อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เมื่อมุสลิมใส่บาตร




                       มุสลิมบ้างท่านภาคภูมิใจเหลือเกินที่เห็นมุสลิมบางคนนำสิ่งของ หรือเงินธนบัตรมอบหรือใส่ในบาตรที่พระในพุทธศาสนาเดินมาบิณฑบาตร โดยเข้าใจว่าเป็นการบริจาค หรือทำทานเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

                      แต่ความจริงการกระทำเช่นนี้ไม่ใชการบริจาค หรือทำศอดะเกาะฮฺตามหลักบทบัญญัติอิสลาม แต่เป็นการร่วมกันสนับสนุนพิธีกรรมตามความเชื่อของพุทธศาสนาเขา ซึ่งพระสงฆ์ หรือสามเณรถือเป็นตัวแทนของพุทธศาสนา ไม่ใช่ชาวพุทธศาสนาทั่วๆไป ที่เราสามารถช่วยเหลือได้ตามปกติทั่วไป

                      การบิณฑบาตรเป็นกิจวัตรของพระภิกษุสงฆ์และสามเณรในพระพุทธศาสนา ในการออกเดินถือบาตรรับการถวายภัตตาหารหรือสิ่งของจากชาวบ้านในเวลาเช้า โดยมีความเชื่อว่า การทำบุญตักบาตรนี้ มีมาแต่ครั้งพุทธกาล เมื่อพระพุทธองค์ทรงผนวชใหม่ๆ ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงประทับที่สวนมะม่วง พระองค์เสด็จบิณฑบาตผ่านกรุงราชคฤห์ เมืองหลวงของแคว้นมคธ ชาวเมืองเห็นพระมาบิณฑบาต ก็ชวนกันนำอาหารมาตักบาตรเป็นครั้งแรก นับแต่นั้นมา การตักบาตรจึงถือเป็นประเพณีมาจนบัดนี้ และเมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ ประทับอยู่ที่ควงไม้เกด มีพ่อค้า 2 คน นำข้าวสัตตุก้อน สัตตุผง ซึ่งเป็นเสบียงสำหรับเดินทางเข้าไปถวาย พระพุทธองค์ทรงรับไว้ด้วยบาตร นี่ก็เป็นที่มาของการตักบาตรทางพระพุทธศาสนาด้วยประการหนึ่ง

                   และชาวพุทธศาสนายังมีความเชื่อว่าการตักบาตรนั้น เป็นการทำบุญประจำวันของชาวพุทธ และชาวพุทธไทยเชื่อว่า การออกบิณฑบาตของพระสงฆ์เป็นการช่วยโปรดสัตว์ที่อยู่ในอบายภูมิ เช่น เปรตวิสัย ให้ได้รับส่วนบุญ ด้วยเหตุผลทางจิรยธรรม ในการทำบุญตักบาตรนั้น


          1.เป็นการสั่งสมบุญในแต่ละวัน เพราะการสั่งสมเป็นเหตุนำความสุขมาให้
          2.เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการทำบุญทำให้จิตใจแจ่มใส เพื่อให้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง เพราะผู้ที่ไม่มีบุญเกื้อหนุนอยู่ในใจ ย่อมพ่ายแพ้ต่อบาปได้ง่าย
          3.เป็นการทำที่พึ่งคือบุญให้แก่ตนเองในอนาคต
          4.เป็นการช่วยรักษาพุทธประเพณี เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต และที่จะมาตรัสรู้ในอนาคต ด้วนแต่ดำรงพระชนม์ชีพด้วยอาหารบิณฑบาต
          5.เป็นการช่วยสืบทอดพระพุทธศาสนา เพราะพระสงฆ์เป็นผู้ศึกษา ปฏิบัติพระธรรมวินัย แล้วนำมาสั่งสอนให้ประชาชน ได้รับรสแห่งพระธรรมด้วย อีกทั้งยังดำรงตนเป็นตัวอย่างด้านความประพฤติดีงามของสังคม ฉะนั้น ชาวพุทธควรทำบุญตักบาตรเป็นประจำทุกวัน เพื่อเป็นการสั่งสมบุญให้แก่ตนเองที่จะต้องนำไป ดุจเสบียงเดินทาง ในการท่องเที่ยวเวียนเกิดและเวียนตายอยู่ในวัฏฏสงสาร อันไม่ปรากฏ
เบื้องต้นและที่สุด และบุญที่สั่งสมไว้นี้ จะช่วยเกื้อกูลให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้



