "พวกท่านทั้งหลายจงทำอาหารแก่ครอบครัวของญะอฺฟัรเถิด เพราะแท้จริงได้มีเรื่องราวที่ทำให้พวกเขาต้องยุ่ง (สาละวน) มายังพวกเขา"
หะดิษดังกล่าว รายงานดังนี้

จากท่านญะอฺฟัรฺ บุตรของคอลิด จากพ่อของเขา จากท่านอับดุลลอฮฺ บุตรของยะอฺฟัรฺ(เกิดที่ดินแดนหะบะชะฮฺ สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. ที่ 80) เล่าว่า
" เมื่อข่าวการสิ้นชีวิตของท่านญะอฺฟัรฺรู้ถึงท่านรสูลุลลอฮ์ ท่านรสูล กล่าวว่า “พวกท่านจงทำอาหารให้แก่ครอบครัวของญะอฺฟัรเถิด เพราะสิ่งที่ทำให้เกิดความยุ่งยาก (หมายถึงความเศร้าโศกเสียใจ) มาประสบกับพวกเขา”
(บันทึกโดยอบูดาวูด หะดิษเลขที่ 3130 บทว่าด้วยการทำอาหารให้แก่ครอบครัวของผู้ตาย , ติรฺมีซีย์ หะดิษเลขที่ 998 บทว่าด้วยการทำอาหารให้แก่ครอบครัวของผู้ตาย , อิบนุ มาญะฮฺ หะดิษเลขที่ 1610 บทว่าด้วยการทำอาหารให้แก่ครอบครัวของผู้ตาย , หากิม หะดิษเลขที่ 1377 บทว่าด้วยญะนาวะฮฺ , อะหฺมัด หะดิษเลขที่ 1754 อบูยะอฺลา หะดิษเลขที่ 6801 อับดุรฺเราะซาก หะดิษเลขที่ 6670 บทว่าด้วยการทำอาหารให้แก่ครอบครัวของผู้ตาย บัยหะกีย์ หะดิษเลขที่ 7197 บทว่าด้วยการจัดเตรียมอาหารอาหารให้แก่ครอบครัวของผู้ตาย และดารุ กุฏนีย์ หะดิษเลขที่ 11 บทว่าด้วยญะนาวะฮฺ)


!!!สิ่งที่ท่านอิหม่ามอัชชาฟิอีย์ รอฎียัลลอฮุอันฮุ ระบุว่าเป็นสิ่งที่ท่านชอบให้กระทำเพราะเป็นสุนนะฮฺอันประเสริฐเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าและส่วนใหญ่ในบ้านเราตามทัศนะท่านอิหม่ามชาฟิอีย์จำต้องช่วยกันรณรงค์ฟื้นฟูซุนนะฮฺข้อนี้ซึ่งจวนเจียนจะจางหายไปจากสังคมบ้านเราอยู่รอมร่อ.....!!!


والله أعلم بالصواب

✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วันอาชูรอกลายเป็นวันหลั่งเลือดของชีอะฮฺรอฟีเฎาะฮฺ



  การเศร้าโศรกเสียใจ ต่อการเสียชีวิตของท่านฮุเซ็น ที่กัรบะลาอฺ ในวันอาชูรออฺ โดยมีการทิ่มแทง ฟันตัวเอง สร้างความเจ็บปวด ร้องโอด ครวญ ซึ่งเป็นการกระทำของพวกชีอะฮฺ

พวกรอฟิเฎาะฮฺจะจัดให้มีขบวนแห่ และมีการชุมนุม ตะโกนอย่างโหยหวนเพื่อแสดงความเศร้าโศก มีการเดินขบวนบนถนนและตามที่ต่างๆ พวกเขาจะใส่ชุดดำ เพื่ออ้างว่ารำลึกถึงการตายชะฮีดของท่านฮุเซน รอฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ในช่วงสิบวันแรกของเดือนมุหัรร็อมทุกๆปี ด้วยความเชื่อว่านั่นคือการอิบาดะหฺที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาจะตบตีใบหน้าของตัวเอง ทั้งทุบตีร่างกายและฉีกเสื้อผ้าจนขาดวิ่น รวมทั้งร้องไห้และตะโกนว่า “โอ้ ฮุเซน โอ้ ฮุเซน” โดยเฉพาะในวันที่สิบ เดือนมุหัรร็อม นอกจากนี้ ยังมีการใช้โซ่และดาบ เฆี่ยนและฟันตัวพวกเขาเอง ดังที่มีให้เห็นในประเทศที่มีพวกรอฟิเฎาะฮฺ เช่น   อิหร่าน เป็นต้น

พวกผู้นำจะปลุกผู้คนให้กระทำการเช่นนั้น มันได้กลายเป็นสิ่งที่งมงาย และทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะ มุหัมมัด หะซัน อาล กาชิฟ อัลฆิตอ ซึ่งผู้เป็นหนึ่งในบรรดาผู้รู้ของพวกเขาได้ถูกถามถึงการตบตีและเฆี่ยนตัวเองของชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ เขาตอบว่า : แท้จริงมันคือการแสดงความยิ่งใหญ่ของหลักบัญญัติแห่งอัลลอฮฺ ซึ่งเขาอ้างอัลกุรอานไปตีความอย่างผิด โดยอ้างโองการอัลกุรอานที่ว่า

وَمَنْ يُعَظِّمْ شَعَائِرَ اللَّهِ فَإِنَّهَا مِنْ تَقْوَى الْقُلُوبِ (32)

ความว่า : ฉะนั้น ผู้ใดที่ให้เกียรติแก่พระบัญญัติของอัลลอฮฺ แท้จริงมันเป็นส่วนหนึ่งแห่งการยำเกรงของจิตใจ "  [ อัลฮัจญ์ 22 : 32 ]

พวกชีอะฮฺ จะจัดเช่นนี้ทุกๆ ปี ในขณะที่มีหะดีษของท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม ว่า
"ท่านได้ห้ามการตบตีใบหน้าและฉีกเสื้อผ้า" (รายงานโดย มุสลิม 103)

ท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม ว่า
"ไม่ใช่พวกเรา ผู้ตบตีแก้ม และฉีกเสื้อผ้า และการอ้อนวอนด้วยคำอ้อนวอนของยุคงมงาย"



 แต่พวกรอฟิเฎาะฮฺได้ทิ้งขว้างคำสอนนี้ เพราะพวกเขาคือชนที่ปั้นแต่งหะดีษได้เก่งที่สุด...!!!!!


والله أعلم بالصواب

✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿






วันอาชูรอนบีให้ถือบวชไม่ใช่ส่งเสริมการกิน




 สำหรับวันอาชูรออฺ(วันที่ 10 เดือนมุฮัรร็อม)นั้น  เป็นวันที่อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงทำให้ชาวบนีอิสรออีลรอดพ้นจากศัตรูของพวกเขา (พวกฟิรอูน) ดังนั้นท่านนบีมูซา จึงได้ถือศีลอดในวันนี้ เพื่อขอบคุณพระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านก็ได้ถือศิลอดในวันนี้ และท่านสั่งให้ศอฮาบะฮฺ และประชาชาติของท่านถือศิลอดในวันนี้ด้วย แต่ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มิได้สั่งใช้ให้ร่วมกันทำอาหารใดๆ เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ใดๆในวันนี้แต่อย่างใดเลย  ซึ่งการทำขนมอาซูรอตรงข้ามกับสุนนะฮฺที่ให้งดการกินการดื่มในวันนี้อย่างสิ้นเชิง



รายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ อิบนิ อับบาส ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมาเล่าว่า
قَدِمَ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ الْمَدِيْنَةَ فَرَأَى الْيَهُوْدَ تَصُوْمُ يَوْمَ عَاشُوْرَاءَ فَقَالَ مَاهَذَا ؟ قَلُوْا هَذَا يَوْمٌ صَالِحٌ هَذَا يَوْمٌ نَجَّى اللهُ بَنِيْ إِسْرَائِيْلَ مِنْ عَدُوِّهِمْ فَصَامَهُ مُوْسَى قَالَ فَأَنَا أَحَقُّ بِمُوْسَى مِنْكُمْ فَصَامَهُ وَأَمَرَ بِصِيَامِهِ
"เมื่อครั้งที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เดินทางถึงนครมะดีนะฮฺ ท่านได้เห็นชาวยะฮูดีย์ถือสีลอดในวันอาชูรออฺ ท่านจึงถาม ว่า "วันนี้คือวัน อะไร?" ชาวยะฮูดีย์ได้ตอบว่า วันนี้เป็นวันที่ดี เป็นวันที่อัลลอฮฺทรงทำให้ชาวบนีอิสรออีลรอดพ้นจากศัตรูของพวก เขา(พวกฟิรอูน) ดังนั้นท่านนบีมูซา จึงได้ถือศีลอดในวันนี้ (เพื่อเป็นการขอบคุณต่อพระองค์อัลอฮฺ) ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะ ซัลลัม จึงกล่าวว่า ดังนั้นฉันมีสิทธิ์ในมูซามากกว่าพวกเจ้า แล้วท่านก็ถือศีลอด (ในวันนั้น) และสั่งให้ (ชาวมุสลิม) ถือศีลอดในวันนั้น ด้วย" (บันทึกโดยบุคอรียฺ : 2004
อะหฺมัด : 2639)


             สำหรับการกวนขนมอาซูรอ(อาซูรอ แปลว่า การผสม การรวมกัน) ในวันอาชูรออฺ เพื่อรำลึกถึงท่านนบีนัวหฺ ในวันที่อัลลอฮฺทรงทำให้เรือของท่านไปจอดที่ภูเขาญูดีย์ หลังจากนั้นนบีนัวหฺ และคนอื่นๆได้นำ อาหารมารวมกัน ผสมกัน และแบ่งกันรับประทาน ซึ่งความจริงแล้วไม่มีตัวบทที่มาแต่อย่างใด เป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมา ไม่พบหลักฐานของเหตุการณ์กวนอาซูรอ จากอัลกุรอาน และสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อีกทั้งบรรดาศอฮาบะห์ และมัซฮับทั้ง 4 ก็มิได้สั่งสอนหรือบอกกล่าวไว้แต่อย่างใด

            ส่วนการกวนขนมนั้นจะกวน อย่างไร รับประทานอย่างไรนั้น ทำได้ตลอดทุกวัน โดยไม่ได้เจาะจงเป็นวัน หรือเชื่อเป็นเรื่องของศาสนา และไม่มีพิธีกรรมทางศาสนามาเกี่ยวข้อง ก็ไม่ขัดกับหลักศาสนาแต่อย่างใด เช่น ต้องไม่มีการให้โต๊ะครู โต๊ะอิหม่าม หรือผู้นับถือในชุมชนมาทำพิธีทางศาสนาก่อนรับประทานขนมอาซูรอ หรือก่อนจะแจกจ่ายกับคนทั่วๆ และกระทำเฉพาะเจาะจงปีหนึ่งเพียงครั้งเดียว เฉพาะวันอาชูรออฺอย่างที่ปฏิบัติกันอยู่ในบ้านเรา...


