อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เขาได้พบสัจธรรมที่เสาะหามานาน


พี่น้องนักดะวะฮฺของเรา(คนซ้ายมือ) ได้หยุดพูดคุยกับชายคนนี้ที่ดูโศกเศร้า
เนื่องจากเขาสูญเสียคนในครอบครัวไป และกำลังเผชิญกับความยากลำบากนั้น ในขณะที่เขาอายุ 25 ปี ฮิวโก้กำลังมองหาคำตอบในชีวิต

เมื่อนักดาอีย์ได้อธิบายเกี่ยวกับอิสลามให้เขาฟัง

เขากล่าวว่า "อิสลามนั้นตอบรับกับสติปัญญาอย่างสมบูรณ์"

แล้วเขาก็กล่าวปฏิญาณตนเข้ารับอิสลาม หลังจากกล่าวชะฮาดะฮฺอย่างกระตือรือร้น เขาตัวสั่น และมีความสุขจริงๆ เขาบอกว่า

"เขารู้สึกโล่ง เขาเคยมองหาสัจธรรม และตอนนี้เขาก็ได้พบแล้ว"

อัลฮัมดุลิลละฮฺ ขออัลลอฮฺทรงนำทางแก่เขา ให้พี่น้องที่กำลังประสบกับทดสอบต่างๆในชีวิต ได้ผ่านมันไปด้วยความดีงามด้วยเถิด

...................................................

แปลและเรียบเรียงโดย S. New muslim | มุสลิมใหม่
ที่มา Mission Dawah

ท่านคอลีฟะฮฺอุษมาน บิน อัฟฟาน มีสมุดบัญชีอยู่ในธนาคารแห่งซาอุดีอาราเบีย





ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลฯ ได้ร่วมกับบรรดามุสลีมีนในการฮิจญเราะห์ (ย้าย) จากนครมักกะฮฺสู่นครมาดีนะห์ ในระหว่างทาง พวกเขารู้สึกกระหายน้ำมาก ด้วยความชินชาของพวกเขาในการดื่มน้ำซัมซัมในมักกะฮฺ จึงทำให้พวกเขาอยากที่จะดื่มน้ำซัมซัมอยู่ตลอดเวลา พวกเขาจึงไปพูดคุยกับท่านนบีฯ แล้วบอกให้ท่านทราบว่า ในนครมาดีนะห์แห่งนี้ มีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่ง รสชาติของน้ำเคียงใกล้กับรสชาติของน้ำซัมซัม แต่บ่อน้ำที่ว่านี้ เป็นบ่อน้ำของคนยิว คนยิวรายนี้จะไม่แจกจ่ายฟรี เขาจะทำการค้าขาย หรือเก็บสตางค์กับคนที่มาดื่ม หรือตักเอาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น ถึงแม้ว่าจำนวนน้ำจะตักได้แค่ฝ่ามือก็ตาม

ท่านนบีฯ ได้ส่งตัวแทนเพื่อไปพูดคุยกับคนยิว (เจ้าของบ่อน้ำ) เพื่อให้เขาได้ขายบ่อน้ำให้แก่บรรดามุสลีมีน ด้วยเงินตราที่เทียบเท่ากับตาน้ำที่ผุดขึ้นในสวรรค์ (ท่านนบีฯ จะขอดุอาอฺต่ออัลลอฮฺ เพื่อให้พระองค์ทรงมอบสวรรค์ให้แก่ยิวคนนี้) แต่ว่าคนยิวรายนี้ได้ปฏิเสธ เขาบอกว่าเขาอยาได้เงินทอง

เมื่อท่านอุษมาน บิน อัฟฟานได้ยินคำขอดังกล่าวนั้น ท่านจึงรีบไปหาเจ้าของบ่อ แล้วพูดคุยกับเขา เพื่อที่จะขอซื้อบ่อน้ำ แล้วท่านก็จ่ายด้วยทรัพย์สินของท่าน ด้วยการทำสัญญาและทำการตกลงว่า บ่อน้ำนี้ จะเป็นกรรมสิทธิ์ของคนมุสลีมีน และกรรมสิทธิ์ของคนยิว ด้วยการเป็นเจ้าของวันเว้นวัน (วันนี้ของเป็นมุสลีมีน พรุ่งนี้จะเป็นของยิว และจะผลัดกันไปแบบนี้)

ผู้คนที่นั่นต่างก็มาดื่ม และตักน้ำเพื่อให้เอาไปใช้ประโยชน์ในวันของท่านอุษมาน บิน อัฟฟาน (เพราะตักน้ำไปโดยไม่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายใดๆ) โดยที่ไม่มีใครเลย จะมาตักน้ำในวันของคนยิว (เพราะต้องจ่ายค่าน้ำ) เจ้าของบ่อน้ำรู้สึกถึงความขาดทุน ที่เขาไม่สามารถเก็บค่าใช้จ่ายจากบ่อน้ำนี้เลย เขาจึงไปหาท่านอุษมาน บิน อัฟฟาน แล้วถามท่านว่า : คุณจะซื้อบ่อน้ำนี้ไหม ? ท่านอุษมานจึงตอบรับคำตกลงในการซื้อบ่อน้ำนี้ แล้วจ่ายเป็นเงินจำนวนสองหมื่นดิรฮัม แล้วท่านจึงมอบบ่อน้ำนี้ หรือวากัฟเพื่ออัลลอฮฺ ให้ใครๆ ได้ใช้ประโยชน์

หลังจากช่วงหนึ่งได้ผ่านไป มีศอฮาบะห์คนหนึ่งเข้ามาหาท่านอุษมาน มาพูดคุยเรื่องบ่อน้ำ เพราะเขาต้องการซื้อจากท่าน ด้วยการเสนอราคาสองเท่าที่ท่านเคยซื้อไว้ ท่านจึงตอบไปว่า : บ่อน้ำนี้เป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับฉัน เขาจึงเพิ่มจำนวนเป็นสามเท่า ท่านก็ยังยืนยันด้วยคำตอบเดิมว่า : มันเป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับฉัน เขาจึงเพิ่มจำนวนเงินไปเรื่อยๆ จนถึงเก้าเท่า แต่ว่าคำตอบที่ได้มา ยังเป็นคำตอบเดิม (คือไม่ขาย) ท่านอุษมานจึงพูดว่า : อัลลอฮฺซุบฮานาฮูวาตาลาทรงได้มอบให้แก่ฉันถึงสิบเท่าของความดีงามให้แก่ฉัน

วันเวลาผ่านพ้นไป สิ่งดีๆ ก็ได้บังเกิดขึ้นรอบๆ บ่อน้ำ เพราะเป็นดินที่ชุ่มชื้นด้วยน้ำ ต้นอินทผาลัมก็งอกงาม ท่านจึงสั่งให้ผู้คนเอาใจใส่ในการเพาะปลูก จนนานวัน ที่นั่นเป็นสถานที่เพาะปลูกต้นอินทผาลัมจนถึงปัจจุบัน

ประเทศซาอุดีอาราเบีย เป็นประเทศที่มีความเจริญในการเพาะปลูกและค้าขายอินทผาลัม รายได้ที่มาจากการค้าขายนี้ ครึ่งหนึ่ง จะถูกแจกจ่ายให้แก่คนยากจน และส่วนอีกครึ่งหนึ่ง จะถูกเก็บไว้ในบัญชีที่มีชื่อว่า อุษมาน บิน อัฟฟาน

จนกระทั่งปัจจุบัน จำนวนเงินของท่านที่อยู่ในธนาคาร เป็นจำนวนเงินที่เพียงพอในการซื้อที่ดินแปลงหนึ่งอยู่ใกล้มัสยิดอันนาบาวีย์ และเป็นสถานที่ตั้งของโรงแรมระดับห้าดาว และการก่อสร้างโรงแรมหลังนี้ เกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว และคาดว่า โรงแรมนี้ น่าจะเก็บรายได้ต่อปี อยู่ที่ 50 ล้านรียาล (ราวๆ 500 ล้านกว่าบาท) และครึ่งหนึ่งจากจำนวนนี้ จะถูกแจกจ่ายให้แก่บรรดาคนยากจน และอีกครึ่ง จะถูกเก็บไว้ในบัญชีของท่านอุษมาน บิน อัฟฟาน



✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿



บทความดีๆ จากเพจ : أنا مثقف
ถอดความและเรียงคำโดย : อูลุล อัลบ๊าบ 

ให้รีบละศิลอดและรับประทานอาหารสะหูรฺช่วงท้ายของเวลา



ศาสนาให้เร่งรีบละศิอด เมื่อถึงเวลาละศิลอด และให้รับประทานอาหารสะหูรฺล่าๆ ช่วงท้ายของเวลา ก่อนถึงเวลาถือศิลอด


รายงานจากอัมรฺ บินมัยมูน ว่า
ปรากฏว่าบรรดาศอหาบะฮฺของท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมนั้น เป็นผู้ที่รีบละศิลอด และจะรับประทานอาหารสะหูรฺในช่วงท้ายๆของเวลา” (บันทึกโดยอัลบัยฮากี ด้วสายรายงานที่ถูกต้อง)