          เมื่อการบิณฑบาตรของพระภิกษุสงฆ์และสามเณรในพระพุทธศาสนา และการตักบาตรของชาวพุทธศาสนาเป็นพิธีกรรม ความเชื่อ จึงเป็นเรื่องศาสนา อิสลามกับศาสนาอื่นได้แบ่งแยกกันโดยชัดเจนแล้วว่า ศาสนาใครศาสนามันไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่ร่วมสนับสนุนและต่างไม่กล่าวหาใส่กัน อิสลามเป็นศาสนาของเรา ส่วนศาสนาของเขาเราไม่ข้องเกี่ยว อิสลามจึงห้ามเกี่ยวข้องพิธีกรรมของศาสนาอื่นโดยเด็ดขาด แต่สำหรับทางโลกเกี่ยวการช่วยเหลือกันทางสังคมนั้น อิสลามอนุมัติอยู่แล้ว

พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
" لَكُمْ دِينُكُمْ وَلِيَ دِين "
 ความว่า "สำหรับพวกท่าน คือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉัน คือ ศาสนา (ของฉัน)"   (อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัลกาฟิรูน อายะฮฺที่ 6 )


พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
وَمَن يَبْتَغِ غَيْرَ الإِسْلاَمِ دِيناً فَلَن يُقْبَلَ مِنْهُ

“ผู้ใดแสวงหาอื่นจากอิสลามมาเป็นศาสนา (ของตน) แน่นอนเขาจะไม่ถูกตอบรับ” (อัลกุรอาน สูเราะฮฺอาลิอิมรอน : 85)


أُمِرْنَا أَنْ نَتْرُكَهُمْ وَمَا يَدِيْنُوْنَ

"เราได้ถูกใช้ให้ทำการปล่อย (ให้เป็นอิสระกับ) พวกเขาและสิ่งที่พวกเขานับถือ"



ดังนั้นการใส่บาตรเป็นพิธกรรมความเชื่อของชาวพุทธสาสนา อิสลามจึงห้ามไปเกี่ยวข้อง หากมุสลิมคนใดได้กระทำไปโดยไม่ทราบว่าขัดกับบทบัญญํติศาสนา ก็หยุดกระทำการดังกล่าวเสีย และหยุดภาคภูมิใจกับการกระทำนั้นเถิด....!!!!!


والله أعلم بالصواب


✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿


16 ความคิดเห็น:

  1. สงครามเลยดิสาสสส อยากฆ่าทหารใช่ไหม พวกโจรใต้เอ้ยย อยากได้สงครามพวกเราก็จะจัดให้นะนายจ๋า ไอ้แขกดอย หมอยในหมวก

    ตอบลบ
  2. แปลว่าไรวะ แล้วพวกมึงใช่ไหมที่อยากยึดประเทศกู พวกมึงอยากฆ่าคนพุทธและฆ่าทหารใช่ไหม ทำไมพวกมึงชั่วอย่างงี้วะ ทหารกับคนพุทธเคยไปเย็ดแม่มึงหรอ อิสาสสสสส

    ตอบลบ
  3. โง่แล้วอวดฉลาดได้อีก ไอ้ที่ฆ่าๆคนพุทธจนเต็มคุกประเทศไทยนี่ ศาสนาไหนฆ่าหรือ ก็คนพุทธด้วยกันทั้งนั้น เวลาคนพุทธทำชั่วนี่ตาบอดขึ้นมากระทันหัน มองไม่เห็นเลยสินะ