والله أعلم بالصواب

✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿


อิสลามความดีเป็นความมั่งคั่งความยุติธรรมเป็นอำนาจ


                    ประชาชาติอิสลามนั้น เมื่อยึดมั่นอยู่ในหลักการอิสลามก็จะเป็นประชาชาติที่มีเกียรติ เป็นผู้นำ และทำให้โลกนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรมและโอบอ้อมอารี 

                    หลักการของอิสลามนั้น จนกระทั้งบัดนี้ อัลฮัมดลิ้ลาฮฺ ยังคงสภาพเหมือนเช่นช่วงเริ่มแรกที่อัลลอฮิ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ประทานวะฮียฺลงมายังท่านรสูลมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เรามีคัมภีร์อัลกุรอาน และสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อยู่เบื้องหน้าพวกเรา 

                    ดังนั้น การปฏิบัติตามสองสิ่งนี้เท่านั้น ที่จะเป็นสิ่งค้ำประกันว่าอิสลามจะสามารถฟื้นฟูขึ้นมาได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะตกต่ำลงไปแค่ไหนเพียงใดก็ตาม


والله أعلم بالصواب

✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿

เมื่อคัมภีร์โตราห์ของยิวให้เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์


                ไม่ทราบว่าชาวตะวันตกที่ไม่เคยย่อท้อในการใส่ร้ายป้ายสีศาสนาอิสลามว่าเป็นศาสนาที่เผยแผ่ด้วยคมดาบนั้น เคยอ่านคัมภีร์โตราห์(เตารอต ซึ่งประทานแก่ท่านนบีมูซา) ว่าด้วยสงครามหรือไม่ ถ้าหากพวกเขาอ่าน ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพวกเขาจะเข้าใจลึกซึ้งมากน้อยเพียงใด ลองพิจารณาไตร่ตรองบทบัญญัติที่ว่ีาด้วยสงครามในโตราห์(คัมภีร์เก่า) ที่บรรดามุสลิมต่างเชื่อว่ามันถูกบิดเบือนตัดทอนและเพิ่มจนไม่มีเค้าของต้นฉบับเดิมแล้ว

ในโองการที่ 20 หัวข้อบทบัญญัติที่ว่าด้วยการล้อมเมืองและเปิดประเทศที่อยู่ไกลได้กล่าวว่า

ความว่า "เมื่อใดที่ท่านทั้งหลายโจมตีเมืองใดเมืองหนึ่งจงเรียกร้องให้มีการประนีประนอม หากพวกเขาตอบรับการประนีประนอม ก็จงถือว่าประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้นได้กลายเป็นทาสของพวกท่าน แต่หากพวกเขากระด้างกระเดื่องและแข็งข้อไม่ยอมรับการประนีประนอม ท่านก็จงปิดล้อมและทำสงครามกับพวกเขา เมื่อพระเจ้าอนุมัติให้ท่านทั้งหลายมีชัยชนะเหนือพวกเขา ท่านจงเข่นฆ่าพวกเขาที่เป็นชายทั้งหมดด้วยดาบ ส่วนผู้หญิง เด็กเล็ก สัตว์เลี้ยงและทุกอย่างที่หลงเหลือในเมืองก็จงริบเป็นทรัพย์เชลยของพวกท่าน และพวกท่านจงสุขสำราญกับสัตว์เลี้ยงที่ยึดได้จากศัตรูของพวกท่านซึ่งถือเป็นของขวัญจากพระเจ้าของท่าน"

              เมื่อได้อ่านบทคำสั่งของโตราห์ที่มีต่อชาวบะนีอิสรอิลและชาวยิวที่ยึดมั่นศรัทธาในคำสอนของนบีมูซา ในเรื่องการปิดล้อมและเปิดเมืองต่างๆ ที่พวกเขาเรียกว่า เมืองห่างไกล(ไม่ใช่เมืองพันธะสัญญา) หากพลเมืองยินยอมประนีประนอมก็ให้ถือว่าพลเมืองทุกคนเป็นทาสโดยไม่มีการยกเว้น หากมีการต่อสู้และได้รับชัยชนะ พลเมืองทุกคนที่เป็นชายก็ถูกฆ่าโดยไม่มีการละเว้น เช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นแก่เฒ่าหรือเด็กเล็ก  พวกเขาไม่มีโอกาสกระทำการใดๆ ที่สามารถรักษาชีวิตของพวกเขาจากคมดาบได้ เป็นต้นว่า ยอมรับเข้าศาสนายิว หรือยอมจ่ายอัล-ญิซญะฮฺ (เงินค่าหัวเพื่อเป็นการชดเชยกับการได้รับความคุ้มครอง) หรือกระทำการอื่นใดที่สามารถรักษาชีวิตของพลเมืองที่พ่ายแพ้สงคราม แต่พระเจ้าของพวกเขากลับมีคำสั่งให้เข่นฆ่าพลเมืองอย่างสิ้นซาก โดยไม่มีการยกเว้น
ในขณะที่อัลกุรอานมีบทคำสอนในเรื่องนี้ว่า


فَإِذَا لَقِيتُمُ الَّذِينَ كَفَرُوا فَضَرْبَ الرِّقَابِ حَتَّىٰ إِذَا أَثْخَنتُمُوهُمْ فَشُدُّوا الْوَثَاقَ فَإِمَّا مَنًّا بَعْدُ وَإِمَّا فِدَاءً حَتَّىٰ تَضَعَ الْحَرْبُ أَوْزَارَهَا ذَٰلِكَ وَلَوْ يَشَاءُ اللَّهُ لَانتَصَرَ مِنْهُمْ وَلَٰكِن لِّيَبْلُوَ بَعْضَكُم بِبَعْضٍ وَالَّذِينَ قُتِلُوا فِي سَبِيلِ اللَّهِ فَلَن يُضِلَّ أَعْمَالَهُمْ ( 4 )
"และเมื่อพวกเจ้าพบบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาก็จงฆ่าเสีย(กรณีสงคราม) จนกระทั่งเมื่อพวกเจ้าปราบพวกเขาจนแพ้แล้ว ก็จงจับพวกเขาเป็นเชลยหลังจากนั้นจะปล่อยเป็นไทหรือจะเรียกเอาค่าไถ่ก็ได้ จนกระทั่งการทำสงครามได้สิ้นสุดลงด้วยการวางอาวุธ เช่นนั้นแหละ และหากอัลลอฮ.ทรงประสงค์แน่นอน พระองค์จะทรงตอบแทนการลงโทษพวกเขา แต่ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงทดสอบบางคนในหมู่พวกเจ้ากับอีกบางคน ส่วนบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าตายในทางของอัลลอฮ. พระองค์จะไม่ทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผลเป็นอันขาด"  (อัลกุรอาน สูเราะฮฺมูหัมหมัด 4)


โองการดังกล่าว บอกให้ทราบว่า คำสอนอัลกุรอานยังเปิดโอกาสให้พลเมืองที่พ่ายแพ้จากการโจมตีของชาวมุสลิมสามารถมีชีวิตได้ โดยอาจถูกจับเป็นเชลย และหลังจากนั้นพวกเขาถูกปล่อยเป็นไทหรือถูกเรียกเก็บค่าไถ่ก็ได้ตามคำตัดสินของผู้นำมุสลิม

พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า


قَاتِلُوا الَّذِينَ لَا يُؤْمِنُونَ بِاللَّهِ وَلَا بِالْيَوْمِ الْآخِرِ وَلَا يُحَرِّمُونَ مَا حَرَّمَ اللَّهُ وَرَسُولُهُ وَلَا يَدِينُونَ دِينَ الْحَقِّ مِنَ الَّذِينَ أُوتُوا الْكِتَابَ حَتَّىٰ يُعْطُوا الْجِزْيَةَ عَن يَدٍ وَهُمْ صَاغِرُونَ ( 29 )
“พวกเจ้าจงต่อสู้บรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และต่อวันปรโลก และไม่งดเว้นสิ่งที่อัลลอฮ์และร่อซูล ห้ามไว้ และไม่ปฏิบัติตามศาสนาแห่งความสัจจะ อันได้แก่บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ จนกว่าพวกเขาจะจ่ายอัล-ญิซยะฮ์ จากมือของพวกเขา เอง ในสภาพที่พวกเขาเป็นผู้ต่ำต้อย"
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัต-เตาบะฮฺ 9:29)

              อิสลามจึงให้โอกาสแก่พวกเขาเพื่อแลกเปลี่ยนจากการถูกฆ่าด้วยการที่ให้พวกเขายอมจ่ายอัล-ญิซยะฮฺ ซึ่งถือเป็นค่าที่มีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับการคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขา

บทบัญญัติของดตราห์ที่ว่าด้วยการปิดล้อมและเปิดเมืองแห่งพันธะสัญญา

คัมภีร์โตราห์ได้สั่งสอนให้ชาวยิวปฏิบัติต่อพลเมืองที่อยู่ในเมืองแห่งพันธะสัญญาว่า

ความว่า "หากเป็นพลเมืองอื่นที่อยู่ในเมืองแห่งพันธะสัญญาที่ถือเป็นมรดกของพระเจ้าที่มอบไว้ให้แก่พวกท่านแล้ว ท่านจงอย่าให้พวกเขาหลงเหลืออยู่เลย จงเข่นฆ่าพวกเขาให้สิ้น ท่านจงอย่าให้พวกเขาหลงเหลืออยู่เลย จงเข่นฆ่าพวกเขาให้สิ้นซาก โดยเฉพาะพลเมืองที่อาศัยอยู่ใน 6 เมืองหลักในบริเวณนครเยรูซาเล็มตามที่พระเจ้าได้สั่งสอนท่านไว้ ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสไม่ให้พวกเขาเผยแพร่คำสอนอันชั่วร้ายของพวกเขาแก่พวกท่านทั้งหลาย"