รายงานจากท่านซัยดฺ บินษาบิต ริอฎียัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า
“พวกเราเคยร่วมรับประทานอาหารสะหูรฺ พร้อมกับท่านท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม หลังจากนั้นเราได้ลุกขึ้นไปละหมาด (ศุบฮฺ) ฉันได้ถามท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า : ระยะระหว่างของเวลาอาหารสะหูรฺกับเวลาละหมาดนั้นห่างประมาณเท่าไหร่?  ท่านตอบว่า : ระยะประมาณ 50 อายะ”(บันทึกหะดิษโดยอิมามบุคอรีย์ และมุสลิม)

รายงานจากซะฮฺลิบนี สะอฺดิน ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า  แท้จริงท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“ถือว่ามนุษย์ยังคงอยู่ในความดี ตราบที่พวกเขารีบละศิลอด” บันทึกหะดิษโดยอิมามบุคอรีย์ และมุสลิม)



والله أعلم بالصواب


วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

โปรดจงเยียวยาผู้ป่วยของท่าน ด้วยการออกศอดาเกาะห์



รื่องนี้เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงในประเทศซาอุดีอาราเบีย

มีผู้หญิงชาวซาอุดีอาราเบียคนหนึ่ง นางป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือด จึงมีความจำเป็นต้องมีคนมาช่วย นางจึงหาคนรับใช้คนหนึ่ง เพื่อมาดูแลนาง คนรับใช้ที่นางหามาได้นั้น เป็นคนรับใช้หญิงสัญชาติอินโดนีเซีย คนรับใช้คนนี้เป็นมุสลิมะห์ที่ดี มีจรรยามารยาทที่ดีงาม และเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่งในเรื่องศาสนา

เวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์กว่าๆ ที่คนรับใช้ได้ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลนาง นางได้สังเกตุว่าคนรับใช้คนนี้เข้าห้องน้ำเป็นเวลานานกว่าที่คนปกติเขาใช้กัน นางก็อดสงสัยไม่ได้ ก็เลยถามคนรับใช้ว่า : คุณเข้าไปทำอะไรในห้องน้ำเป็นเวลานาน ???

คนรับใช้ก็นิ่งสักพัก แล้วก็สะอื้นร้องไห้ออกมา

นางจึงถามว่า : เป็นเพราะเหตุใดที่คุณต้องร้องไห้ ???

คนรับใช้ก็ตอบว่า : ที่จริงแล้ว ฉันเพิ่งคลอดลูกมาได้แค่ยี่สิบกว่าวันเอง แล้วมีสายโทรศัพท์จากองกรณ์การจัดหางานในประเทศซาอุดีอาราเบีย แล้วฉันก็ตอบตกลง เพราะฉันจำเป็นจริงๆที่ต้องหารายได้มาเลี้ยงลูกของฉัน และเหตุที่ฉันเข้าห้องน้ำเป็นเวลานาน เพราะฉันได้บีบนมทิ้ง เพราะน้ำนมไหลออกมาเกือบทุกเวลา

เมื่อนางได้ฟังคำตอบแล้ว นางก็รู้สึกสงสาร แล้วรีบจองตั๋วเครื่องบินให้กลับไปอินโดนีเซีย แล้วนางก็ให้เงินจำนวนหนึ่ง เพื่อให้คนรับใช้ได้กลับไปให้นมลูกเป็นระยะเวลาสองปี แล้วนางก็พูดว่า : เงินก้อนนี้ เป็นเงินเดือนล่วงหน้าสองปี และนี่เป็นเบอร์โทรศัพท์ของฉัน เมื่อคุณได้ทำภาระของคุณเสร็จแล้ว คุณจะกลับมาหาฉันได้อีกนะ

หลังจากที่คนรับใช้กลับประเทศอินโดนีเซียแล้ว ถึงเวลากำหนดการตรวจโรคมะเร็งตามที่หมอได้นัดไว้ นางก็ไปตรวจเป็นประจำ จนวันหนึ่ง หมอทำการตรวจโรคมะเร็งเหมือนปกติ แล้วไม่เจอโรคมะเร็งในตัวนาง จนทำให้หมออึ้ง จึงทำการตรวจแล้วตรวจอีก เพราะทำการเช็คเพื่อความแน่ใจ ปรากฏว่าในตัวของนางนั้น ไม่มีโรคมะเร็งแล้ว แล้วหมอก็ให้ความมั่นใจว่า โรคมะเร็งได้หายไปแล้ว

ผู้คนก็ถามนางเกี่ยวกับการเยียวยา นางก็ให้คำตอบด้วยบทฮาดีษ จากอบูอูมามะห์ รอฏียัลลอฮูอันฮู กล่าวว่า : แท้จริงแล้ว ท่านนบีศ็อลฯ ได้กล่าวไว้ว่า : โปรดจงเยียวยาผู้ป่วยของท่าน ด้วยการออกศอดาเกาะห์ (ฮาดีษรายงานโดย ฏอบารอนีย์และบัยฮากีย์)



✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿



บทความดีๆโดย : ღ اللهم إنى أسألك الهدى والتقى ღ
ถอดความและเรียงคำโดย : อูลุล อัลบ๊าบ

โฉมหน้ากองกำลังปิศาจชาบีฮา




แกะรอย “...ชาบีฮา...หรือ Shabbeehah..( الشبيحة ).” กองกำลังปีศาจหน่วยล่าสังหารฆาตรกรรมบ้าเลือดที่ทำการเชือดคอฝังทั้งเป็นและข่มขืนชำเราหญิงสาวชาวซีเรียอย่างสุดเหี้ยมโหดร้ายทารุณและป่าเถื่อน...ที่คอยค้ำจุนระบอบทรราชย์บาชาร์ อัลอัซซาดแห่งซีเรีย

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
โดยปกติแล้วคลินิกของดร.มูซาบ อัซซาวีที่ตั้งอยู่ทางเมืองชายฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนี่ยนของซีเร
ียเปิดรับให้การบริการรักษาโรคให้กับผู้เจ็บไข้ได้ป่วยเสมอแต่ว่าการที่จะผ่าตัดรักษาหัวใจของคนป่วยที่ส่วนลึกของหัวใจของเขาที่หวาดกลัวต่อกองกำลัง “ ชาบีฮา” ของบาชาร์ อัลอัซซาดนั้นย่อมไม่มีหมอคนไหนสามารถผ่าตัดเยียวยารักษาได้

“ พวกมันเหมือนปีศาจ” กล่าว ดร.อัซซาวี พวกมันส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีกล้ามเนื้อที่ใหญ่โตเป็นมัดๆ ท้องพุงที่ใหญ่โต หนวดเครารุงรัง และมีร่างกายสูงใหญ่และน่าหวาดกลัว นอกจากนั้นพวกมันจะมีฮอร์โมนพิเศษสำหรับกระตุ้นทำให้ร่างกายดูพองใหญ่บึกบึงอยู่เสมอ...

ผมต้องพูดคุยกับเขาเหมือนพูดคุยกับเด็กเล็กๆเพราะว่า “ชาบีฮา” เหมือนกับคนที่ปัญญาอ่อนไม่มีมันสมอง แต่ว่าเป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้พวกมันกระทำการชั่วช้าป่าเถื่อนได้เสมอ เป็นที่หวาดกลัวของผู้คนในซีเรียเป็นอย่างมาก เพราะเนื่องจากเป็นการผสมผสานระหว่างความไม่่มีสติปัญญา การมีใจคอที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์รวมเข้ากับการถูกปลูกฝังให้จงรักภักดีแบบถวายชีวิตต่อเจ้านายเข้าด้วยกัน และเพราะเหตุนี้พวกมันพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อบาชาร์เสมอ..