    ตอบลบ
  4. ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ

    ขออัลลอฮฺทรงชี้แนะแนวทางท่านที่ถูกต้องด้วย เถิด


    ตอบลบ
  5. หากอิสลาม เป็นศาสนาแห่งสันติ การให้ทาน การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ก็เป็นส่วนหนึ่งแห่งการสร้งสันติไม่ใช่เหรอ
    ผมก็เห็นคนพุทธ คนคริสต์ ช่วยเหลือคนอิสลามเยอะแยะไป เวลาภาคใต้น้ำท่วม ก็เห็นคนพุทธ โดยเฉพาะพระ ท่านก็รวบรวมข้าวของ เครื่องใช้ ไปร่วมทำบุญให้
    หากมองในแง่ของหลักอิสลาม ก็คงไม่ต้องมีการแบ่งปันกัน เพราะนับถือศาสนาต่างกัน แล้วจะมีศาสนาไปทำไม
    ศาสนา คือ ความเชื่อส่วนบุคคล คำสอน คำสั่ง อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ (ในสิ่งที่เขาเชื่อ) แต่ทำไมไม่เอาสิ่งๆดีที่ศาสนาสอน ให้มาอยู่ร่วมกัน อย่างสันติสุข เหมือนอย่างที่พวกคุณบอกว่า เป็นศาสนาแห่งสันติหล่ะ

    ตอบลบ
  6. เมิงเป็นอิสลามนอกรีตจริงๆ พระฮัลเลาะอนุญาตให้ทานได้แท้ๆ เมิงยังโกหกหน้าตาย ท่านนบีรู้ว่าเมิงห้ามให้ทานคนอื่น เมิงเจอนรกแน่

    ตอบลบ
  7. หลักการทางศาสนาคือ ห้ามอิสลามมีส่วนร่วมในพิธีกรรมของต่างศาสนิกคะ

    ตอบลบ
  8. การให้ทานเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องไม่เป็นการเข้าร่วมหรือเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรมของศาสนาอื่น

    ตอบลบ
  9. ขอพระองค์ทรงชี้นำเขาเหล่านั้นด้วยเถิด
    อามีน

    ตอบลบ
  10. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  11. เขาก่ะบอกอยู่ให้ทานบริจาคพุทธศาสนิกชนทั่วไปได้..แต่พระเป็นผู้สั่งสอนตามแนวทางพีธีกรรมพุทธเราร่วมด้วยช่วยไม่ได้..ผมมุอัลลัฟมาจากพุทธครับ

    ตอบลบ
  12. ในฐานะชาวพุทธคนนึง ต้องขอโทษชาวมุสลิมแทนพวกที่อ้างตัวว่าเป็นพุทธเข้ามาก่อกวนด้วยนะครับ ผมทราบดีว่าท่านเองก็ต้องการจะรักษาศาสนาของท่านให้บริสุทธ์ซึ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่ดีแล้วครับผมเองก็เห็นด้วย แต่ขอแก้ต่างนิดนึงเกี่ยวกับเรื่องตักบาตรนะครับว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ยึดติดว่าการตักบาตรกับนักบวช(ภิกขุ)แล้วจะได้ไปสวรรค์หากแต่การให้ทานไม่ว่าให้ใครขอแค่คำนึงถึงองค์ประกอบ 4 อย่างจึงได้บุญ
    1. ผู้รับทานนั้นมีศีลบริสุทธิ์ (วัตถุสัมปทา) (ศีล:การไม่ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกห้าม)
    ถ้าจะยกตัวอย่าง วัตถุสัมปทา ข้อนี้ง่ายๆคือ ไม่เอาเนื้อสัตว์มาให้ผู้ที่ทานอาหารเจเพราะผิดศีลเขา ไม่เอาเนื้อหมูมาให้ผู้เป็นมุสลิมเพราะไม่ฮาลาล เป็นต้น
    2. สิ่งของที่จะนำมาทำทานนั้นเป็นของที่ได้มาโดย สุจริต (ปัจจยสัมปทา)
    (เช่น ไม่ได้มาจากการปล้น หรือ ขโมยใครเขามา)
    3. มีจิตเลื่อมใสบริสุทธ์ใน 3 กาล คือ ก่อนให้ กำลังให้ และหลังจากให้แล้ว (เจตนาสัมปทา)
    ซึ่งใน 3 กาล จะยังแยกย่อยเป็น กาลทานสูตร 5 และสัปปุริสทาน 8 เดี๋ยวมาต่อ
    4 คุณาติเรกสัมปทา คือ ผู้รับเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยธรรม(นิโรธสมาบัติ) (ศีล : ข้อห้าม , ธรรม : คุณธรรม,สิ่งที่ควรปฏิบัติ)
    นิโรธสมาบัติ ๑.เป็นผู้ที่ไม่โลภอยากได้ของคนอื่น ๒.เป็นผู้ปราศจากโทสะ ๓.ไม่เป็นผู้มีโมหะ คือ ความหลงผิดคิดไปต่างๆนานา ฯลฯ ซึ่งจะเห็นว่าการให้ทานของพุทธนั้นไม่ได้มีข้อใดที่ระบุว่าต้องให้นักบวช หรือตักบาตร แล้วถึงได้บุญ