พลเมืองที่อาศัยอยู่ใน 6 ตัวเมืองดังกล่าว ต้องได้รับการลงโทษด้วยวิธีปลิดชีวิตสถานเดียว พวกเขาไม่มีโอกาสถูกเชิญชวนให้นับถือศาสนาของฝ่ายที่ประสบชัยชนะจากสงคราม หรือมีการประนีประนอมหยุดสงคราม ไม่มีหนทางอื่นเลยเว้นแต่คมดาบเท่านั้น พลเมืองเหล่านี้ต้องได้รับการลงโทษด้วยวาทกรรมแห่งกาฆ่าเผ่าพันธุ์ ทั้งๆที่พวกเขาไม่ได้มีความผิดอะไร เว้นแต่เข้าพำนักในแผ่นดินแห่งพันธะสัญญาเท่านั้น

นักปราชญ์ยิวที่ไห้การอรรถาธิบายคัมภีร์โตราห์ในเรื่องดังกล่าวได้อธิบายว่า
ความว่า "แท้จริงการที่พระผู้เป็นเจ้าสั่งให้ฆ่าพลเมืองที่ไม่ใช่ยิวที่อาศัยในเมืองดังกล่าว ก็เพราะเป็นการป้องกันชาวยิวไม่ให้ถูกบังคับให้เคารพภัคดีต่อบรรดาเจว็ดต่างๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วชาวยิวก็หาได้เข่นฆาพลเมืองที่ชั่วร้ายอย่างสิ้นซาก ตามคำบัญชาของอัลลอฮฺแต่อย่างใดไม่ ด้วยเหตุนี้บรรดาพลเมืองจึงจำต้องเผชิญกับการทำร้ายจากชาวยิวอย่างต่อเนื่อง  ทั้งการถูกฆ่าหรือทำลายทรพย์สินอย่างมากมาย  ซึ่งหากก่อนหน้านี้ชาวยิวได้ปฏิบัติคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าอย่างเคร่งครัด (โดยการเข่นฆ่าพวกเขาให้สิ้นซาก) บรรดาพลเมืองคงไม่ต้องประสบชะตากรรมเช่นปัจจุบัน"

               นักปราชญ์ชาวยิวได้เห็นชอบวาทกรรมแห่งการเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ปรากฏในคัมภีร์โตราห์ และพวกเขายังได้แสดงความเสียใจที่บรรดาพลเมืองยังเล็ดรอดจากความอำมหิตของดาบชาวยิว

              จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่ชาวยุโรปได้กระทำการต่อชาวอเมริกาใต้ช่วงการค้นพบดินแดนใหม่ๆ พวกเขาได้ปฏิบัติการเข่นฆ่าชาวอินเดียนแดง ซึ่งเป็นเผ่าพัีนธุ์ดั้งเดิมอย่างถอนรากถอนโคน เช่นเดียวกับชาวอังกฤษที่ได้ปฏิบัติต่อชาวพื้นเมืองออสเตรเลีย

              และมุสลิมรวมถึงคนทั่วโลกได้เห็นด้วยดวงตาเองแล้ว เกี่ยวกับความโหดร้าย ป่าเถื่อนของชาวยิวที่กระทำต่อชาวปาเลสไตน์ผู้บริสุทธิ์ พวกเขาได้ปฏิบัติการอันน่าสยดสยองต่อเพื่อนมนุษย์โดยไม่คำนึงถึงลูกเด็กเล็กแดง คนแก่คนชรา สตรี หรือประชาชนผู้หมดทางสู้

แท้จริงแล้วชาวยิวกำลังน้อมรับปฏิบัติตามคำสอนที่อยู่ในคัมีร์โตราห์ ที่กล่าวว่า

ความว่า "จงอย่าให้บรรดาพลเมืองในดินแดนแห่งพันธะสัญญามีชีวิตอยู่แม้แต่คนเดียว"

นี้คือคำสอนของคัมภีร์โตราห์ และนี้คือคำสอนของพระเจ้าของมูซา (โมเสส) และสาวกของเขา ซึ่งอิสลามเชื่อว่าถูกตัดต่อ เพิ่มเติมหรือสังคายนาจนไม่เหลือเค้าโครงของคัมภีร์โตราห์ฉบับเดิม....!!!



والله أعلم بالصواب

✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿



วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทั้งโลกกำลังถามว่า อิสลามคืออะไร ?



          ตามรายงานต่างๆในหนังสือพิมพ์ภาษาอาหรับที่แปลโดยสถาบันศึกษาวิจัยตะวันออกกลางปรากฏว่าหลังจากเหตุการณ์ถล่มตึกเวิร์ลเทรดเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 มีชาวอเมริกันพากันเข้ามารับอิสลามเป็นระลอก

อะลา บัยยูมี ผู้อำนวยการกิจการอาหรับที่สภาเพื่อความสัมพันธ์อเมริกัน-อิสลาม(CAIR)ได้เขียนไว้ในหนังสือพิมพ์ “อัลฮะยาต” ในลอนดอนว่า ขณะนี้ ชาวอเมริกันที่มิใช่มุสลิมกำลังให้ความสนใจอิสลามมากขึ้น ทั้งนี้เพราะมีสัญญาณต่างๆปรากฏให้เห็น เช่นหนังสือเกี่ยวกับอิสลามและตะวันออกกลางในห้องสมุดต่างๆถูกยืมไปจนไม่เหลือ...คัมภีร์กุรอานฉบับแปลภาษาอังกฤษจัดอยู่ในรายการหนังสือขายดีที่สุดของอเมริกา

นับตั้งแต่เหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน ชาวอเมริกันได้แสดงความตั้งใจที่จะเข้ารับอิสลามเพิ่มมากขึ้น...ชาวอเมริกันที่มิใช่มุสลิมหลายพันคนได้ตอบสนองคำเชิญชวนให้มาเยี่ยมมัสญิดเหมือนกับคลื่นทะเลที่พัดเข้าชายฝั่งเป็นระลอก

นายนิฮาด อาวาด ประธานองค์การแคร์(CAIR)ได้บอกหนังสือพิมพ์ “อุกาซ”ของซาอุดิอารเบียว่า “ชาวอเมริกันประมาณ 34,000 คนได้เข้ารับอิสลามแล้วหลังจากเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน และนี่เป็นอัตราสูงที่สุดในสหรัฐนับตั้งแต่อิสลามมาถึงที่นี่”

ดร.วะลีด ฟาติฮี อาจารย์คณะแพทย์ในวิทยาลัยแพทย์ฮาวาร์ดได้กล่าวว่าเมื่อไม่นานมานี้บอสตันได้กลายเป็นศูนย์กลางของการเผยแผ่อิสลามแก่ชาวคริสเตียน ในวันที่ 22 กันยายน ค.ศ.2001 เขาได้ส่งจดหมายไปยังนิตยสารรายสัปดาห์ “อัล-อะฮ์รอม”ของอียิปต์โดยเขาได้เล่าเหตุการณ์ต่างๆนับตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน ว่า


“วันเสาร์ที่ 15 กันยายน ผมกับภรรยาและลูกๆได้ไปที่โบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในบอสตัน(โบสถ์ไตรนิตี้)ในจตุรัสคอปเลย์เพราะได้รับเชิญอย่างเป็นทางการจากสมาคมอิสลามแห่งบอสตันเพื่อนำเสนอเรื่องราวของอิสลาม ผู้ที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้นมีนายกเทศมนตรีของบอสตัน ภรรยาของเขาและคณะบดีของมหาวิทยาลัยต่างๆพร้อมกับคนอีกกว่าหนึ่งพันคนโดยมีสื่อมวลชนจากสถานีโทรทัศน์สำคัญของบอสตันมาด้วย เราได้รับการต้อนรับเหมือนทูต ผมนั่งอยู่กับภรรยาและลูกๆในแถวหน้าถัดไปก็เป็นภรรยาของนายกเทศมนตรี บาทหลวงได้กล่าวคำเทศนาปกป้องอิสลามว่าเป็นศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวและบอกผู้ฟังว่าผมเป็นตัวแทนของสมาคมอิสลามแห่งบอสตัน

หลังจากกล่าวคำเทศนา บาทหลวงผู้นั้นก็มายืนข้างผมในขณะที่ผมอ่านคำแถลงการณ์ที่ออกโดยมุสลิมผู้ทรงความรู้ทางศาสนาซึ่งประณามการโจมตีนิวยอร์ค คำแถลงการณ์ได้อธิบายจุดยืน แนวความคิดและหลักการของอิสลาม นี่คือเวลาที่ผมจะไม่มีวันลืมเพราะว่าคนทั้งโบสถ์ได้หลั่งน้ำตาออกมาเมื่อได้ยินข้อความจากคัมภีร์กุรอาน

ความรู้สึกเกิดขึ้นกับเราทุกคน คนหนึ่งได้กล่าวกับผมว่า ‘ดิฉันไม่เข้าใจภาษาอาหรับแต่ไม่สงสัยเลยว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นเป็นถ้อยคำของพระเจ้า’

เมื่อเธอจากไป คนในโบสถ์ก็น้ำตาไหล ผู้หญิงคนหนึ่งได้เอากระดาษใส่มาในมือผม บนกระดาษแผ่นนั้นเขียนว่า ‘โปรดให้อภัยสำหรับอดีตของเราและปัจจุบันของเรา นำศาสนามาให้เราต่อไปเถิด’ ชายอีกคนหนึ่งยืนอยู่ที่ทางเข้าโบสถ์ ตาของเขาเอ่อไปด้วยน้ำตาและกล่าวว่า ‘คุณก็เหมือนกับเรา ไม่ คุณดีกว่าพวกเรา’” ฟาติฮีเล่าถึงวันถัดไปที่สมาคมอิสลามแห่งบอสตันได้เชิญเขาไปยังศูนย์กลางอิสลามในแคมบริดจ์


เราคิดว่าจะมีคนไม่เกินร้อย แต่เราต้องแปลกใจเมื่อมีคนมาถึงพัน ในจำนวนคนเหล่านั้นก็มีเพื่อนบ้าน อาจารย์มหาวิทยาลัย บาทหลวงและแม้แต่บรรดาผู้นำของบาทหลวงจากโบสถ์ใกล้เคียงที่เชิญเรามาพูดเรื่องอิสลาม ทุกคนได้แสดงความสมานฉันท์กับมุสลิม เราได้รับคำถามมากมาย ทุกคนต้องการที่จะรู้จักและเข้าใจแนวความคิดของอิสลาม