บาชาร์ อัลอัซซาดได้ใช้ความโหดร้ายป่าเถื่อนของพวกมันอย่างสมบูรณ์แบบนี้ในการห้ำหั่นบดขยี้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลของมันทุกครั้ง จนมีผู้คนที่เป็นเหยื่อถูกสังหารและทารุณกรรมอย่างโหดเหี้ยมไม่เว้นแต่ละวันเป็นจำนวนมาก แม้นกระทั่งเด็กๆและสตรีก็ไม่ละเว้น จนกระทั่งในที่สุดความเร้นลับของ “ชาบีฮา” ก็ถูกกระชากหน้ากากออกมาสู่สายตาชาวโลกในที่สุดเมื่อมีเหตุการณ์ฆาตรกรรมสังหารหมู่ทั้งยิงและเชือดคอพลเรือนแม้กระทั่งสตรีและเด็กๆชาวซีเรียที่เมืองฮอมส์และฮูลาเมื่อครั้งที่ผ่านมาอันลือลั่นดังกระฉ่อนทั่วโลก...เหยื่อที่ถูกฆาตกรรมตายอย่างโหดร้ายทารุณที่ผ่านมานั้นเป็นผลงานของมันเองนั่นคือฝีมือของกองกำลังหน่วยล่าสังหาร “ชาบีฮา” นี้เอง
พวกมันเข้าไปในหมู่บ้านในยามวิกาลและบุกเข้าไปหาเหยื่อบ้านต่อบ้านแล้วพวกมันก็จ้วงแทงและเชือดคอเหยื่อเคราะห์ร้ายที่มันพบเห็นทุกคนโดยไม่มีการละเว้นและเมตตาปราณีใดๆทั้งสิ้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นสตรีและเด็กๆเป็นว่าเล่น ในจำนวนนี้มีเด็กๆอยู่ถึง 49 ศพจากจำนวนทั้งหมด 108 ศพ

“ นั่นคือลูกชายของฉัน...ลูกชายของฉัน” เสียงสะอึ้งของชายคนหนึ่งหลังจากเขาได้เห็นสภาพศพเด็กๆและลูกของเขาที่ถูกฆาตรกรรมถูกเผยแพร่ออกมาทางยูทูบ
สำหรับสายตาชาวโลกเพิ่งจะสามารถเห็นและรับรู้เกี่ยวกับความผลงานบ้าระห่ำกระหายเลือดสุดป่าเถื่อนของ “ ชาบีฮา ” แต่สำหรับในซีเรียแล้ว ความป่าเถื่อนโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ของพวกมันเป็นที่รู้จักมานนานแสนนานแล้ว


ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์ไม่สงบโดยเฉพาะการเดินขบวนต่อต้านรัฐบาลแล้ว พวกมันจะถูกปล่อยออกไปตามท้องถนนเพื่อทำการราบปรามและสยบผู้ประท้วงอย่างโหดเหี้ยม พวกมันส่วนใหญ่จะมาจากชาวชีอะห์อาลาวียะห์และหลายคนก็เป็นเครือญาติของบาชาร์ อัลอัซซาดเสียด้วย พวกมันสามารถหักแข้งหักขาของผู้คนได้อย่างป่าเถื่อนและอุจอาจ และสามารถกระทำการได้ทุกอย่างเพื่อบาชาร์ อัลอัซซาดแม้นจะต้องพลีชีพของมันก็ตามแต่ มันเป็นสัญชาติญาณของพวกมันที่ได้รับการปลูกฝังมาเยี่ยงนั้น...และด้วยเหตุนี้พวกมันก็ได้รับการประกาศเชิดชูเกียรติว่าเป็นประชาชนผู้จงรักภักดีต่อบาชาร์ อัลอัซซาดมาตลอด

โดยแท้จริงแล้วผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่ที่เมืองฮูลานั้นรู้ดีว่าผู้ที่ลงมือกระทำการฆาตรกรรมอันเหี้ยมโหดครั้งนั้นไม่ใช่มาจากกำลังทหารประจำการของรัฐบาล เพราะเป็นที่สังเกตุว่าพวกมันจะสวมใส่รองเท้าผ้าใบสีขาวที่แตกต่างจากรองเท้าบู๊ทของทหาร ซึ่งในซีเรียเป็นที่รับรู้กันว่าแค่เห็นรองเท้าผ้าใบสีขาวนั้นย่อมเป็นสัญญลักษณ์แห่งความหวาดกลัวและสยองขวัญของหน้าชาวซีเรียโดยทั่วกันแล้ว ต่างหวาดกลัวความโหดร้ายป่าเถื่อนผิดมนุษย์และความอยู่เหนือกฎหมายของพวกมันมากกว่ากองกำลังทหารเสียอีก กฏหมายซีเรียจะทำอะไรพวกมันไม่ได้เลย

“ ชาบีฮา” ( الشبيحة ) ในภาษาอาหรับหมายถึงภูตผีหรือสิ่งที่น่ากลัวสยองขวัญ หรือหมายถึงกลุ่มอันธพาลที่ป่าเถื่อน แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้น “ ชาบีฮา” ชื่อเสียงพวกมันเป็นที่กล่าวขวัญกันว่าน่ากลัวสยองขวัญมากกว่าภูตผีอีก...

บาชาร์ อัลอัซซาดและพ่อของมันได้ใช้ความโหดร้ายของกองกำลังปีศาจนี้ในการค้ำบัลลังค์ของมันเพื่อให้ชาวซีเรียต่างก้มหัวสิโรราบให้กับมัน พวกมันได้ถูกทำการล้างสมองและถูกปลูกฝังจิตสำนึกให้กับพวกมันว่าชาวมุสลิมซนหนี่เป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกมัน


อาลาวียะห์มีอยู่แค่ร้อยละ 12 ของประชากรซีเรียทั้งประเทศและจากประวัติศาสตร์นั้นซีเรียถูกปกครองโดยชาวมุสลิมซุนหนี่มาเนิ่นนานจากอดีตกาลแล้วซึ่งส่วนใหญ่แล้วอาศัยอยู่ในเมืองฮอมศ์ ลาตาเกียและตามชนบทในขณะนี้

สำหรับชาวอาลาวียะห์เป็นที่รับรู้ว่าความเชื่่อในเรื่องการละหมาดนั้นไม่ใช่หลักการของศาสนา และไม่มีการถือศีลอดและไม่มีการประกอบพีธีฮัจญ์ อีกทั้งความเชื่อและหลักการของพวกนี้มันนั้นเร้นลับอีกทากมายที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ และตามที่นักปราชญ์หลายคนต่างให้ความเห็นว่าพวกนี้มีความเชื่อพื้นฐานที่คล้ายศาสนาคริสต์แต่มุสลิมซุนหนี่ถือว่าพวกนี้เป็นพวกนอกรีตที่หลุดออกจากอิสลามแล้ว

หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิอุษมาณียะห์ ผู้ปกครองซีเรียที่ได้รับการหนุนหลังจากฝรั่งเศสต้องการป้องกันไม่ให้กลุ่มมุสลิมซุนหนี่กลับมามีอำนาจในซีเรียอีก จึงได้สร้างกองกำลังอาลาวียะห์นี้และฝังตัวอยู่ในกองทัพของซีเรียเพื่อมากระทำการห้ำหั่นมุสลิมซุนหนี่ในซีเรียกลับมาเรือนอำนาจอีก



ในที่สุดพวกอาลาวียะห์ก็สามารถฝังตัววางรากฐานและมีอิทธิพลทางการเมืองของซีเรียอย่างใหญ่โตและกว้างขวางมาก สามารถควบคุมหน่วยงานความมั่นคงสูงสุดและทางการทหารของประเทศ ซึ่งเป็นที่มาของฮัฟฟิซ อัลอัซซาดผู้เป็นพ่อของบาชาร์ในการปฏิวัติยึดอำนาจของซีเรียจวบจนกระทั่งทุกวันนี้

แรกเริ่มนั้นพวก “ชาบีฮา” เป็นกลุ่มมาเฟีย ซึ่งมีรายหลักได้จากการกิจกรรมที่ผิดกฎหมายทั้งหลายในซีเรีย การขู่เข็ญและการช่อโกงลักลอบค้าขายสินค้าเถื่อนกับต่างประเทศ และตระกูลอัลอัซซาด ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับอาชญากรกลุ่มนี้ ไม่สนใจว่าพวกนี้จะโหดร้ายอย่างไร มิหนำซ้ำกลับเอาพวกอันธพาลที่โหดเหี้ยมและดุร้ายเหล่านี้มาเป็นพรรคพวกและตั้งเป็นกองกำลังป้องกันพวกเขา พวกเขาถูกปลุกฝังว่าพวกเขากำลังต่อสู้ทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด พวกเขาจะต้องปกป้องและพร้อมที่จะยอมตายเพื่อรัฐบาล พวกเขามักจะกล่าวเสมอๆว่า บาชาร์ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้นเพราะท่านมีกองกำลังที่กระหายเลือดคอยให้การคุ้มกันอยู่เคียงข้างเสมอ

อารีน อัลอัซซาดซึ่งมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติที่ใกล้ชิดกับบาชาร์ อัลอัซซาดและเป็นหนึ่งในสมาชิกแกนนำของ"ชาบีฮา" พวกมันส่วนใหญ่ได้รับการคัดสันเลือกมาจากสโมสรนักกีฬาเพาะกล้ามต่างๆ ที่ถูกอัดเสริมกระตุ้นด้วยฮอร์โมนเสตอรอยด์ และพวกเขาก็ได้รับการเลี้ยงดูและฝึกฝนอย่างเยี่ยงสัตว์และผู้เป็นนายสามารถสั่งการให้พวกมันทำอะไรก็ได้แม้นจะโหดเหี้ยมป่าเถื่อนเพียงใด พวกมันก็พร้อมจะทำตามคำสั่งเสมอ