    ถึงชาวพุทธทุกท่านตามที่ผมได้ทราบมาคือ ท่านบีมูฮัมหมัดเองยังทำซะกาตแก่คนต่างศาสนาเช่นพวกยิวและคริสตร์เลยนะครับ แต่ที่ท่านนบีมูฮัมหมัดไม่ให้ไปเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม ของต่างศาสนิกเพราะเพื่อไม่ให้เกิดการบิดเบือนในศาสนาอิสลาม และไม่ต้องการให้มีใครใส่ร้ายว่าเข้าไปแทรกแซงศาสนาอื่น เช่นกรณีเอกสารตาลีตั่มปงอันเป็นเท็จที่มีคนกล่าวหาศาสนาอิสลามมาแล้ว(ซึ่งคงเป็นเพราะท่านเห็นกาลล่วงหน้า)

    คุณ Truth Islam ครับ แต่ถ้าการตักบาตรของพุทธไม่ใช่พิธีกรรมล่ะครับ? หรือบางทีอาจเป็นเพราะถูกใครก็ไม่รู้เรียกด้วยคำว่า"ศาสนา" ท่านจึงเกรงว่าจะผิดต่ออัลเลาะห์ถ้าเช่นนั้น มองพุทธเป็นเพียงสำนักเรียนสำหรับฝึกสติ*สำนักนึงแล้วท่านคงสบายใจกว่า เช่นเดียวกับสำนักคาราเต้ และยูโด(จริงๆความเชื่อในของสองสำนักหลังนี้เป็นเรื่องของบูชิโดซึ่งนับถือจักรพรรดิเป็นเทพซึ่งขัดแย้งกับหลักแห่งอิสลามมากกว่าพุทธซะอีกนะครับ....)

    หมายเหตุคำว่า "พระ" ไม่ได้แปลว่านักบวช สิ่งที่ใช้เรียกนักบวชในศาสนาพุทธจริงๆคือคำว่า"ภิกขุ" แปลว่า "ผู้ขอ" หรือคือ "บุคคลที่ต้องการมาฝึกสติ*ในสำนักของพระพุทธเจ้า" ส่วนเรื่องการตักบาตรเป็นแค่วิธีการหาเลี้ยงชีพของภิกขุเท่านั้น เพราะการทำอาชีพเพื่อให้ได้เงินย่อมทำให้เกิดความโลภจึงอาศัย ปล่อยชีวิตตามยถากรรมใครจะให้ปัจจัยเพื่อดำรงชีพก็ให้เพื่อรวบรวมสติทั้งหมดต่อสู้กับกิเลสที่ถูกมาร(ซัยตอน)ใช้ในการล่อลวงมนุษย์ยังไงละครับ