ในทุกคำถาม ไม่มีแม้แต่คำถามเดียวที่โจมตีผม ในทางตรงข้าม เราได้เห็นตาของผู้คนเอ่อไปด้วยน้ำตาเมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับหลักการและคำสอนของอิสลาม หลายคนไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับอิสลามมาก่อน พวกเขาได้ยินเกี่ยวกับอิสลามจากสื่อที่อคติเท่านั้น ในวันเดียวกันนั้นเองผมได้รับเชิญไปเข้าร่วมในงานประชุมที่โบสถ์อีกแห่งหนึ่งและก็ได้เห็นภาพเดียวกัน

ในวันพฤหัส คณะนักศึกษาและอาจารย์ประมาณ 300 คนจากฮาวาร์ดได้มาเยี่ยมสมาคมอิสลามแห่งบอสตันโดยมีทูตอเมริกันประจำเวียนนาร่วมมากับคณะด้วย พวกเขานั่งบนพื้นในมัสญิด เราได้อธิบายให้พวกเขารู้ถึงเรื่องของอิสลามและคลายความสงสัยของพวกเขาทุกอย่างที่ได้ยินมาจากสื่อ อีกครั้งหนึ่งที่ผมได้อ่านคัมภีร์กุรอานพร้อมความหมายและได้เห็นพวกเขาน้ำตาซึม พวกเขาฟังด้วยความสนใจและหลายคนขอที่จะมาเข้าร่วมชั้นเรียนประจำสัปดาห์ที่ศูนย์กลางอิสลามจัดขึ้นเพื่อคนที่มิใช่มุสลิม”

ฟาติฮีกล่าวว่าเมื่อวันที่ 21 กันยายน มุสลิมได้ไปเข้าร่วมการประชุมกับผู้ว่าการของรัฐแมสซาชูเซทส์โดยได้มีการพูดถึงเรื่องที่จะนำเอาอิสลามเข้าไปบรรจุไว้ในหลักสูตรของโรงเรียน เขาอ้างว่านายเจน สวิฟท์ผู้ว่าการรัฐตกลงที่จะดำเนินการตามแผนการของพวกเขา “นี่เป็นเพียงบางตัวอย่างของสิ่งที่ได้เกิดขึ้นและกำลังเกิดขึ้นในเมืองบอสตันและในอีกหลายเมืองในช่วงเวลาดังกล่าว” ฟาติฮีได้กล่าวต่อไปว่า “การเชิญชวนสู่อิสลามมิได้ถูกขัดขวางและไม่ได้ล้าหลังไป 50 ปีดังที่เราคิดในวันแรกหลังจากเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน ในทางตรงข้าม 11 วันที่ผ่านไปเหมือนกับ 11ปีในประวัติศาสตร์ของการเชิญชวนผู้คนสู่อิสลามในนามของพระเจ้า ผมเขียนจดหมายมาถึงคุณวันนี้ด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อิสลามจะแพร่ขยายในอเมริกาและในทั่วโลกอย่างรวดเร็วยิ่งกว่ามันแพร่หลายในอดีต อินชาอัลลอฮฺ (หากพระเจ้าทรงประสงค์) เพราะว่าขณะนี้ทั้งโลกกำลังถามว่า ‘อิสลามคืออะไร ?’

.......................................

เปรียบเทียบชื่อศาสนทูตในอิสลามเทียบกับยูดาย(ยิว)





ภาพเปรียบเทียบชื่อศาสนทูตอิสลามเทียบกับศาสนายูดาย(ยิว)



แผ่นผังสายตระกูลของท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม


ชาวเมืองในดินแดนอิสลามพิชิตต่างชื่นชอบมุสลิม






                ผู้ติดตามประวัติศาสตร์การพิชิตดินแดนของอิสลาม จะพบว่า ชาวเมืองที่อิสลามเข้าพิชิตนั้น ต่างก็รักมุสลิมอย่างมาก จนกระทั้งเลือกเอามุสลิมเป็นผู้ตัดสินแทนผู้ที่นับถือศาสนาเดียวกันกับพวกเขา
อย่าง ชาวคริสต์เมืองชาม มีหนังสือถึงท่านอบีอุบัยดะฮฺ ซึ่งอยู่ที่ค่ายทหารหนึ่งว่า
“ชาวมุสลิมทั้งหลาย พวกท่านเป็นที่รักสำหรับพวกเรายิ่งกว่าชาวโรม ถึงแม้ว่าชาวโรมจะอยู่ในศาสนาเดียวกับพวกเราก็ตาม และพวกท่านซื่อสัตย์ต่อพวกเรา สุภาพอ่อนโยน ไม่กดขี่ขมเหงพวกเรา ปกครองดูแลพวกเราเป้นอย่างดี แต่ชาวโรมนั้นคุกคามกิจการงาน และบ้านเรือนของพวกเรา...” (หนังสือ ฟุตูฮุชชาม ของท่านอัลอัซดีย์ อัลบัศรีย์ หน้า 97)

-ประชาชนเมือง ฮิมศฺ ปิดประตูเมืองไม่ยอมให้ทหารของฮิรากฺลิอูซเข้า และพวกเขาประกาศให้ชาวมุสลิมทราบว่าพวกเขาชื่นชอบที่จะอยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิมมากกว่าจะอยู่ภายใต้การกดขี่ข่มเหง และละเมิดสิทะฮิ์ของชาวโรม (หนังสือ ฟุตูฮุลบุลดาน ของท่านบะลาซิรีย์ หน้า 137)

เหตุการณ์การสู้รบสมภูมิ “อัลญิสรฺ” ในปีที่ 13 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช ฝ่ายมุสลิมเกือบจะพ่ายแพ้ เพราะถุกปิดล้อมอยู่ระหว่างแม่น้ำยูเฟรติสจากทหารเปอร์เซีย ในสถานการณ์คับขันเช่นนั้น ปรากฏว่า ผู้นำชาวคริสต์จากเผ่าฏอยอฺนำทหารเข้ามาสมทบกับท่านแม่ทับมุษันนา ซึ่งเป็นแม่ทัพฝ่ายมุสลิม และให้การสนับสนุนจนกระทั่งฝ่าวงล้อมออกมาได้

-ชาวอียิปต์ให้การต้อนรับมุสลิม เพราะพวกเขาได้รับความยุติธรรม ความใจกว้าง และการเผื่อแผ่ของชาวมุสลิม หลังจากพวกโรมได้กระทำการกดขี่พวกเขาอย่างที่สุดมาแล้ว เมื่อญิสติยาน(ชาวโรมป ได้สังหารชาวอียิปต์ 200,000 คน ที่เมืองอเล็กวานเดรีย ทำให้ชาวอียิปต์จำนวนมากต้องหลบหนีออกไปอยู่ในท้องทะเลทราย แม้แต่นักบวชที่อยู่ในโบสถ์ก็ต้องหนีออกไปด้วย และเมื่อท่านอัมรฺ อิบนุล อ๊าซ มาถึงก็ได้ให้ความปลอดภัยแก่นักบวชทั้งหลาย

-ผู้บัญชาการของท่านฆ่อลีฟะฮฺ อัลมัวอฺตะซิม (ฮ.ศ.218-237) มีคำสั่งเฆี่ยนอิมาม และมุอัซซิน เพราะทั้งสองคนร่วมกันทำลายโบสถ์ของชาวมะญูซ (บูชาไฟ) เพื่อจะนำหินไปสร้างมัสยิดแทน

-กองกำลังมุสลิมเมื่อทำหน้าที่พิชิตเมืองหนึ่งเมืองใดเสร็จแล้ว ก็จะถอนกองกำลังออกไปเพื่อพิชิตเมืองอื่นๆ แต่ทำไมชาวเมืองที่ถูกพิชิต จึงไม่หันมาเป็นศัตรูกับมุวลิม คำตอบคือ เพราะพวกเขาพบศาสนาที่ยิ่งใหญ่ พบแนวทางอันเที่ยงตรง พบจรรยามารยาทอันสูงส่ง

โทมัส อารโนลด์ กล่าวว่า “เท่าที่ชาวคริสต์ยังคงเก็บเอาความมั่งคั่งมากมาย และเสวยสุขจากความสำเร็จในช่วงยุคต้นๆแห่งอิสลามเอาไว้ได้ ก็เพราะความประเสริฐของอิสลามที่ได้ให้หลักประกันในการคุ้มครองอิสรภาพในด้านความเชื่อและการปกครองแก่พวกเขา (หนังสือ อินติชารุลฺอิสลาม หน้า 60)

การพิชิตดินแดนของกองกำลังอิสลาม จุดประสงค์อยู่ที่แผ่ขยายความเป็นธรรม แจ้งข่าวให้ผู้คนทราบเกี่ยวกับศาสนาของอัลลอฮฺ คือ อิสลาม ทุกคนที่ได้เข้ารับอิสลามคือมุสลิมฐานะเท่าเทียมกับมุสลิมคนอื่นๆ ทัดเทียมกับมุสลิมผู้ทำหน้าท่พิชิตอิสลามเป็นศาสนาของอัลลอฮฺ ผู้ใดศรัทธาเขาก็มีเกียรติและภาคภูมิใจในอิสลาม และจะปกปักษ์รักษาอิสลาม ไม่มีความแตกต่าง ระหว่างผู้เข้าอิสลามเดิมๆ หรือผู้เข้าอิสลามใหม่ ความเป็นอาหรับนั้นอยู่ที่ภาษา ไม่ใชเชื้อชาติ ผู้ใดพูดภาษาอาหรับเขาก็เป็นอาหรับ

การพิชิตดินแดนของอิสลาม ไม่ใช่การฆ่า หลั่งเลือด ไม่ฆ่าเชลย ไม่ฆ่าสตรี ไม่ฆ่าเด็ก และทาส ไม่มีการทำลายล้างพังทลายบ้านเรือน และสูงส่งเกินกว่าข้อตำหนิใดๆ ไม่มีการปล้นสะดม พร้อมกันนั้นยังมีลักษณะการปฏิบัติการอันสูงส่ง สุภาพและคงความยุติธรรม นีคือการพิชิตดินแดนของกองกำลังอิสลาม

อาดัม เมทซ์ กล่าวว่า “เป็นประเพณีตั้งแต่ยุคเริ่มแรกของอิสลามมาแล้วว่าจะไม่เรียกทาส แต่จะเรียก ชายหนุม จะไม่เรียกทาสผู้หญิงว่า ทาสี แต่จะเรียกว่า หญิงสาว และส่วนหนึ่งของผู้ที่มีความยำเกลงอัลลอฮฺ และมีจิตใจสูงส่งเขาจะต้องไม่ตบตีทาสของเขา..”