ฮัมซา อัลบูไวดา, หนึ่งในสมาชิกของผู้ต่อต้านรัฐบาลกล่าวว่าเมื่อครั้งที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนั้นเขาต้องมองบาชาร์เหมือนพระเจ้า ไม่มีใครกล้าลบหลู่ดูหมิ่นหรือกล่าวอะไรในทางที่ไม่ดีเกี่ยวกับเขาเลย มันมีความเชื่อบางอย่างในศาสนาของเขาที่คอยกำกับให้พวกเขาเป็นเยึ่ยงนั้น พวกเขาถูกปลูกฝังล้างสมองจากทางการซีเรียเสมอว่าชาวมุสลิมซุนหนี่เป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกมัน และถ้าหากว่าบาชาร์ล่มสลายจากอำนาจไปแล้วพวกมันก็จะต้องถูกกำจัดไปจนสิ้นซากอย่างแน่นอน

พวกมันได้รับการสนับสนุนทางด้านอาวุธจากกองทัพอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในยามที่มีการปราบปรามสลายผู้ชุมนุมพวกมันจะถูกปล่อยออกมากำหราบผู้ชุมนุมเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกับกำลังทหารแต่ที่ต่างกันคือพวกมันโหดเหี้ยมยิ่งกว่าทหารยิ่งนัก พวกมันจะสวามิภักดิ์ต่อเจ้านายอย่างยิ่งยวดและลงมือกระทำการอย่างบ้าคลั่งตามคำสั่งของเจ้านาย ที่สำคัญยิ่งคือลูกพี่ลูกน้องของบาชาร์เองที่มีชื่อว่า “นูมีร์” มีตำแหน่งสำคัญในองค์กรลับ “ซาบีฮา” นี้ และองค์กรลับนี้ก็ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากนักธุรกิจอาลาวีย์ซึ่งมีสายสัมพันธ์อันเหนียวแน่นกันมากกับรัฐบาลของบาชาร์

เป็นที่รู้กันว่า “ซาบีฮา” มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการค้ำบัลลังค์ของรัฐบาลกดังนั้นค่าตอบแทนของ "ซาบีฮา"นั้นย่อมมากกว่าเงินเดือนของทหารทั่วไปมาก และ “ชาบีฮา” ยังมีเหตุผลอื่นๆอีกที่จำเป็นต้องเก็บบาชาร์ไว้ให้อยู่ในอำนาจต่อไป เพราะสถานะของพวกมันจะต้องตกที่นั่งลำบากอย่างแสนสาหัสแน่นอนถ้าหากว่ารับบาลบาชาร์ล่มสลายไป...



พวกมันถูกปลุกฝังและตอกย้ำไว้เสมอว่าบาชาร์เป็นผู้ค้ำจุนพวกมันและหากว่าบาชาร์ล่มสลายจากอำนาจแล้วย่อมจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกมัน พวกมันย่อมรู้ดีและเพื่อความอยุ่รอดของพวกมัน พวกมันจึงพร้อมเสมอที่จะเข่งฆ่าฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทุกคน แม้นกระทั่งจะต้องเหี้ยมโหดป่าเถื่อนถึงขั้นเชือดคอเด็กๆทิ้งก็ตามพวกมันก็พร้อมที่จะทำ... นี่คือความเป็นมาเคร่าๆของกองกำลังปีศาจบ้าเลือดหน่วยล่าสังหารอันเหี้ยมโหดและป่าเถื่อนที่คอยค้ำบัลลังค์บาชาร์ อัลอัซซาดแห่งซีเรีย...

เรียบเรียงโดย Ana Ghurabaa' Belkarsma ( Najmulfaton )

แหล่งอ้างอิง :
http://en.wikipedia.org/wiki/Shabihahttp://www.telegraph.co.uk/news/worldnews/middleeast/syria/9307411/The-Shabiha-Inside-Assads-death-squads.html
http://www.npr.org/2012/06/08/154600984/assads-shabiha-terrorize-syrians-after-shelling


.................................
Najmulfaton Belkarsma

การตะวัสซุลด้วยเกียรติของนบีไม่มีบัญญัติให้กระทำ


التوسل بجاه النبي صلى الله عليه وسلم ليس بمشروع، وإنما المشروع التوسل بأسماء الله وصفاته، كما قال الله سبحانه وتعالى:
{وَلِلَّهِ الْأَسْمَاءُ الْحُسْنَى فَادْعُوهُ بِهَا} (1) [الأعراف: 180] يعني يسأل الله بأسمائه كأن يقول الإنسان: اللهم إني أسألك بأنك الرحمن الرحيم، بأنك الجواد الكريم، اغفر لي، ارحمني، اهدني سواء السبيل وغير ذلك
การตะวัสซุล(การใช้สื่อกลางในการดุอา)ด้วยเกียรติของนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมนั้น ไม่มีบัญญัติให้กระทำ ความจริงสิ่งที่ถูกบัญญัติให้กระทำนั้นคือ การตะวัสซุล ด้วยบรรดาพระนามของอัลลอฮ และบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ ดังที่อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า (อัลลอฮทรงมีพระนามอันสวยงาม ดังนั้น พวกเจ้าจงวิงวอนขอต่อพระองค์ด้วยมันเถิด) – ซูเราะฮอัลอะอฺรอฟ/๘๐ หมายถึง ให้เขาขอต่ออัลลอฮด้วยบรรดาพระนามของพระองค์ เช่น ผู้คนจะกล่าวว่า

اللهم إني أسألك بأنك الرحمن الرحيم، بأنك الجواد الكريم، اغفر لي، ارحمني، اهدني سواء السبيل

- ดู ฟะตาวานูร อะลัดดัรบิ ลิอิบนิบาซ เรื่อง ตะวัซซุล เล่ม ๑ หน้า ๓๕๕

อัลลอฮ ตรัสไว้ในอัล-กุรอาน ว่า

إِيَّاكَ نَعْبُدُ وإِيَّاكَ نَسْتَعِينُ

เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราขอนมัสการ และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราขอความช่วยเหลือ (สูเราะฮฺอัล-ฟาติหะฮฺ 1 : 5)

ท่านเราะสูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม เคยกล่าวไว้กับท่านอิบนุ อับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ ว่า “และเมื่อท่านจะวิงวอนขอ ก็จงขอจากอัลลอฮ และเมื่อท่านต้องการความช่วยเหลือ ก็จงขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ” (บันทึกโดย อัต-ติรมีซีย์)

แล้วทำไมไม่ขอต่ออัลลออโดยตรง

ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ กล่าวว่า

قصد قبر بعض الصالحين للصلاة عنده والدعاء أو طلب الحوائج منه أو من الله عند قبره أو الاستغاثة به أو الإقسام على الله به ونحو ذلك من البدع التي لم يفعلها الصحابة ولا التابعون، ولا سنّ ذلك لنا رسول الله ولا أحد من خلفائه، وقد نهى عن ذلك أئمة المسلمين الكبار

"การเจตนา ไปยังหลุมศพของบรรดาคนดีบางส่วน เพื่อละหมาด และ ดุอา ณ ที่นั้น หรือขอบรรดาสิ่งที่เขาต้องการจากมัน หรือ ขอจากอัลลอฮ ณ ที่หลุมศพ หรือ ขอความช่วยเหลือ ด้วยหลุมศพ หรือ สาบานต่ออัลลอฮ ด้วยหลุมศพ และในทำนองนั้น เป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาดาบิดอะฮ ที่บรรดา เศาะหาบะฮ,ตาบิอีน ไม่ได้กระทำ และ รซูลุลลอฮ ไม่ได้ทำแบบอย่างดังกล่าวนั้น ให้แก่เรา และ คนหนึ่งคนใด จากบรรดาเคาะลิฟะฮของรซูลุลลอฮ ไม่ได้ทำแบบอย่างไว้ และ บรรดานอิหม่ามมุสลิมีนที่สำคัญ ได้ห้ามจากการกระทำดังกล่าว – ดูตะซีรุซายิด มิน อิตติคอซินกุบูร มะสาญิด ของเช็คอัลบานีย์


والله أعلم بالصواب

............................