    พระ จริงๆมีความหมายว่า ผู้มีศีล*และจริยะธรรม*สูง (แต่เนื่องด้วยความหมายปัจจุบันถูกเหมารวมไปแล้วงั้น ผมขอใช้แทนคำว่านักปราชญ์แล้วกัน คือไม่จำเป็นต้องเป็นนักบวช จะเห็นว่าในศาสนาพุทธมีผู้เป็น*พระโสดาบันมากมายที่เป็นฆราวาส) คำว่า "พระ" ในความหมายดั้งเดิมนั้นจึงครอบคลุมถึง คุณสมบัติแห่งผู้รับทานทั้งข้อ 1 และ 4 ไปในตัว คือมีศีล*และมีธรรม* จึงเห็นหลายบทความใช้คำว่าพระแทนในวัตถุสัมปทาและคุณาดิเรกสัมปทาครับ

    ตอบลบ
  13. จริงอยู่ที่คุณ Truth Islamเตือนเรื่องให้ระวังการทำบิดอะห์เป็นสิ่งที่ดี แต่บางครั้งนะครับคุณ Truth Islamครับ ผมคิดว่าเราดูที่เจตนาของผู้กระทำและเอาเฉพาะสิ่งที่ท่านนบีมูฮัมหมัดห้ามเอาไว้อย่างชัดเจนคงดีกว่ามั้งครับ(อย่างเรื่องเทวรูปอะไรที่ระบุในอัลกุรอ่านหรือหะดีษ ว่าไม่ควรอยู่ใกล้ในงานพิธีอันนี้ชัดเจน) เพราะไม่อย่างน้้นหากท่านต้องกลัวอยู่ตลอดว่าการกระทำใดๆจะกลายเป็นการร่วมพิธีกรรมกับศาสนาอื่นซึ่งจะทำให้เกิดบิดอะห์หรือการบิดเบือนต่อหลักธรรมอิสลามขึ้นมา งั้นเกิดมีลัทธิศาสนาใดที่เชื่อว่า*การหายใจ*เป็นไปเพื่อการบูชาเทพอะไรเพื่อมีชีวิตอยู่ในศาสนาเขาหยั่งงี้ไม่เท่ากับเป็นการทำบิดอะห์กันหมดรึครับ? ดังนั้นดูที่เจตนาและตักเตือนบ้างให้ได้สติจึงเป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าก็อย่าถึงขั้นชี้นำหรือตัดสินเลยว่าการกระทำแบบนั้นแบบนี้เป็นบิดอะห์ทั้งที่ไม่มีอยู่ในอัลกุรอ่านเพราะเจตนาของมุสลิมเขาคนนั้นคงแค่ทำซะกาตตามท่านบีมูฮัมหมัดที่ให้แก่บุคคลที่มาจากศาสนาอื่นก็ได้

    ปล.เรื่องเทพเจ้าแห่งลมหายใจนี้ผมไม่ได้พูดเล่นนะ (-_-")

    Inuit mythology[edit]
    Silap Inua, the weather god who represents the breath of life and lures children to be lost in the tundra

    ของสุเมเรี่ยน
    Enlil ("Lord of the Storm") is the God of breath, wind, loft and breadth. He is the son of Anshar, the sky god and Kishar, the earth mother goddess. He was banished from Dilmun, home of the gods, to Kur, the underworld for raping the goddess Ninlil. He was the inventor of the mattock and helped plants to grow.
    He is the father of the moon god Nanna, Ninurta, the God of War and Nisaba, the goddess of grain. His temple was named Ekur, "House of the Mountain". Enlil was also the God of weather and helped create the humans, but then got tired of their noise and tried to kill them by sending a flood.