“ความยืดหยุ่น ผ่อนปรนของมุสลิม ในการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกับชาวยิว ชาวคริสต์ เป็นความผ่อนปรนที่ไม่เคยมีมาก่อนในสมัยกลาง...”
(อัลฮธฎอเราะฮฺ อัลอิสลามียะฮฺ)


والله أعلم بالصواب

✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿


วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ยิวที่ปรากฏในอัลกุรอาน




                     กล่าวได้ว่า อัลกุรอานที่ไม่ปรากฏความเท็จใดๆ ทั้งเบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง เป็นตำราเล่มเดียวที่ได้เปิดโปงพฤติกรรมโฉดของยิวได้อย่างละเอียดและถูกต้องที่สุด นับเป็นเหตุผลลึกๆ ประการหนึ่งในอิสลามที่บัญญัติให้มุสลิมผู้บรรลุศาสนภาวะทุกคน ให้ทวนอ่านซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺ ซึ่งเป็นปฐมซูเราะฮฺในอัลกุรอานอย่างน้อยวันละ 17 ครั้งตามจำนวนร็อกอัตละหมาดภาคบังคับ โดยในตอนท้ายของซูเราะฮฺนี้ อัลกุรอานได้พูดถึงกลุ่มชนที่อัลลอฮ์ ทรงกริ้วที่มุสลิมทุกคนจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษและอย่านำเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า กลุ่มชนดังกล่าวก็คือยิวนั่นเอง นักอรรถาธิบายอัลกุรอานได้อธิบายเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่อัลลอฮ์ ทรงโกรธกริ้วพวกเขา เนื่องจากพวกเขาเป็นกลุ่มปัญญาชน มีความรอบรู้ เปี่ยมด้วยวิชาการ แต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามความรู้ที่ได้มาเลย เป็นซาตานในคราบบัณฑิต จิตทรามในคราบนักบุญตั้งแต่ยุคแรกจวบจนปัจจุบัน


         ชาวยิวได้บิดเบือนศาสนาคริสเตียนนับตั้งแต่ยุคแรกๆ ของคริสตร์ศตวรรษด้วยการดัดแปลงตัดต่อเพิ่มเติมศาสนาคริสเตียนจนไม่เหลือเนื้อความเดิม และพวกเขาได้ใช้ความพยายามในการบิดเบือนศาสนาอิสลามในยุคแรกของฮิจเราะฮฺศักราชเช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากอัลลอฮ์ ได้ประกันที่จะพิทักษ์รักษาศาสนานี้จนกระทั่งวันกิยามะฮฺ(วันสิ้นโลก) พวกเขาจึงไม่สามารถดัดแปลงศาสนาอิสลามตามแผนการที่ได้วางไว้ ถึงแม้จะมีกลุ่มมุสลิมในบางยุคบางสมัย หลงผิดติดอยู่ในกับดักคำสอนอันแปลกปลอมที่อุตริโดยยิวอยู่บ้าง แต่ก็มีนักวิชาการมุสลิมผู้บริสุทธิ์ลุกขึ้นมาตอบโต้และทำหน้าที่ชำระขยะคำสอนของผู้อุตริ  แยกกระพี้ออกจากแก่นแกนอยู่ตลอดเวลา


          ผู้ใดก็ตามที่ศึกษาเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โลก ไม่ว่าการปฏิวัติ การฆาตรกรรมอันลึกลับสลับซับซ้อนกระฉ่อนโลก หรือแม้กระทั่งสงครามโลกทั้งสองครั้งที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีเงาทมึนของยิวเข้าไปเกี่ยวข้องทุกครั้ง ไม่ว่าในฐานะผู้ปฏิบัติ ผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังหรือผู้ได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์ที่แท้จริง


          สำหรับยิวแล้ว พวกเขาถือมั่นว่า ชาวยิวคือกลุ่มชนที่อัลลอฮ์ ได้คัดสรรแล้ว อัลลอฮ์ ได้สร้างพวกเขาจากธาตุดินชนิดพิเศษที่แปลกจากธาตุดินอันเป็นส่วนประกอบของมนุษย์ทั่วไป อัลลอฮ์ ได้สร้างพวกเขาในรูปแบบของมนุษย์ในลักษณะเฉพาะ ในคัมภีร์โตราห์ที่ถูกบิดเบือนระบุว่า ชนที่ไม่ใช่ยิวเกิดจากน้ำอสุจิของลา พวกเขามีฐานะเท่าเทียมกับสัตว์ที่มีหน้าที่คอยให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่ยิวเท่านั้น ดังนั้นเพื่อให้การบริการนี้สะดวกขึ้น อัลลอฮ์ จึงสร้างกลุ่มชนที่ไม่ใช่ยิวเป็นรูปมนุษย์แทน บ้านและที่อยู่อาศัยของชนที่ไม่ใช่ยิวเปรียบเสมือนคอกสัตว์เท่านั้น จึงไม่แปลกสำหรับพวกเขาที่จะยึดครองและทำลายทรัพย์สินของคนอื่นไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตาม พวกเขาจึงสามารถย่ำยี บุกรุก รุกรานราวีใครก็ได้ตามอำเภอใจ


        เนื่องจากนบีดาวูดและนบีสุลัยมานเคยเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งครอบครองอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาล ในฐานะที่เป็นวงศ์วานของนบีทั้งสองท่าน ยิวจึงมีความรู้สึกว่าจำเป็นต้องสืบสานอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษนี้ไว้ ถึงแม้จะต้องกดขี่ข่มเหงสร้างความเดือดร้อนแก่มนุษยชาติในทุกหย่อมหญ้าก็ตาม พวกเขาได้แอบอ้างการกระทำของนบีมูซาครั้นยังอยู่ในวัยหนุ่มซึ่งได้เข้าไปช่วยเหลือชาวอิสรออีล ซึ่งกำลังต่อสู้กับชาวอิยิปต์คนหนึ่ง นบีมูซาได้ฆ่าชาวอิยิปต์คนนี้ พวกเขาจึงบิดเบือนเหตุการณ์นี้เพื่อเป็นใบเบิกทางสร้างความชอบธรรมที่จะเข่นฆ่าใครก็ได้ที่เป็นศัตรูของยิว ทั้งๆ ที่นบีมูซาไม่ได้ตั้งใจที่จะฆ่าชาวอิยิปต์คนนั้นเลย เพียงแค่ต้องการให้ความช่วยเหลือแก่พรรคพวกเดียวกัน จึงไปชกต่อยเข้าข้างชาวอิสรออีล ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ชาวอิยิปต์คนนั้นเสียชีวิตไป นบี  มูซาก็สำนึกผิดและเสียใจกับการกระทำนี้ถึงกับกล่าวว่า นี่คือเป็นการกระทำของมารร้าย แท้จริงมันคือศัตรูอันชัดแจ้ง นบีมูซาจึงขอลุแก่โทษจากการกระทำตามอารมณ์ชั่ววูบนี้ และอัลลอฮ์ ก็ทรงอภัย เกี่ยวกับเรื่องนี้อัลลอฮ์ ได้กล่าวในอัลกุรอานว่า


ความว่า

  “และเมื่อเขา(มูซา) บรรลุความเป็นหนุ่มและเติบโตเต็มที่แล้วเราได้ให้ความเข้าใจและความรู้แก่เขา และเช่นนั้นแหละ เราจะตอบแทนแก่บรรดาผู้กระทำความดี (14)

และเขา (มูซา) ได้เข้าไปในเมือง ขณะที่ชาวเมืองกำลังพักผ่อนเขาได้เห็นชายสองคนต่อสู้กันอยู่ในนั้น คนหนึ่งมาจากพวกพ้องของเขาและอีกคนหนึ่งมาจากฝ่าย (ที่เป็น) ศัตรูของเขา ดังนั้น คนที่มาจากพวกพ้องของเขาได้ร้องขอความช่วยเหลือ เพื่อให้ปราบฝ่ายที่เป็นศัตรูของเขา มูซาได้ต่อยเขาแล้วได้ฆ่าเขา เขากล่าวว่า “นี่มันเป็นการกระทำของชัยฏอน แท้จริงมันเป็นศัตรูที่ทำให้หลงผิดอย่างแจ้งชัด (15)


เขาจึงกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์ได้อธรรมต่อตนเอง ดังนั้นขอพระองค์ทรงอภัยให้แก่ข้าพระองค์ด้วย  แล้วพระองค์ก็ได้อภัยให้เขา แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ (16)


เขาได้กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ การที่พระองค์ได้ทรงโปรดปรานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่เป็นผู้สนับสนุนผู้กระทำผิดอีกต่อไป” (17)  (อัลกอศ็อศ 28 : 14-17)


          ทั้งๆ ที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เมื่อครั้นที่มูซายังไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นนบี  และนบีมูซาก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมตั้งเจตนารมณ์ว่าจะไม่สนับสนุนผู้กระทำผิดเยี่ยงตนเองอีกแล้ว คล้ายกับเป็นการส่งสัญญาณอะไรบางอย่างให้กับชาวยิว แต่ชาวยิวก็ดัดแปลงคำสอน และหยิบยกเหตุการณ์นี้เพื่อสร้างความชอบธรรมและเป็นต้นแบบสำหรับการฆ่าคนอื่นได้อย่างไม่ละอายฟ้าดิน


          บนพื้นฐานแนวคิดนี้ ยิวจึงสามารถขโมยทรัพย์สินผู้อื่น หลอกลวง โกหกมดเท็จ กินดอกเบี้ย ผิดประเวณี ปฏิบัติตนต่อมนุษย์ด้วยวิธีการที่ฝ่าฝืนคุณธรรมและจริยธรรมอันดีงาม หรือแม้กระทั่งการเข่นฆ่าชีวิตที่บริสุทธิ์ก็ตาม จึงไม่เห็นแปลกที่เราพบว่ายิวได้ปฏิบัติต่อชาวโลกที่ทารุณโหดเหี้ยมเช่นใด และสร้างความเจ็บแค้น เอือมระอาให้กับชาวโลกตามปรากฏในประวัติศาสตร์อันมากมายแค่ไหน เมื่อมีการนึกถึงความสุดยอดของความชั่วร้ายของคนๆ หนึ่งซึ่งประกอบด้วยความอิจฉาริษยา การหลอกลวง ชอบยุแหย่ผู้คนเข้าทำนองยุให้รำตำให้รั่ว เอารัดเอาเปรียบ ตระหนี่ขี้เหนียว เจ้าเล่ห์เพทุบาย เป็นคนร้อยลิ้นกะลาวน  ลิ้นกระด้างคางแข็ง ระยำตำบอน เกือบทุกสังคมในโลกนี้จะต้องนึกถึงและชี้หน้าไปที่ชาวยิว พวกเขาจึงเป็นตำนานแห่งความชั่วร้ายที่ยังมีชีวิตที่สามารถพิสูจน์ได้ตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน และอัลลอฮ์ ได้เปิดโปงสันดานโฉดนี้ในอัลกุรอาน ให้ผู้ศรัทธาได้ทบทวนอ่านเพื่อจำไว้เป็นบทเรียนจนกระทั่งวันกิยามะฮ์

          ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากประเทศปอร์ตุเกสและสเปน ยิวถูกไล่ออกจากประเทศอังกฤษเมื่อปี คศ.1290 และจากประเทศฝรั่งเศสสองครั้งคือครั้งแรกในปีคศ. 1306 และครั้งที่สองในปีคศ.1394  พวกเขาถูกเนรเทศจากเบลเยี่ยมเมื่อคศ.1370 จากเชคโกสโลวาเกียในคศ.1380  ฮอลแลนด์ขับไล่พวกยิวออกจากประเทศเมื่อคศ.1444  อิตาลีขับไล่ออกมาเมื่อคศ.1540 พวกเขาถูกขับจากเยอรมันในคศ.  1551 ส่วนรัสเซียเนรเทศออกมาเมื่อปีคศ.1510  การถูกเนรเทศกลายเป็นธรรมเนียมชีวิตของชาวยิวมาตั้งแต่ต้นแล้ว และถ้าเรามองดูประวัติศาสตร์ของยิวตอนต้นๆ ก็จะพบว่าพวกเขาได้พบชะตาชีวิตอย่างเดียวกันมาตลอด มันเป็นโทษทัณฑ์และคำสาปแช่งของพวกเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเรียกตัวเองว่าอย่างหลอกตัวเองว่า “ประชาชาติที่พระเจ้าทรงเลือก” ก็ตามที


          การที่พวกเขาถูกเนรเทศและได้รับการดูถูกเหยียดหยามจากประชาคมโลกนี้ เป็นเพราะพวกเขาปฏิเสธคำสอนของอัลลอฮ์ สร้างศัตรูกับมวลมนุษย์และเข่นฆ่าบรรดาศาสดา มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮ์ ซึ่งได้กล่าวในอัลกุรอานว่า ความว่า

 
"ความต่ำช้าได้ถูกฟาดลงบนพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเขาถูกพบ นอกจากด้วยสายเชือกจากอัลลอฮฺ (พวกเขาจะพ้นจากความต่ำช้าได้ก็ต่อเมื่อพวกเขายึดมั่นคำสอนของอัลลอฮ์ เท่านั้น)และสายเชือกจากมนุษย์(การมีชีวิตความเป็นอยู่ร่วมกับผู้ศรัทธาด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่ตั้งตนเป็นศัตรูและบ่อนทำลาย) และพวกเขาจะนำความกริ้วโกรธจาก อัลลอฮฺกลับไป และความขัดสนก็จะถูกฟาดลงบนพวกเขา นั่นก็เพราะว่าพวกเขาเคยปฏิเสธบรรดาโองการของอัลลอฮฺ และฆ่าบรรดานบีโดยปราศจากความเป็นธรรม นั่นก็เนื่องจากการที่พวกเขาดื้อดึง และเคยทำการละเมิด" (อาละอิมรอน 3 : 112)


          เพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจเข้าถึงธาตุแท้ถึงสันดานยิว ขอให้ท่านผู้อ่านศึกษา   อัลกุรอานในอายะฮฺที่จะกล่าวนี้


ความว่า

           และเราได้แจ้งแก่วงศ์วานของอิสรออีลในคัมภีร์ว่า พวกเจ้าจะก่อการเสียหายในแผ่นดินสองครั้ง  และแน่นอน พวกเจ้าจะโอหังยโสยิ่ง (4)

              ดังนั้น เมื่อสัญญาหนึ่งในสองครั้งได้มาถึง เราได้ส่งบรรดาบ่าวของเราผู้มีอำนาจเข้มแข็งเข้าครอบครองพวกเจ้า แล้วพวกเขาได้บุกเข้าค้นตามบ้านเรือนและมันเป็นสัญญาที่ได้เกิดขึ้นแล้ว(5)

             และเราได้ให้พวกเจ้ากลับมีอำนาจเหนือพวกเขา และเราได้ให้พวกเจ้ามีทรัพย์สินและบุตรหลาน และเราได้ทำให้พวกเจ้ามีรี้พลมากมาย (6)

             หากพวกเจ้าทำความดี พวกเจ้าก็ทำเพื่อตัวของเจ้าเอง และหากว่าพวกเจ้าทำความชั่วก็เพื่อตัวเองดังนั้น เมื่อสัญญาอีกข้อหนึ่งได้มาถึง เพื่อพวกเขาก่อความอับอายขายหน้าแก่พวกเจ้า และเพื่อเข้าไปในมัสยิดเช่นที่พวกเขาได้เข้าไปแล้วในครั้งแรก และเพื่อทำลายสิ่งที่พวกเขาได้ชัยชนะอย่างหมดสิ้น(7)

              หวังว่าพระเจ้าของพวกเจ้าจะทรงเมตตาแก่พวกเจ้า และหากพวกเจ้ากลับมา (ก่อกวน)อีกเราก็โต้กลับ และเราได้ให้นรกเป็นที่คุมขังสำหรับผู้ปฏิเสธศรัทธา (8) (อัลอิสเราะอฺ 17 : 4-8)


          อัลกุรอานจำนวน 5 อายะฮฺดังกล่าวข้างต้น ได้อธิบายให้เราทราบว่า วงศ์วานของอิสรออีล ซึ่งได้แก่ยิวผู้เป็นลูกหลานของนบียะกู๊บเป็นผู้ก่อความเสียหายบนแผ่นดิน ทุกครั้งที่พวกเขามีอำนาจ ก็จะเหิมเกริม ยโสโอหัง และสร้างความวุ่นวายบนผืนแผ่นดิน หลังจากนั้น อัลลอฮ์  ก็จะส่งบ่าวของพระองค์ที่เข้มแข็งเข้าไปปราบปรามพวกเขา จนพวกเขาต้องกระจัดกระจายบนพื้นแผ่นดิน ดังที่      อัลกุรอานกล่าวว่า


ความว่า   " และเราได้แยกพวกเขาออกเป็นกลุ่มๆ ในแผ่นดิน (คือให้กระจัดกระจายไปอยู่ทุกประเทศในแผ่นดิน)" (อัลอะร็อฟ7 : 168)


          หลังจากนั้น พวกเขาก็กระจัดกระจายทั่วทุกมุมโลก แต่ด้วยความฉลาดแกมโกงของพวกเขา จึงสามารถกลับมีอำนาจขึ้นมาใหม่พร้อมด้วยทรัพย์สินเงินทอง และเหล่าบริวารรี้พลอันมากมาย พวกเขาก็จะหวนกลับกระทำความเดือดร้อนแก่ชาวโลกอีกครั้ง แต่อัลลอฮ์ ก็สัญญามั่นว่า  หากพวกเขากลับมาก่อกวนอีก อัลลอฮ์ ก็โต้กลับด้วยการลงโทษทัณฑ์พวกเขาจากพระองค์เช่นเดียวกัน    อัลลอฮ์ ได้กล่าวไว้ว่า

         
ความว่า "และจงรำลึกขณะที่พระเจ้าของเจ้าได้แจ้งให้ทราบว่า แน่นอนพระองค์จะส่งมาให้มีอำนาจเหนือพวกเขาจนถึงวันกิยามะฮฺ ซึ่งผู้ที่จะบังคับขู่เข็ญพวกเขา ด้วยการทรมานอันร้ายแรง แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น ทรงเป็นผู้รวดเร็วในการลงโทษและแท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเอ็นดูเมตตา" (อัลอะร็อฟ 7 : 167)


นอกจากนี้อัลกุรอานได้เปิดโปงนิสัยประจำตัวของยิว ส่วนหนึ่งได้แก่


1. ชอบละเมิดสัญญา              อัลลอฮ์ กล่าวว่า

  ความว่า "และคราใดที่พวกเขาได้ให้คำมั่นสัญญาใด ๆ ไว้ กลุ่มหนึ่งในพวกเขาก็เหวี่ยงสัญญานั้นทิ้งเสียกระนั้นหรือ ? หามิได้ส่วนมากของพวกเขาไม่ศรัทธาต่างหาก"   ( อัลบะเกาะเราะฮ 2 : 100)

 
2. ไม่มีความซื่อสัตย์ คดโกง โกหกตอแหล   อัลลอฮ์ กล่าวว่า

ความว่า  "และเจ้าก็ยังคงมองเห็นอยู่ในการคดโกงจากพวกเขานอกจากเพียงเล็กน้อยในหมู่พวกเขาเท่านั้น" (อัลมาอิดะฮ 5 :13)


3. บิดเบือนคัมภีร์         อัลลอฮ์  กล่าวว่า

    ความว่า" จากบางคนในหมู่ผู้เป็นยิวนั้น พวกเขาบิดเบือนบรรดาถ้อยคำให้ออกจากที่ของมัน "(อันนิสาอฺ 4: 46)  

 
4. ฆ่าบรรดาศาสดา      อัลลอฮ์   กล่าวว่า
 
    ความว่า "แท้จริงนั้นเราได้เอาสัญญาแก่วงศ์วานอิสราอีล และเราได้ส่งบรรดารอซูลมายังพวกเขา ทุกครั้งที่  รอซูลคนใดนำสิ่งที่จิตใจของพวกเขาไม่ชอบมายังพวกเขาแล้ว กลุ่มหนึ่ง พวกเขาก็ปฏิเสธ และอีกกลุ่มหนึ่งพวกเขาก็ฆ่าเสีย"  ( อัลมาอิดะฮ 5: 70)


5. ฆ่าบรรดาผู้เชิญชวนสู่อัลลอฮ   อัลลอฮ์  ได้กล่าวว่า
             
      ความว่า  "และพวกเขาฆ่าบรรดาผู้ที่ใช้ให้มีความยุติธรรม จากหมู่ประชาชนนั้น"  (อาลิอิมรอน 3 : 21)