Nasihat Child

อาการของคนถูก " ซะแฮ๊ร " ญินและชัยตอนเล่นงาน ( หรือถูกของ )





... เป็นที่ทราบกันดีว่า ญินหรือชัยตอนนั้น เมื่อมันได้เข้ามาอยู่ในตัวของมนุษย์ที่นับถือศาสนาอิสลาม มันก็จะมาลอกลวงว่าตัวของมันนั้นคือ อัลเลาะฮ์ ร่อซู้ล น่าบี ม่าลาอิกะฮ์ ซ่อฮาบะฮ์ หรือที่ส่วนมากของพวกมันชอบแอบอ้างก็คือ โต๊ะวะลี หรือ โต๊ะกีโต๊ะวัง และเมื่อมันได้เข้ามาอยู่ในร่างของคนต่างศาสนิก มันก็จะลอกลวงว่าตัวมันนั้นคือ เจ้าแม่ พระนุ้นพระนี่ ตามแต่กลลวงของมัน

ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้อ่านจะได้รับประโยชน์จากบทความนี้ ไม่มากก็น้อย เพื่อเป็นเกราะป้องกันมิให้สิ่งหลอกลวงเหล่านี้ เข้ามาบั่นทอนในการกระทำอิบาดะฮ์และในหลักการยึดมั่นของเราชาวมุสลิม

ญินหรือชัยตอนนั้น คณะดารุ้ลฟัตวาอฺของท่านดร.ซ่าลีม อุ้ลวาน อัลฮุซัยนี้ (ฮ.ฟ.) ท่านได้ทำการอธิบายเรื่องนี้ว่า " ญินหรือชัยตอนนั้น เมื่อมาอยู่ในร่างของมนุษย์ ไม่มีญินหรือชัยตอน ตัวไหนเลยที่เชื่อถือได้ ถึงแม้จะเป็นญินที่เป็นมุสลิมก็ตาม " เพราะแท้ที่จริง ญิน ที่ดีนั้น จะไม่มีทางมาอยู่ร่วมกับมนุษย์เด็ดขาด แต่ที่มาอยู่กับมนุษย์นั้น คือ กลลวงของพวกมัน ในการที่จะคอยหลอกล่อมนุษย์ให้อยู่เป็นเพื่อนของมันในนรก หรือ เพื่อให้ตัวมันนั้นสุขสบาย มีที่พักอาศัย เพราะถ้ามันอยู่แบบไม่พึ่งพามนุษย์แล้ว พวกมันจะไม่มีพลังอะไรเลย นอกเสียจากแค่เสมือนเด็กทารกคนหนึ่ง แต่ถ้าพวกมันมีที่พึ่งพิง พลังของมันนั้นเปรียบได้ดั่ง ม้าพยศหนึ่งตัวเลยทีเดียว

อัลกุรอ่านกล่าวว่า

وَأَنَّهُ كَانَ رِجَالٌ مِنَ الْإِنْسِ يَعُوذُونَ بِرِجَالٍ مِنَ الْجِنِّ فَزَادُوهُمْ رَهَقًا

" และแท้จริงมีมนุษย์อยู่หลายคนที่ขอความคุ้มครองด้วยกับบางกลุ่มจากญิน แล้วพวกญินเหล่านี้ก็เพิ่มพูนแต่ความบาป ( เพิ่มความหยิ่งยะโส ) แก่พวกเขา " อัล-ญิน 6

นี่คือหลักฐานจากอัลกุรอ่าน ที่เป็นข้อชี้ชัดให้เราเห็นว่า ญินหรือชัยตอนนั้น จะเป็นมิตรในช่วงแรกที่มาอยู่กับมนุษย์ และจะเป็นภัยร้ายให้กับคนที่พวกมันเข้าไปอยู่ในร่างในช่วงบั่นปลายชีวิตของเขา

.... ต่อไปนี้ คือส่วนหนึ่งจากเครื่องหมายที่ญินหรือชัยตอนมาอยู่ในร่าง ได้จากการ ทดสอบ และประสบการณ์จากนักวิชาการที่อยู่ในสายของอะลิ้สซุนนะฮ์วั้ลญ่ามาอะฮ์

1)Sakitke palaselepaswaktuasarkeatas.
ปวดหัวหลังจากเวลาอัสรีเป็นต้นไป

2) Badanterasaberatdanmalas.
รู้สึกตัวหนักและขี้เกียจ

3) Sukarmendapatjodoh.
ยากที่จะเจอเนื้อคู่

4) Badanterasabisa-bisa.
รู้สึกไม่สบาย ( คือพูดง่ายๆคือจะไม่สบายบ่อยมากกว่าคนปกติทั่วไป )

5) Sakitketikaziarah orang meninggal.
รู้สึกเจ็บเวลาไปเยี่ยมคนเสียชีวิต

6) Sukartidurmalam.
นอนกลางคืนยากมาก

7) Sakitpinggangtanpasebab.
ปวดเอวโดยไม่รู้สาเหตุ

8 ) Sakit dada bilawaktuasarkeatas.
แน่หน้าอกหรือเจ็บอก ในเวลาอัสรีเป็นต้นไป

9) Mimpimelihatbinatangsepertiulardansebagainya.
ชอบฝันเห็นสัตว์ เช่นงู

10) Bermimpibayiataumenyusukanbayi.
ชอบฝันถึงเด็กทารก หรือกำลังป้อนนมเด็กอยู่

11) Bermimpijatuhdaritempattinggi.
ฝันว่าตกจากที่สูง!!! ( ตกจากหลุมหรือที่สูง )

12) Bermimpi di tempat yang kotor.
ฝันในที่สกปรก

13) Sakitanggotabadantertentuseperti kaki selepaswaktuasar.
เจ็บปวดตามร่างกาย โดยเฉพาะขา หลังจากอัสรีเป็นต้นไป

14) Ada terasabendabergerakdibawahkulit.
รู้สึกเหมือนมีอะไรขยับขมุบขมิบๆ ใต้ผิวหนัง

15) Bayikerapmenangis.
เด็กทารกมักจะร้องไห้

16) Bunyigulijatuhdiatassyiling.
ได้ยินเสียงหินอ่อนตก จากเพดาน

17) Suamiisterikerapbertengkarwalauperkarakecil.
สามีภรรยามักจะทะเลาะกันแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย

18) Sayangmelampau-lampaupada orang yang barudikenali.
รู้สึกรักคนที่เพิ่งรู้จักไม่นานเร็วเกินไปและมากมาย

19) Malasberibadat.
ขี้เกียจทำอีบาดัต

20) Nyanyukketikausialanjut.
พอแก่ตัวไป จะเป็นคนหลงๆ ลืมๆ

21) Panasbaran.
อารมณ์ร้อน

22) Sikapberubahsecaramendadak.
อารมณ์แปรปรวน

23) Gelisahdanpanasditengkukbiladengar al-quran.
กระสับกระส่ายและร้อนที่คอเมื่อได้ยินอัลกุรอ่าน

24) Sukamelakukantabiatburuk.
ชอบทำอะไรที่มันไม่ดี

25) Kerapsendawabilamendengar al-quran.
มักจะเรอบ่อยเมื่อได้ยินอัลกุรอ่าน

26) Kerapkeguguran.
มักจะคลอดก่อนกำหนด

27) Gagalmelakukanhubungankelamin.
เมื่อมีเพศสัมพันธ์ไม่บรรลุ ( คือไม่ค่อยถึงจุดสุดยอด )

28) Mengantukbiladengar al-quran.
ง่วงเวลาได้ยินอัลกุรอ่าน

29) Bermimpiseram yang menakutkan.
ฝันถึงผีที่แสนจะน่ากลัว

30) Darahhaidturunlebih 15 hari.
มาประจำเดือนเกิน 15 วัน

31) Batuk yang berpanjangan.
ไอนานมาก

32) Selaluditindihketikatidur.
เวลานอนรู้สึกเหมือนมีอะไรมาทับตัวตลอดเวลา

33) Kuatberangan.
ใจลอย เพ้อฝันลมๆแล้งๆ

34) Terlalu rasa rendahdiridantidakberkeyakinan.
รู้สึกตัวเองต่ำต้อยและไม่มีความภาคภูมิใจในตัวเองเลย

35) Nafsuseksual yang melampau.
ความปรารถนาทางเพศสูงมาก

36) Selalumelihatkelibatdirumah.
เห็นอะไรบางอย่างในบ้านตัวเอง

37) Terasadiriselaludiperhatikan.
รู้สึกเหมือนตัวเองถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา

38) Mandul.
เป็นหมัน

39) Kerapmendengarsesuatubisikan.
มักจะได้ยินเสียงกระซิบอะไรบางอย่าง

40) Melihatjinsecaraterus.
เห็นญินบ่อยไม่หยุดหย่อน

41) Sakit mental ataugila.
มีอาการป่วยทางจิตถึงบ้า

" ผู้ที่บริสุทธิ์คือผู้ที่ไม่มี ญินหรือชัยตอน อยู่ในร่างของเขา "


والله أعلم بالصواب


แปลและเรียบเรียงจากตำราภาษาอาหรับและมาลายูโดย อะหมัดรอซีดี อิสมัญ
ถอดคำอธิบายใต้ภาษามาลายูโดย โรซาน อีซอ

รัฐบาลของบัชชารฺต้องพบกับจุดจบเสมือนรัฐบาลของก็อซซาฟีย์





ทำให้นึกถึงข้อความจาก Facebook ของ Abu Israfil ที่ว่า

การสู้รบในซีเรีย จะไม่ออกมาแบบลิเบีย และไม่ออกมาแบบอียิปต์อย่างแน่นอน แต่จะเป็นแบบที่สาม ที่เรายังเดาไม่ออกว่าจะออกมาในรูปแบบไหน เพราะการต่อสู้ครั้งนี้ มันไม่เพียงแค่ด้วยข้ออ้าง เอาประชาธิปไตยและความยุติธรรมเป็นหลัก แต่มันจะยกเอาความขัดแย้งระหว่างลัทธิอะลาวียฺและมุสลิมสุนหนี่

ซีเรียเป็นที่ตั้งของอิควานมุสลิมูน แม้จะถูกถอนรากถอนโคนมาตลอด แต่ก็ไม่ได้ทำให้มุสลิมในซีเรีย ล้มเลิกความคิดที่จะต่อสู้ ความพยายามที่แล้วมาในอดีตมีแต่ความปราชัย แต่ครั้งนี้มันคือโอกาสทองของพวกที่ต่อต้านความอยุติธรรมและการปกครองของพวกที่นับถือลัทธิอะลาวียฺ


................................
อะลาวียะฮฺ :
ชนผู้กุมบังเหียนซีเรีย
................................

