อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มัลคอล์ม เอ็กซ์ ผู้ค้นพบอิสลามคือความเสมอภาค‏



        ขณะที่อยู่ในมักกะฮฺ , อัล - ฮัจ มาลิก เอล - ชาบาซ ได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงผู้ช่วยผู้จงรักภักดีของเขาใน Harlem(เขตคนดำในนิวยอร์ค) …. นี่คือจดหมายจากใจของเขา

         ผมไม่เคยประจักษ์มาก่อนเลยถึงความมีอัธยาศรัยไมตรีที่จริงใจและเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณแห่งภราดรภาพที่แท้จริงซึ่งแสดงออกมาจากผู้คนหลากหลายสีผิวและเผ่าพันธุ์เหนือแผ่นดินโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเคยเป็นบ้านของนบีอิบรอฮีม (อลัยฯ) , นบีมุฮัมมัด (ซ็อลฯ) และบรรดานบีท่านอื่นๆ ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผมตะลึงงันและประทับใจเหลือเกินในความอ่อนโยนและมีเมตตาของผู้คนหลากผิวพรรณรอบๆ ตัวผม

        เป็นความเมตตาของอัลลอฮฺที่ผมได้มาเยือนมักกะฮฺเมืองอันศักดิ์สิทธิ์ ผมเดินวนรอบกะบะฮฺ 7 รอบ ซึ่งนำโดย Mutawaf หนุ่มชื่อ มุฮัมมัด , ดื่มน้ำจากบ่อซัมซัม วิ่งกลับไปกลับมาระหว่างภูเขา อัล ซอฟา กับภูเขา อัล มัรวะฮฺ , ผมได้นมาซที่เมืองโบราณ มินา และที่ทุ่งอะรอฟะฮฺ”

         มีผู้แสวงบุญจำนวนนับล้านจากทุกมุมโลก หลากหลายมากมายผิวพรรณตั้งแต่ตาสีฟ้า ผมสีทอง จนถึงแอฟริกันผิวดำ แต่เราทั้งหมดก็ประกอบพิธีกรรมเดียวกัน ร่วมแสดงออกถึงจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวในความเป็นพี่น้องกัน ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของผมในอเมริกา ทำให้ผมมีความเชื่อว่า สิ่งนี้จะไม่มีอยู่จริงระหว่างคนผิวขาวและคนที่ไม่ใช่คนผิวขาว

        อเมริกาจำเป็นต้องทำความเข้าใจอิสลาม เพราะนี่คือศาสนาเดียวที่สามารถขจัดปัญหาสังคมเรื่องเชื้อชาติ ตลอดการเดินทางของผมในโลกมุสลิมผมได้พบปะพูดคุยกระทั่งได้ร่วมรับประทานอาหารกับผู้คนซึ่งถ้าหากเป็นในอเมริกาก็จะได้รับการพิจารณาจัดเตรียมไว้ให้ในฐานะของการเป็นคนขาวเท่านั้น แต่ทัศนคติความเป็นคนขาวได้ถูกลบออกจากหัวใจของพวกเขาโดยอิสลาม ผมไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยสำหรับภราดรภาพที่สัตย์ซื่อและจริงใจซึ่งแสดงออกมาจากผู้คนต่างสีผิวที่มารวมกันโดยไม่คำนึงถึงเรื่องเผ่าพันธุ์

       คุณอาจจะประหลาดใจกับคำพูดของผมในจดหมายนี้ แต่จากการจาริกแสวงบุญยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ สิ่งที่ผมได้พบเห็นและเรียนรู้ทำให้ผมจัดระเบียบรูปแบบความคิดของผมที่เคยยึดถือมาก่อนเสียใหม่แล้วโยนความเชื่อเก่าๆ เหล่านั้นออกไป สิ่งนี้ไม่ยากเกินไปสำหรับผมที่จะทำ ด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่มั่นคงของผม , ผมได้เผชิญหน้ากับความเป็นจริงเสมอมาและยอมรับสัจธรรมแห่งชีวิต ประสบการณ์และความรู้ใหม่ทำให้มันคลี่ขยายกระจายกว้างออก หัวใจของผมเปิดกว้างซึ่งมันเป็นความจำเป็นที่ต้องมีความยืดหยุ่นเพื่อที่จะก้าวเดินไปด้วยกันกับทุกๆ ภูมิปัญญาแห่งสัจจะ

       ระหว่าง 11 วันที่ผ่านมาในโลกมุสลิมแห่งนี้ ผมได้รับประทานอาหารในจานใบเดียวกัน , ดื่มร่วมแก้วกัน , หลับบนพรมผืนเดียวกัน , ร่วมนมาซเพื่อพระเจ้าองค์เดียวกันกับมวลมุสลิมผู้ร่วมทาง ผู้ซึ่งดวงตาของเขาเป็นสีฟ้าที่สุดแห่งสีฟ้า , เส้นผมเป็นสีทองที่สุดแห่งสีทอง และผู้ซึ่งมีผิวสีขาวที่สุดในบรรดาสีขาว และในถ้อยคำและในการกระทำของมุสลิมผิวขาว ผมรู้สึกได้ถึงความจริงใจดุจเดียวกับที่รู้สึกในท่ามกลางมุสลิมผิวดำแห่งไนจีเรีย ซูดาน และกาน่า