 
6. แสดงมารยาททรามต่ออัลลอฮ์         อัลลอฮ์ กล่าวว่า  
           
ความว่า "แน่นอนยิ่ง อัลลอฮทรงได้ยินคำพูดของบรรดา(พวกยิว)ผู้ที่  กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ ยากจน และพวกเรานั้นเป็นผู้มั่งมี เราจะจารึกสิ่งที่พวกเขาได้กล่าวไว้ "(อาลิอิมรอน3:181)

 
7. จิตใจแข็งกระด้าง       อัลลอฮ์ กล่าวว่า  
                           
  ความว่า "แล้วหลังจากนั้น หัวใจของพวกเจ้าก็แข็งกระด้าง มันประดุจหิน หรือแข็งกระด้างยิ่งกว่า " (อัลบะเกาะเราะฮ 2 :74)

 
8. เคียดแค้นและเป็นศัตรูมุสลิมอย่างรุนแรง      อัลลอฮ์ กล่าวว่า

ความว่า "แน่นอนเจ้าจะพบว่า หมู่ชนที่เป็นศัตรูอันรุนแรงแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธานั้นคือชาวยิว และบรรดาผู้ที่ให้มีภาคีแก่อัลลอฮ์" (อัลมาอิดะฮฺ 5 : 82 )


         นี่คือส่วนหนึ่งของคุณสมบัติประจำตัวชาวยิวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ถึงแม้วันเวลาผ่านไป แต่ประวัติศาสตร์มักหวนกลับเข้าสู่วงจรเดิมอยู่เสมอ มาตรการ กลยุทธและผู้แสดงอาจแตกต่างกันบ้างตามยุคสมัย แต่เค้าโครงเรื่องก็มาจากต้นฉบับอันเดียวกัน มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์อันเดียวกันซึ่งได้รับการตกผลึกมาจากพฤติกรรมทางสังคม ความเชื่อพื้นฐานและทัศนคติอันเดียวกัน มีคำตอบที่คล้ายคลึงกัน และท้ายสุดแล้วก็จะได้รับการโทษทัณฑ์จากอัลลอฮ์ ในลักษณะเช่นเดียวกัน เพราะนี่คือวิถีแห่งอัลลอฮ์ ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงและไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งวันกิยามะฮ์    (วันสิ้นโลก)
           

ที่มา : จากหนังสือ"ปาเลสไตน์ แผ่นดินที่ไร้ประชาชน เพื่อทรชนผู้ไม่มีแผ่นดิน"

ผู้เขียน : มัสลัน มาหะมะ

الكاتب : مرسلان محمد

สถาบันอัสสลาม มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา

ศาะลาฮุดดีน อัล อัยยูบียฺ วีรบุรุษผู้ปลดปล่อยเยรูซาเล็ม





         เศาะลาฮุดดีนมีชื่อเต็มว่า เศาะลาฮฺ อัด-ดีน ยูซุฟ อิบนุอัยยูบ เรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า อัลมาลิก อันนาศิรฺ เศาะลาฮฺ อัด-ดีน ยูซุฟ เป็นสุลต่านปกครองอียิปต์ ซีเรีย เยเมน และปาเลสไตน์เป็นผู้ก่อตั้งราชวงค์อัยยูบี เป็นบุคคลสำคัญในการต่อต้านพวกครูเสดจนสามารถจนสามารถปลดปล่อยเยรูซาเล็มจากการปกครองของพวกแฟรงก์ และนำความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญให้แก่คริสเตียนในสงครามครูเสดครั้งที่สามด้วยความอัจฉริยภาพที่มีอยู่ในตัวท่าน

        เศาะลาฮุดดีนมาจากครอบครัวชาวเคิร์ดที่มีเกียรติ ในคืนที่ท่านเกิดนั้นบิดาของท่านคือนัจญมุดดีน อัยยูบ ได้พาครอบครัวอพยพไปยังเมืองฮะลัป(Aleppo)ซึ่งขณะนั้นมีนูรุดดีนซังกีมุสลิมเชื้อสายเติร์กเป็นผู้ปกครองดินแดนทางตอนเหนือของซีเรีย ท่านใช้ชีวิตในวัยเด็กที่บะอัลบักและดามัสกัส ชีวิตในวัยเด็กส่วนใหญ่ใช้เวลาหมดไปกับการศึกษาวิชาการศาสนาโดยเรียนวิชาการด้านการทหารอยู่บ้าง ท่านทำงานครั้งแรกด้วยการเข้าร่วมทัพกับลุงของท่าน อะซาดุดดีน ชิรฺกุฮฺซึ่งเป็นแม่ทัพคนสำคัญของอามีรฺ นูรุดดีน ซังกี เมื่อครั้งที่ชิรฺกูฮนำกองทัพเข้าสู่อียิปต์ตามคำร้องของเคาะลีฟะฮฺ อัลอาฏิดที่อยู่ในอียิปต์เพื่อต่อต้านพวกครูเสดที่บุกเข้ามาและจัดการกับชาวุรฺอุปราชของอียิปต์ที่ร่วมมือกับพวกครูเสดดังกล่าว เมื่อชิรฺกุฮฺยกทัพไปถึงชานเมืองพวกครูเสดจึงล่าถอยออกไป จากนั้นเคาะลีฟะฮฺได้สำเร็จโทษชาวุรและแต่งตั้งชิรฺกุฮฺเป็นอุปราชแทน หลังจากนั้นเพียงสองเดือนชิรฺกุฮฺซึ่งเป็นลุงของเศาะลาฮุดดีนก็เสียชีวิตลง ตำแหน่งอุปราชจึงตกเป็นของเศาะลาฮุดดีนแทน โดยมีนามตามตำแหน่งว่า อัลมาลิกอันนาศิรขณะนั้นท่านมีอายุเพียง 31 ปี
         ในปีค.ศ. 1171 ท่านได้ยกเลิกตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺแห่งราชวงศ์ฟาติมิยะฮฺซึ่งเป็นชีอะฮฺ และได้นำแนวทางซุนนะฮฺโดยเริ่มจากการปลดผู้พิพากษาชีอะฮฺออกจากตำแหน่งแล้ว แต่งตั้งผู้ที่ยึดมั่นในแนวทางซุนนะฮฺ และได้จัดตั้งโรงเรียนต่างๆซึ่งส่วนใหญ่สอนตามแนวมัซฮับชาฟิอีย์ทั้งใน อียิปต์ เยรูซาเล็มและดามัสกัส ถึงแม้จะมีอำนาจสูงสุดในอียิปต์แต่ท่านก็ยังคงยอมอยู่ภายใต้อำนาจของนูรุดดี น จนกระทั่งอามีรฺนูรุดดีนเสียชีวิตในปีค.ศ.1174 เศาะลาฮุดดีนจึงรวบซีเรียมาอยู่ในอำนาจเพื่อคุมเชิงพวกคริสเตียนในเอธิโอเปียไม่ให้มายุ่งเกี่ยวกับพวกครูเสด แต่ท่านยังคงยอมรับในอำนาจการปกครองเคาะลีฟะฮฺแห่งอับบาสิยะฮฺ ช่วงนี้ท่านจึงกลายเป็นสุลต่านและรวบรวมมุสลิมที่อยู่ในซีเรีย ปาเลสไตน์  อียิปต์ และอัลญะซีเราะฮฺ(ตอนเหนือของอิรัก)ให้เป็นหนึ่งเดียว ชื่อเสียงของท่านเริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะที่เป็นนักรบที่กล้าหาญ เฉลียวฉลาดมีความยุติธรรม โอบอ้อมอารีในการปฏิบัติแก่ผู้แพ้ เป็นที่ยกย่องแม้แต่ศัตรูจนถึงขนาดที่ว่าพวกค็อปติก(คริสเตียนออทอดอกซ์ใน อียิปต์)เอารูปวาดของเศาะลาฮุดดีนวางไว้ที่แท่นบูชาในโบสถ์ ท่านเป็นคนที่มุ่งมั่นในการญิฮาด เป็นคนอุปถัมภ์วิทยาการ และส่งเสริมอุลามาอ์ให้สร้างสถานศึกษา มัสญิดตลอดจนสร้างโรงพยาบาล ส่งเสริมการเขียนหนังสือโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการญิฮา ด ท่านพยายามที่จะสร้างอาณาจักรในแบบเดียวกับที่บรรพชนในศตวรรษแรกๆของอิสลาม ได้สร้างไว้ซึ่งปกครองดินแดนอันกว้างใหญ่

         ท่านปรับปรุงกองทัพโดยสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและความมีระเบียบวินัยมากกว่าการจ้างคนใหม่ๆหรือสร้างเทคนิคใหม่ๆ ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1187  ด้วยจิตวิญญาณอันยอดเยี่ยมของเหล่าทหารของเศาะลาฮุดดีน และการวางกลอุบายอันชาญฉลาดของท่านทำให้กองทัพคริสเตียนตกอยู่ในกับดักและ ความหิวกระหายจนสามารถจัดการกับพวกเขาที่สมรภูมิฮิตตินได้อย่างเบ็ดเสร็จ ผลจากสงครามครั้งนี้ทำให้ชื่อของท่านเป็นที่หวาดกลัวแก่พวกครูเสด พวกเขาถือว่าไม่เป็นความละอายที่จะยอมอ่อนข้อต่อท่าน จากนั้นเมืองอักกา เบรุต ซีดอน นาซาเรท กีซาเรีย นับลุส โตรอน ยัฟฟา อัสโกลอนต้องยอมแพ้แก่มุสลิมภายในเวลาเพียงสามเดือน

         ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของท่านกับความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญของคริสเตียนเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1187 เมื่อบัยตุลมักดิศ(เยรูซาเล็ม)ต้องยอมแพ้แก่กองทัพของสุลต่านหลังจากต้องตกอยู่ในกำมือของพวกแฟรงก์เป็นระยะเวลา 88 ปีนับจากการยึดครองในสมัยสงครามครูเสดครั้งที่ 1 เศาะลาฮุดดีนปฏิบัติต่อเชลยเป็นอย่างดี ท่านได้ปล่อยเชลยจำนวนมากที่ไม่สามารถหาเงินมาไถ่ตัวได้ และยังใช้เงินส่วนตัวไถ่พวกเชลยเหล่านี้ โดยไม่มีการสังหารเชลยแต่อย่างใด ภาพที่ท่านและกองทัพมุสลิมแสดงต่อพวกครูเสดตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับที่พวก เขาเหล่านี้ได้เคยสับมุสลิม แหวะหัวใจเด็ก ฟันขาเหวี่ยงไปในอากาศ บังคับให้มุสลิมกระโดดจากที่สูง ในสมัยที่พวกเขายึดเยรูซาเล็มช่วงสงครามครูเสดครั้งที่ 1 เวลานั้นมุสลิมถูกสับจนเลือดไหลนองท่วมหัวเข่าม้าของพวกเขา  