พวกอะลาวียะฮฺ หรืออีกชื่อหนึ่ง นุศ็อยรียะฮฺ ที่เป็นชนกลุ่มน้อยในซีเรีย แต่มีอำนาจกุมบังเหียนประเทศ พวกเขาอ้างว่าเป็นพรรคพวกของท่านอะลีย์ บิน อบีฏอลิบ เป็นพวกที่ตามนุศ็อยรฺ บินอับดิลลาหฺ ลูกศิษย์ของอิมามฮาดี อิมามชีอะฮฺที่ 11 ทว่าหลักความเชื่อของพวกนี้มีความคล้ายคลึงกับพวกชีอะฮฺอิสมาอีลียะฮฺ จนดูเหมือนว่าได้แตกสาขาออกจากลัทธิอิสมาอีลียะฮฺ แล้วมาตั้งตนเป็นอิสระ ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่าลัทธินี้ได้รับอิทธิพลจากพวกชีอะฮฺอิสมาอีลียะฮฺ ซึ่งมีอิทธิพลในภูมิภาคนี้เป็นเวลานาน อย่างไรก็ตามลัทธินี้ยังได้เก็บเอาความเชื่อของศาสนาอื่นในภูมิภาคนี้มาผสมผสาน

ความเชื่อของพวกนุศ็อยรียะฮฺ

1. บทบัญญัติอิสลามแบ่งออกเป็นสองประเภทคือศอหิรฺ (ภายนอก) และบาฏิน (ภายใน) ที่เป็นแก่นก็คือสิ่งที่อยู่ภายใน ด้วยเหตุนี้กฏบัญญัติภาคบังคับทั่วไป เช่น การนมาซ ถูกกำหนดให้แก่คนทั่วไป พวกนุศ็อยรียะฮฺไม่จำเป็นต้องนมาซเพราะถือว่าเป็นผู้ที่เข้าใจศาสนาอย่างถ่องแท้แล้ว และบริสุทธิ์แล้ว

2. อะลีย์ บิน อบีฏอลิบ คือ อัลลอฮฺ ที่ได้ทรงอวตารลงมา (เลียนแบบฮินดู)

3. เชื่อในตรีเอกานุภาพ (Trinity) (เลียนแบบศาสนาคริสต์) ยกย่องบุคคลสามคน นั่นคือ อะลีย์ อัลมะอฺบูด (อะลีย์อันเป็นที่สักการะบูชา) มุฮัมมัด อัลมะฮฺมูด (นบีมุฮัมมัดอันเป็นที่สรรเสริญ) และ ซัลมาน อัลฟาริสีย์ อัลบาบ (ซัลมาน แห่งเปอร์เซียเป็นประตู) ทั้งสามคนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นอวตารของอัลลอฮฺ ทว่าอะลีย์เป็นอวตารที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ปัจจุบันมีประชากรชาวนุศ็อยรียะฮฺในซีเรีย 1.35 ล้าน ในเลบานอน 100,000 คน และในตุรกี 1 ล้านคน

ซีเรียมีประชากร 22.5 ล้านคน ซึ่ง 74% ของประชากร นับถืออิสลามแบบซุนนะฮฺ เมื่อชนกลุ่มน้อย ขึ้นมามีอำนาจปกครองชนส่วนใหญ่ มีวิธีเดียวที่จะรักษาอำนาจให้คงอยู่ได้ ก็คึอด้วยการใช้ระบอบปกครองแบบเผด็จการ มีพรรคบะอฺษฺ เป็นพรรคปกครองประเทศ และมีครอบครัวอัลอะสัด กุมบังเหียนมาเป็นเวลา 4 ทศวรรษ


.............................................
อิหร่าน-ฮิซบุลลอฮฺ : หมากร่วมกระดาน
.............................................

นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนซีเรียประกาศว่า ประชาชนชาวซีเรียประมาณ 2100 คนถูกสังหาร และอีก 26000 ถูกทางการจับตัวไป ตั้งแต่การเริ่มประท้วงต่อต้านการปกครองของบัชชาร อัลอะสัด จนกระทั่งปัจจุบัน ยังมีอีก 12000 คนที่ยังไม่ได้ถูกปล่อยตัวออกมา ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ฮิซบุลลอฮฺแห่งเลบานอน เข้ามาร่วมมือช่วยเหลือรัฐบาลอัลอะสัด เข้ามาเข่นฆ่าประชาชนในซีเรีย นั่นก็เพราะว่าผู้ปกครองซีเรียและพวกฮิซบุลลอฮฺเป็นชีอะฮฺด้วยกัน และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่อิหร่านจะสนับสนุนอัลอะสัด อย่างเต็มที่ เพราะหากพวกอัลอะสัดตกจากเก้าอี้ไปเมื่อไหร่ ฮิซบุลลอฮฺและอิหร่านจะขาดทุนอย่างมากมายมหาศาล

อิหร่านได้วางหมากบนกระดาน เพื่อรักษาอำนาจในภูมิภาคไว้อย่างดี ดูแผนที่สิ อิหร่าน อิรัก ซีเรีย เลบานอน อันเป็นประตูออกไปยังเมอติเตอเรเนียน หากซีเรียล้ม ฮิซบุลลอฮฺสลาย อิหร่านจะถูกปิดตายอีกด้านหนึ่ง และการลงทุนในซีเรีย อันได้แก่โรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ และอื่น ๆ จะฉิบหาย

..........................................
ทัศนะอุละมาอ์โลกมุสลิม
Facebook ของ อ. Mazlan Muhammad
..........................................

- ระบอบชีอะฮฺนุศ็อยรีย์ที่ซีเรียเป็นระบอบที่มีความโหดร้ายป่าเถื่อนยิ่งกว่าระบอบก็อซซาฟีย์หลายเท่า
- เป็นระบอบที่ได้มาด้วยการปฏิวัติ ปล้นสะดม เข่นฆ่า ไม่มีความปรานีชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนในโลก โดยเฉพาะระหว่างปี 1970-1980 ซึ่งซีเรียกลายเป็นทุ่งสังหารอันน่าสยดสยอง ชวนขนลุกที่แม้กระทั่งเด็กเล็กหากได้ยินเรื่องนี้แล้ว ทำให้ผมหงอกได้ โดยเฉพาะโศกนาฏกรรมที่เมืองหะมาฮฺในปี 1982 ที่ระบอบนี้ได้ทำลายล้างและเข่นฆ่า พร้อมทำลายบ้านเรือนจนราบเป็นหน้ากลอง
- เป็นระบอบฏอฆูต คอมมิวนิสต์ ชีอะฮฺ โหดเหี้ยม กาฟิร บะอฺซีย์ นุศ็อยรีย์ โดยมีสโลแกนว่า لاإله إلا الوطن ولارسول إلا البعث ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรเคารพบูชายกเว้นประเทศชาติ และไม่มีเราะซูลที่ควรยึดเป็นแบบอย่างยกเว้นแนวคิดบาท (บะอฺซีย์)
- ผู้ใดที่เป็นสมาชิกอิควาน มุสลิมูน เขาจะได้รับโทษประหารชีวิตสถานเดียว (เพียงเป็นสมาชิกเท่านั้น)
- ระบบการศึกษาที่ซีเรีย เป็นระบบที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์อิสลาม แต่ระบอบนี้ได้ทำให้การศึกษาอิสลามต้องถอยหลังเป็นพัน ๆ ปี
- ประชาชนชาวตูนิเซีย มีความแร้นแค้นมากขนาดไหน แต่เมื่อเทียบกับกับความทุกข์ยากของชาวซีเรียแล้ว ถือว่าชาวตูนิเซียอยู่ในสวรรค์ทีเดียว
- ความโหดร้ายของระบอบนี้ทำให้ประชาชนชาวซีเรียต้องอพยพหนีตายอาศัยอยู่ต่างประเทศมากกว่า 15 ล้านคน
- ประชาชนที่ถูกตามล่าและเป็นเหยื่อความโหดร้ายเหล่านี้คือ Ahlussunnah

ทำไมเราต้องต่อต้านระบอบนี้ ดู http://www.youtube.com/watch?v=YWM-Pf25Sf8&feature=related

ชัยคฺอะรีฟีย์กล่าวว่า บัชชารฺ อะสัด ผู้นำซีเรียปัจจุบันคือเชื้อร้ายที่เกิดจากวงศ์ตระกูลที่ร้าย หรือสำนวนไทยเรียกว่า เชื้อไม่ทิ้งแถว http://www.youtube.com/watch?v=2wCHWIyAjzE&feature=related