      พวกเราคือสิ่งเดียวกันโดยแท้ (เป็นพี่น้องกัน) - ด้วยเพราะความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวได้ขจัดความรู้สึกถึงการเป็นคนขาวออกไปจากหัวใจ , จากพฤติกรรมและจากทัศนคติของพวกเขา

       ผมสามารถเห็นได้จากการนี้ , ซึ่งเผื่อว่าบางทีอเมริกันผิวขาวจะยอมรับในเอกภาพของพระเจ้าและเผื่อว่าบางทีพวกเขาจะยอมรับในสัจธรรมแห่งการเป็นมนุษย์ของคน – แล้วหยุดตีค่าของคน , กีดกันและทำร้ายผู้อื่นเพียงเพราะ ความไม่เหมือนกัน ของสีผิว

      กับการคุกคามด้วยคตินิยมเชื้อชาติ อเมริกาเสมือนมะเร็งร้ายที่ไม่อาจรักษาให้หายได้ พวกอเมริกันผิวขาวที่เป็นคริสเตียนควรเปิดใจกว้างยอมรับความจริงถึงคำตอบของปัญหาการทำลายล้าง บางทีมันอาจไม่สายเกินไปที่จะช่วยอเมริกาให้รอดพ้นจากความหายนะที่จวนเจียนจะเกิดขึ้นเช่นเดียวกับการทำลายล้างในประเทศเยอรมันที่เกิดขึ้นเพราะคตินิยมเชื้อชาติ ซึ่งในที่สุดก็ได้ทำลายตัวตนของคนเยอรมันเอง

     แต่ละชั่วโมงในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์นี้สามารถทำให้ผมมีความเข้าใจด้านจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งมากขึ้นถึงสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ในอเมริการะหว่างคนดำกับคนขาว อเมริกันนิโกรไม่ควรถูกตำหนิสำหรับความโกรธแค้น ( ที่เขามีต่ออเมริกันผิวขาว ) เกี่ยวกับเรื่องเผ่าพันธุ์ เพราะนั่นเขาเพียงกำลังแสดงออกถึงผลการกระทำของพวกอเมริกันผิวขาวผู้มีคตินิยมเชื้อชาติที่จงใจกระทำมาตลอดเวลา 400 ปี แต่ขณะเดียวกันคตินิยมเชื้อชาติก็นำอเมริกาสู่หนทางแห่งการฆ่าตัวตาย ผมเชื่อจากประสบการณ์ซึ่งผมเคยมีกับพวกเขาว่าคนขาวที่เป็นคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ , ในวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยต่างๆ , จะเป็นลายมือบนกำแพงและพวกเขาจำนวนไม่น้อยจะหันกลับสู่วิถีแห่งความจริงทางจิตใจ – หนทางเดียวที่อเมริกาจะต้องเลือกโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงทั้งนี้เพื่อที่จะขจัดปัดเป่าภยันตรายแห่งความหายนะอันเกิดจากคตินิยมเชื้อชาติ

ไม่เคยเลยที่ผมจะได้รับเกียรติอย่างสูงส่งเช่นนี้ ไม่เคยเลยที่ผมจะได้รับการปฏิบัติที่ทำให้มีความรู้สึกถึงความต่ำต้อยและไร้ค่า จะมีใครบ้างที่เชื่อว่าพรอันยิ่งใหญ่ได้ถูกรวมไว้เพื่อมอบให้แก่อเมริกันนิโกรคนหนึ่ง ? เมื่อไม่กี่คืนที่ผ่านมา , ชายคนหนึ่งซึ่ง ( ถ้าเป็น ) ในอเมริกาเขาจะถูกเรียกว่า “ คนขาว” , เป็นนักการทูตสหประชาชาตฺ , เป็นเอกอัครราชทูต และเป็นสหายของกษัตริย์ได้เตรียมห้องสูทในโรงแรมของเขาแก่ผม ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงความใฝ่ฝันที่จะเป็นผู้ได้รับเกียรติยศอันใหญ่หลวงเช่นนี้ – เกียรติยศซึ่งในอเมริกาจะถูกถวายให้ก็แด่พระราชาเท่านั้น – ไม่ใช่แก่นิโกร

บรรดาการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลโลกทั้งหลาย



ด้วยความจริงใจ

อัล – ฮัจ มาลิก เอล – ชาบาซ

( มาลคอล์ม เอ๊กซ )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น