    ตอบลบ
  14. จะว่าไปทุกศาสนาทั้งพุทธ คริสตร์ อิสลามมีอยู่สิ่งนึงที่เป็นศัตรูของมนุษยชาติเหมือนกัน คำว่า ซัยตอน ซาตาน ท้าววสวัตตีมาร (วะ-สะ*-วัต-ตี*) ซึ่งที่เรียกต่างกันบ้างคงเป็นเพราะข้อจำกัดในการออกเสียงแต่ละภาษา แต่ผมอ่านดูคร่าวๆเหมือนจะเป็นเรื่องเดียวกัน เช่นล่อให้มนุษย์เกิดความโลภจนละเมิดศีลขโมยของบ้าง ทำให้มนุษย์เกิดความโกรธแค้นเพื่อฆ่ากันบ้าง ฯลฯ ทุกวันนี้เรามัวแต่กังวลเรื่องศาสนานู้นนี้จะมาทำให้ศาสนาเราบิดเบือนรึเปล่าปล่อยพวกซัยตอนให้บิดเบือนสังคมเราตามใจชอบ สร้างระบบทุนนิยมที่บูชาเงินด้วยความโลภ ปล่อยให้มีเวปโป๊เวปเถื่อนที่ค้าคนเป็นทาสบำเรอกาม ปล่อยให้มียาเสพติดที่ร้ายแรงกว่ายิ่งกว่าสุราหลายล้านเท่า และอาจจะกำลังล่อหลอกให้คนแต่ละศาสนาทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กน้อย ในขณะที่พวกมันกำลังล่อลวงมนุษย์อย่างเราอีกส่วนนึงให้ก่อตั้งสิ่งที่เป็นภัยต่อมนุษย์ชาติเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว จะเห็นว่าลัทธิซัยตอนที่แฝงตัวเข้ามาในสังคมนั้นน่ากลัวและเป็นภัยมากกว่า สุดท้ายในฐานะชาวพุทธคนนึงผมขอขอบคุณที่พวกท่านเผยแผ่คำสอนของท่านนบีมูฮัมหมัดมาเช่นกันผมได้ข้อคิดจากการศึกษาอัลกุรอ่านแล้วก็ได้ข้อคิดและมุมมองที่แตกต่างที่เป็นประโยชน์หลายอย่างเลยทีเดียว จึงขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ครับ

    ตอบลบ
  15. อีกเรื่องนะครับจากที่ผมได้ศึกษาในอัลกุรอ่าน ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดสืบเนื่องจากเทวรูปทั้งหลายมักกลายเป็นที่สิ่งสถิตของยินหรือผีซึ่งมักล่อลวงให้มนุษย์สังเวยมนุษย์เด้วยกันในภายหลังพื่อการบูชายันต์ พระองค์อัลลอฮฺจึงทรงห้ามการเข้าไปเกี่ยวข้องกับเทวรูปเหล่านั้นและเป็นที่มาหลักของการไม่ข้องแวะเกี่ยวกับพิธีกรรมของผู้อื่น แต่การทำซักกาตด้วยการให้แก่ศาสนิกชนอื่นอย่างการใส่บาตรนั้นเป็นการกระทำแบบท่านบีมูฮัมหมัดที่เคยมอบเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้แก่ชาวคริสตร์และชาวยิวโดยไม่ได้สนใจว่าเขาจะเอาเนื้อส่วนนั้นไปทำอะไรต่อขอเพียงเนื้อส่วนนั้นฮาลาลและท่านมอบให้แก่ผู้อื่นด้วยใจที่บริสุทธิก็เพียงพอ ซึ่งผู้ที่ทำซักกาตแก่ต่างศาสนิกชนนั้นเป็นการทำเพื่อเผยแผ่หลักเมตตาธรรมของอิสลามตามแบบท่านบีมูฮัมหมัด (ซึ่งสิ่งใดที่อิสลามห้ามไว้จะระบุชัดเจนเช่นพระองค์อัลลอฮฺจะทรงห้ามรับเนื้อจากการบูชายันต์เทวรูป ห้ามเข้าไปอยู่ในพิธีที่มีเทวรูป เป็นต้น)

    หากผมเข้าใจผิดประการใดก็ได้โปรดช่วยชี้แนะด้วยครับ

    ตอบลบ