ฎอฆูตทุกคนต้องจากไป อำนาจของเขาจะต้องสูญสิ้น บัลลังก์ของเขาจะต้องทลายพัง รัฐบาลของบัชชารฺต้องพบกับจุดจบเสมือนรัฐบาลของก็อซซาฟีย์ http://www.arab2.com/video_library/?p=5671

""""""""""""""""
Ummah Islam

การห้ามถือศิลอดตลอดทั้งปี



      ศาสนาได้ห้ามมิให้มุสลิมคนใดถือศิลอดตลอดทั้งปี รวมทั้งวันต่างๆที่ศาสนาห้ามถือศิลอดด้วย

ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า
"ไม่ถือเป็นการถือศิลอด ผู้ที่ถือศิลอดตลอดทั้งปี" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอะหฺมัด อิมามอัลบุคอรีย์ และอิมามมุสลิม)

แต่ถ้าหากเขาได้ละศิลอดในสองวันอีด และวันตัชรีก ซึ่งเป็นวันที่ศาสนาห้ามถือศิลอด นั้นคือ เขาถือศิลอดตลอดทั้งปี ยกเว้นวันอีดทั้งสอง และวันตัชรีก ความน่าเกลียดก็หมดไป และไม่ถือว่าเป็นการถือศิลอดตลอดทั้งปี หากปรากฏว่าเขาผู้นั้นเป็นคนที่แข็งแรง สามารถที่จะถือศิลอดได้

ท่านอัตติรมีซีย์ กล่าวว่า
"ความจริงนักวิชาการกลุ่มหนึ่งถือว่า น่าเกลียดที่จะถือศิลอดตลอดทั้งปี ถ้าเขาไม่ละศิลอดในวันอีดฟิตรฺ และวันอัลอัฎฮา และวันตัชริก"

ซึ่งทัศนะข้างต้น ถือเป็นทัศนะของอิมามมาลิก อิมามชาฟีอี อิมามอะหฺมัด และอิมามอิสหาก

ซึ่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้ยอมรับ ฮัมซะฮฺ อัลอัสละมี ที่ได้ถือศิลอดอย่างต่อเนื่อง โดยท่านนบีกล่าวแก่เขาว่า
"เจ้าจงถือศิลอดหากเจ้าประสงค์ และจงละศิลอดหากเจ้าประสงค์"

ดังนั้นที่ดีและประเสริฐนั้น คือ ให้ถือศิลอดวันหนึ่งและงดถือศิลอดวันหนึ่ง เพราะดังกล่าวนั้นเป็นการถือศิลอดที่เป็นที่รักยิ่ง สำหรับอัลลอฮฺ



والله أعلم بالصواب

...................



การปฏิบัติตนช่วงท้ายของเดือนรอมฎอน





1.การ เอี๊ยะติกาฟ (การพำนักในมัสยิด) หมายถึง การพำนักอยู่ในมัสยิดโดยมีเจตนาปฏิบัติศาสนกิจต่ออัลลอฮฺเจ้ากล่าวคือ การอดกลั้นในแง่ของการกักตัวในที่ๆ จำกัด ไม่สามารถออกมาจากมัสยิด และไม่สามารถกระทำบางสิ่งบางอย่างที่สามารถทำได้ถ้าหากอยู่นอกการอิอฺติก้าฟ ในจำนวนนั้นคือ การหลับนอนกับภรรยา ถ้าหากการถือศีลอดไม่อนุญาตให้มีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลากลางวันเท่านั้น แต่อิอฺติก้าฟห้ามไม่ให้มีเพศสัมพันธ์กับภรรยาตลอดช่วงเวลาสิบวันไม่ว่าทั้ง กลางวันหรือกลางคืนดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ความว่า
“พวกเจ้าอย่าได้แนบเนื้อพวกนาง ในขณะที่พวกเจ้าเก็บตัวอยู่ในมัสยิด” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ 187)

เป้าหมายสำคัญก็คือ
- เพื่อ ปลีกตัวออกจากภารกิจทางโลก สู่การแสวงความผ่องแผ้วแห่งจิตวิญญาณเสริมสร้างพลังและศักยภาพเพื่อเป็นกลไก ที่จะเอื้ออำนวยให้กิจกรรมต่างๆ ในการดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่นและดียิ่งขึ้นในอนาคต เพื่อทดสอบความอดทนทั้งกาย วาจา ใจ ตลอด 10 วัน

- เพื่อพยายามแสวงหาคืนอัล-ก็อดร์(ค่ำคืนที่พระเจ้าประทานผลบุญทวีคืนเทียบเท่าหนึ่งพันเดือน) ดังที่อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ มีใจความว่า ... "(การประกอบความดีในค่ำคืน) อัล-ก็อดรฺดีกว่า (การประกอบความดี) หนึ่งพันเดือน (ในค่ำคืนอื่นจากค่ำคืนอัล-ก็อดรฺ)" (ซูเราะห์อัลกอดัร อายะห์ที่ 3) ท่านศาสดากล่าวไว้มีใจความว่า และ ผู้ใดที่ดำรงไว้ (อิบาดะห์) ในค่ำคืนอัล-ก็อดรฺด้วยความศรัทธาต่ออัลลอฮฺและหวังในความโปรดปรานและผลตอบ แทนจากพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น แท้จริงเขาจะได้รับการอภัยโทษจากบาปทั้งหลายที่ผ่านมา (มุตตะฟะกุนอะลัยห์ : เศาะเฮี๊ยะห์ อัลบุคอรี 2/253 และเศาะเฮี๊ยะห์มุสลิมเลขที่ 760 (1/524))

- เพื่อ ปฏิบัติตามแบบอย่างและวิถีชีวิตที่ท่านศาสดาเคยปฏิบัติ เพราะศาสดาไม่เคยละทิ้งศาสนกิจดังกล่าวนับตั้งแต่ท่านเริ่มเข้ามายังนครมาดี นะห์จวบจนกระทั่งท่านเสียชีวิต ท่านหญิงอะอีชะเราะฏิยัลลอฮุอันฮา ภรรยาศาสดา กล่าวว่า “ท่านศาสดาเมื่อเข้าสิบวันสุดท้ายจากเดือนรอมฏอนท่านจะมีความจริงจังในการประกอบศาสนกิจ (ที่มัสยิด) และนางยังกล่าวอีกว่าท่านศาสดาเอาจริงเอาจัง (ประกอบศาสนกิจ) ในช่วงสิบวันสุดท้ายรอมฏอนมากกว่า (การประกอบ ศาสนกิจ) ในช่วงอื่นๆ”

ทบทวนพฤติกรรมตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาอย่างสงบ
เพราะ มุสลิมเชื่อว่าการเอียะติกาฟสามารถ ทบทวนตน
และการสร้างจิตใจภายใต้หลังคามัสยิดอันเป็นบ้านของอัลลอฮ
คงสามารถจะบีบคั้นน้ำตาให้รินออกมาชำระล้างความโสมมในหัวใจ
และสร้างพลังแห่ง ศรัทธาขึ้นใหม่ได้


والله أعلم بالصواب

ผู้หญิงมุสลิมก็เปรียบเสมือนดั่งราชินี



ชายชาวอังกฤษเข้ามาหาเชคฺและถามว่า :
ทำไมอิสลามห้ามไม่ให้ผู้ชายจับมือผู้หญิง ?

เชคฺถามกลับไปว่า : ท่านสามารถที่จะจับมือกับ
ราชินีอลิซาเบธหรือไม่?

ชายคนนั้นตอบว่า : ไม่สามารถทำอย่างนั้นแน่นอน
นอกจากบางคนที่ยกเว้นเป็นการส่วนตัวเท่านั้น

เชคฺตอบกลับไปว่า :ผู้หญิงในอิสลามก็ฉันนั้นแหละ
เปรียบเสมือนดั่งราชินี
และผู้ชายทั่วไปไม่สามารถที่จะจับมือกับราชินีเหล่านี้
ได้ยกเว้นบางคน ที่ได้รับการยกเว้นเช่นกัน

หลังจากนั้น. . . .

ชายคนนั้นถามต่อไปว่า :
โอ้เชคฺ ทำไมอิสลามให้บรรดาสตรีปกปิดเรือนร่าง
แม้กระทั่งเส้นผมของนาง?

เชคฺฟังคำถามแล้วยิ้ม และ เอาของหวานออกมา
สองถ้วย และ ปิดไว้ถ้วยหนึ่ง
อีกถ้วยก็เปิดไว้ แล้ว ท่านก็เอาไปตั้งไว้ข้างนอก

และท่านถามชายคนนั้นว่า :
ถ้าให้ท่านเลือกของหวานสองถ้วยนั้น ท่านจะ
เลือกถ้วยไหน?