         การยึดเยรูซาเล็มกลับคืนมาของเศาะลาฮุดดีนได้ทำให้พวกครูเสดในยุโรปรวมตัวกันอีกครั้งเพื่อจะยึดเยรูซาเล็มคืน อันเป็นการประกาศสงครามครูเสดครั้งที่สาม กองทัพครูเสดครั้งนี้มีผู้นำคือกษัตริย์ริชาร์ด(ใจสิงห์)แห่งอังกฤษ กษัตริย์ฟิลิป ออกัสตัสแห่งฝรั่งเศส และกษัตริย์เฟดเดอริค บาร์บาโรซซ่าแห่งเยอรมันเป็นผู้นำ แต่ปรากฏว่ากษัตริย์เฟดเดอริคจมน้ำตายขณะข้ามแม่น้ำสายหนึ่ง กองทัพเยอรมันจึงไม่มีโอกาสสู้รบกับมุสลิม อย่างไรก็ตามกองทัพทั้งสองฝ่ายได้ทำสัญญาสงบศึก ณ เมืองร็อมละฮฺ ในวันที่ 2 พฤษจิกายน ค.ศ. 1192 โดยชายฝั่งใกล้เมืองอักกาและบริเวณโดยรอบตกเป็นของพวกครูเสด และเศาะลาฮุดดีนยินยอมให้คริสเตียนเดินทางไปสู่เยรูซาเล็ม โดยมีเงื่อนไขว่าต้องไม่นำอาวุธเข้าไป สัญญาฉบับนี้เป็นการสิ้นสุดสงครามครูเสดครั้งที่สาม

         เมื่อสงครามยุติลง เศาะลาฮุดดีนได้ยกกองทัพไปตรวจเมืองต่างๆและซ่อมแซมสิ่งที่เสียหาย และได้กลับมาพักกับครอบครัวที่นครดามัสกัส หลังจากที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนหลังม้าท่านก็ได้จากโลกนี้ไปในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1193 สหายของท่านพบว่าผู้ปกครองของมุสลิมที่ยิ่งใหญ่และมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ได้ทิ้งทรัพย์สินไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่พอแม้แต่จะใช้เพื่อจัดการกับศพของตัวท่าน

อบุล อิซซฺ  เรียบเรียง
http://www.fityah.com/index.php?option=com_content&task=view&id=535&Itemid=33

ยิว คริสต์ผู้ริเริ่มก่อการร้ายตัวจริง



        เมื่อได้ยินประกาศจากทางวิทยุ โทรทัศน์กระจายเสียง หรือในหนังสือพิมพ์ จะมีการใช้คำว่า “ผู้ก่อการร้าย” พร้อมๆกับคำว่า “มุสลิม” เราลองหยุดคิดสักนิด เพื่อจะได้รับทราบข้อเท็จจริงในการโจมตีเช่นนี้ และจะทราบว่าเป้าหมายของพวกเขาคืออะไร?

        ซึ่งความจริงแล้วสำนวนเช่นนี้ นับเป็นการบิดเบือนความจริง เป็นการล้างสมองผู้คน ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ศัตรูของอิสลามได้ใช้มาโดยตลอด ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ได้บอกถึงความคล้ายคลึงกับที่ชาวยิวฝึกฝนมาอย่างเชี่ยวชาญ ในการวาดภาพมุสลิมให้เป็นคนป่าเถื่อน ดุร้าย เป็นนักฆ่า และได้ทำการเผยแพร่งานของพวกเขาออกไปตามหนังสือและตำราของพวกเขาว่า ศาสนาอิสลามนั้นเผยแพร่ด้วยคมดาบ และทำลายชีวิตของผู้คน ทั้งๆที่ความเป็นจริงตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

ใครหรือผู้ริเริ่มก่อการร้าย

      ในยุคท่านนบมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พวกยิวใช้เลห์เหลี่ยมกับอิสลามสารพัด
ชาวยิวส่งคนมาสร้างความเคลือบแคลงสงสัยในอิสลามให้กระจายไปในหมู่ชาวมักกะฮฺ
พยายามอย่างยิ่งยวดในการยืนยันรับรองแก่ชาวมุชริกีน(พวกบูชาเจว็ด) ว่าศาสนาเดิมๆ ที่พวกเขานับถืออยู่นั้นประเสร็จกว่าอิสลามหลายเท่า

     เมื่อท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อพยพไปเมืองมะดีนะฮฺ ได้ทำสนธิสัญญาระหว่างมุสลิมกับยิว  สัญญษข้อที่ 16 ระบุว่า หากชาวยิวคนใดมาอยู่กับฝ่ายมุสลิม เขาก็จะได้รับการช่วยเหลือและปฏิบัติด้วยดี และสัญญาข้อที่ 44 ระบุว่า ให้ทั้งสองฝ่าย คือมุสลิมและยิวป้องกันผู้รุกรานเมืองยัษริบ(มาดีนะฮฺ)
สัญญาทุกข้อมีความเป็นธรรมอย่างที่สุด กล่าวได้ว่าเป็นคำมั่นสัญญาระหว่างประชาชาติทั้งสอง แต่ชาวยิวก็ไม่รักษาสัญญา กลั่นแกล้ง รังแก สร้างความเดือดร้อนให้มุสลิมมาโดยตลอด เท่าที่พวกเขาสามารถจะกระทำได้

      พวกยิวพยายามฆ่าท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยวิธีการกลิ้งหินก้อนใหญ่ลงมาจากที่สูง ให้ตรงกับท่านนบีนั้งอยู่ แต่อัลลอฮฺทรงช่วยเหลือท่านจากการก่อการร้ายของพวกชาวยิวเหล่านั้น โดยท่านญิบรีลไดบอกให้ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมทราบ ท่านบีจึงลุกออกจากที่นั้น พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ประทานอัลกุนอานลงมาว่า


يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا اذْكُرُوا نِعْمَتَ اللَّهِ عَلَيْكُمْ إِذْ هَمَّ قَوْمٌ أَن يَبْسُطُوا إِلَيْكُمْ أَيْدِيَهُمْ فَكَفَّ أَيْدِيَهُمْ عَنكُمْ وَاتَّقُوا اللَّهَ وَعَلَى اللَّهِ فَلْيَتَوَكَّلِ الْمُؤْمِنُونَ ( 11 )
"ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงรำลึกถึงความกรุณาของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเจ้า ขณะที่พกวหนึ่งปลงใจที่จะยื่นมือของพวกเขามาทำร้ายพวกเจ้าแล้วพระองค์ก็ทรงยับยั้งและหันเหมือนพวกเขาออกจากพวกเจ้าเสีย และพึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และแต่อัลลอฮ์เท่านั้น ผู้ศรัทธาทั้งหลายจงมอบหมาย" (อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัลมาอิดะฮฺ อายะที่ 11)


       พวกยิวพยายามฆ่าท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมด้วยการวางยาพิษในเนื้อแกะ แต่อัลลอฮฺทรงให้แกะตัวนั้นเปิดโปงความจริงแก่ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และอัลลอฮฺทรงแจ้งให้ท่านรสูลทราบว่าขาหน้าของแกะตัวนั้นอาบยาพิษ ท่านรสูลจึงไม่รับประทาน ฯลฯ

     การก่อการร้ายของชาวคริสต์ในยุคท่านบีมุหัมมัด

     มุสลิมไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่จักรวรรดิโรมันซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ และไม่เคยทำอะไรที่เป็นเรื่องไม่ดีแก่ชาวคริสต์เหล่านั้น

      ในปีฮิจเราะฮฺศักราชที่ 8 ตรงกับปี ค.ศ.629 ผู้ปกครองเมืองอัลลัลกออฺ ในดินแดนชาม ซึ่งเป็นคนของไกเซอร์ ทำการสังหารอัลอาริส อิบนุ อุมัยรฺ อัลอะวะดีย์ ซึ่งเป็นผู้ถือสาส์นจากท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไปให้ผู้ปกครองแห่งโรม

      ท่านอัลฮาริสเป้นทูตที่ไปหาพวกเขา การสังหารทูตของประเทศใดเท่ากับประกาศสงครามกับประเทศนั้น

      ด้วยเหตุดังกล่าว ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงส่งทหารจำนวน 3,000 นาย ไปสู้กับฝ่ายโรมซึ่งมีจำนวน 200,000คน

กองกำลังทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันที่มุอฺตะฮฺ และฝ่ายมุสลิมได้รับชัยชนะ ทำให้ไกรเซอร์แห่งโรมโกรธมาก เพราะเดิมคิดว่าทหารของตนจะสามรถมีชัยชนะเหนือมุสลิมได้ไม่กี่ชั่วโมง แต่กลับไม่เป็นตามคาดหมาย

ดังกล่าวนี้คือการก่อการร้ายที่ชาวคริสต์กระทำกับมุสลิม

           ชาวยิว และชาวคริสต์ ตลอดจนชนชาติอื่น ได้วางแผนร้ายต่อประชาชาติอิสลาม และแพร่แนวความคิดชั่วร้าย หนุนกลุ่มแหวกแนว แยกประชาชาติอิสลามให้เกิดความอ่อนแอ ไม่มีพลัง พวกเขาพยายามจุดไฟสงครามขึ้นระหว่างกลุ่มชนอิสลาม หรือไม่ก็ไม่ประกาศสงครามกับปรชาชาติอิสลามโดยตรง จุดมุ่งหมายของพวกเขาอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้มุสลิมหันหลังให้คำสอนของศาสนา  ทำการวางแผนสร้างความแตกแยกในมุสลิม ชาวที่เข้าอิสลามแบบหลอกลวง เพื่อสร้างความสงสัยในศาสนาให้แก่มุสลิม ความพยายามของชาวคริสต์ที่จะเข้ามายึดครองดินแดนอิสลาม ชี้ให้เห้นว่าการก่อการร้ายเป็นการกระทำของชาวยิว และคริสต์ต่อมุสลิมตลอดมา



والله أعلم بالصواب

✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