ชายคนนั้นตอบว่า : แน่นอนที่สุด เราย่อมเลือก
ถ้วยที่ปิดฝา เพราะมันปราศจากฝุ่น แมลงวันก็
ไม่ตอม และปราศจากสิ่งต่างๆที่ไม่พึงประสงค์

[ Elias Chekoh ]

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ศิลอดของเด็ก


    เด็กซึ่งยังไม่บรรลุศาสนภาวะ ถึงแม้ว่าการถือศิลอดจะไม่จำเป็นแก่เขาก็ตาม แต่ทว่าสมควรที่ผู้ปกครอง จะใช้ให้เขาถือศิลอด เพื่อฝึกความเคยชินให้กับเด็กตั้งแต่เยาว์วัย ตามความสามารถ และกำลังของเด็กที่จะทำได้

ซึ่งในยุคท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เหล่าศอหาบะฮฺก็ให้เด็กๆของพวกเขา ถือศิลอดไปพร้อมๆกับพวกเขาด้วย

รายงานจากท่านอัรรูยบัยเยี๊ยะฮฺ บุตรีของมุเอาวิษ เล่าว่า
"ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ส่งคนหนึ่งไปยังหมู่บ้านของชาวอันศอร ในตอนเช้าของวันอาชูรอ โดยไปป่าวประกาศว่า ผู้ใดที่ตื่นตอนเช้าโดยถืลอด เขาจงถือศิลอดต่อไปให้ครบวัน และผู้ใดที่ตื่นมาโดยไม่ได้ถือศิลอด ก็จงถือศิลอดเวลากลางวันที่เหลืออยู่(ศิลอดสุนนะฮฺวันอาชูรอ) พวกเราก้ได้ถือศิลอดหลังจากนั้น และเราได้ให้เด็กๆเล็กๆ ของเราถือศิลอดด้วย และพวกเราก็ไปที่มัสยิด และทำของเล่นจากขนสัตว์ให้พวกเขาเล่น แล้วเมื่อคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขาร้องเพราะหิวอาหาร เราก็ให้อาหารแก่พวกเขา จนกระทั้งถึงเวลาละศิลอด"

والله أعلم بالصواب


ผู้ที่ถือศิลอดแล้วออกเดินทางเวลากลางวัน


     สำหรับผู้ที่ตั้งเจตนาถือศิลอด ขณะที่เขาไม่ได้เป็นผู้เดินทาง แต่หลังจากนั้น เขาออกเดินทางเวลากลางวันนั้น นักวิชาการส่วนใหญ่มีทัศนะว่า ไม่อนุญาตให้ละศิลอด เขาต้องถือศิลอดไปจนครบในวันนั้น

แต่นักวิชาการบางท่าน เช่นท่านอิมามอะหฺมัด ท่านอิมามอิสหาก มีทัศนะว่า อนุญาตให้ละศิลอดได้

ทั้งนี้มีรายงานจากการกระทำของศอหาบะฮฺ เช่นท่านอนัส บุตรมาลิก ท่านอบีษัศเราะฮฺ อัลฆิฟารี

รายงานจากมุหัมมัด บุตรของกะอฺบ เล่าว่า "ฉันได้มาหาท่านอนัส บุตรของมาลิก ในเดือนรอมาฎอน โดยที่เขาต้องการจะออกเดินทาง พาหนะที่จะใช้เดินทางได้ถูกจัดเตรียมสำหรับเขาเรียบร้อยแล้ว เขาได้สวมชุดเดินทางแล้ว เขาได้เรียกให้เอาอาหารมาเพื่อรับประทาน ฉันจึงได้กลาวกับเขาว่า : นั้นเป็นสุนนะฮฺหรือ? เขาตอบว่า : มันเป็นสุนนะฮฺซิ เสร็จแล้วเขาก็ขึ้นพาหนะ" (บันทึกโดยอัตติรมีซีย์ โดยถือว่าเป็นหะดิษหะซัน)

รายงานจากท่านอบัยดฺ บุตรซุเบร เล่าว่า
"ฉันได้โดยสารเรือไปกับอบีษัศเราะฮฺ อัลฆิฟารี จากเมืองฟุสฏ็อฏ ไปในเดือนรอมาฎอน เรือได้แล่นออกไปแล้ว เมื่อใกล้เวลาอาหารกลางวัน เขาก็กล่าวว่า : จงเข้าใกล้ๆ ฉันได้กล่าวกับเขาว่า : ท่านมิได้อยู่ใกล้บ้านมิใช่หรือ? อบูบัศเราะฮฺได้กล่าวว่า : ท่านต้องไม่ปฏิเสธสุนนะฮฺของท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นแน่" (บันทึกโดยอิมามอะหฺมัด อิมามอบูดาวูด บรรดาผู้รายงานหะดิษที่เชื่อถือได้)

ท่านอัชเชากานีได้กล่าวว่า : หะดิษ 2 บทนี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้เดินทางนั้นจะศิลอดก่อนจะออกจากสถานที่่ๆเขาจะเดินทางได้
แล้วท่านยังกล่าวอีกว่า : ท่านอิบนุลอะรอบี ได้กล่าวว่า
"สำหรับหะดิษอะนัส นั้นถือว่าถูกต้อง ที่อนุญาตให้ละศิลอดได้ เมื่อเตรียมที่จะเดินเดินทาง และนี่คือข้อเท็จจริง"


والله أعلم بالصواب

การตอบรับดุอาร์จากพระองค์อัลลอฮฺ



เมื่อการขอดุอาร์เป็นไปด้วยเงื่อนไขต่างๆ ของมันอย่างครบถ้วน เมื่อนั้นอัลลอฮฺก็จะทรงกำหนดให้เกิดผลอย่างหนึ่งอย่างใดในประการต่างๆ เหล่านี้ คือ

1) พระองค์จะทรงตอบรับดุอาร์นั้นทันที หรือ

2) พระองค์จะทรงไม่ตอบรับทันที แต่จะทรงให้มันล่าช้า เพื่อให้บ่าวของพระองค์ได้วอนขอต่อพระองค์ให้มากขึ้นด้วยการร้องไห้และนอบน้อม หรือ

3) จะทรงประทานสิ่งอื่นให้ที่เป็นประโยชน์ต่อเขามากกว่าสิ่งที่เขาขอ หรือ

4) จะทรงขจัดภัยอย่างอื่นให้เขาแทนสิ่งที่เขาขอ หรือ

5) จะทรงเก็บไว้เพื่อประทานให้เขาในวันกิยามะฮฺ อัลลอฮฺเท่านั้นที่ทรงรู้ดีว่าอันไหนเป็นประโยชน์ต่อบ่าวของพระองค์มากที่สุด ดังนั้น เราจึงไม่ควรรีบร้อนต้องการเห็นผลของดุอาร์ทันทีทันใด อัลลอฮฺตรัสว่า

ความว่า "แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงบรรลุในกิจการของพระองค์ โดยแน่นอนสำหรับทุกสิ่งอย่างนั้นอัลลอฮฺทรงกำหนดกฎสภาวะไว้แล้ว" (อัฏ-เฏาะลาก 3)

ความว่า "และเมื่อบ่าวของข้าถามเจ้าถึงข้าแล้วละก็ (จงตอบเถิดว่า)แท้จริงและข้าอยู่ใกล้ ข้าจะตอบรับคำวิงวอนของผู้ที่วิงวอนเมื่อเขาวิงวอนต่อข้า ดังนั้น พวกเขาจงตอบรับข้าเถิดและจงศรัทธาต่อข้า เพื่อว่าพวกเขาจะได้อยู่ในทางที่ถูกต้อง" (อัล-บะเกาะเราะฮฺ 186)

ปัจจัยที่กีดขวางการตอบรับดุอาร์

ดุอาร์เป็นเหตุปัจจัยที่มีพลังมากที่สุดในการขจัดเพทภัยและการขอให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนา แต่ผลของมันอาจจะไม่ปรากฏให้เห็น เนื่องจากความอ่อนของตัวดุอาร์เอง เช่น เป็นดุอาร์ที่อัลลอฮฺไม่ชอบเนื่องจากแฝงด้วยถ้อยคำที่ละเมิดขอบเขต หรืออาจจะเป็นเพราะหัวใจที่อ่อนแอและไม่มุ่งมั่นจิตใจไปยังอัลลอฮขณะที่เขาขอดุอาร์ หรืออาจจะมีปัจจัยอื่นๆ ที่กีดขวางการตอบรับดุอาร์ เช่น การกินสิ่งที่หะรอม การหลงลืมและเผลอเรออย่างชัดเจน บาปที่ทับถมในหัวใจ การรีบร้อนอยากเห็นผลของดุอาร์จนละทิ้งไม่ขอดุอาร์อย่างต่อเนื่อง บางครั้งอัลลอฮฺอาจจะไม่ให้เห็นผลของดุอาร์บนโลกนี้เพราะพระองค์ได้เตรียมสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าให้เขาในอาคิเราะฮฺ บางทีพระองค์ไม่ประทานสิ่งที่เขาขอเพราะพระองค์ได้ขจัดสิ่งที่เป็นภัยต่อเขาแทน หรือบางที การให้สิ่งที่เขาขออาจจะเป็นเหตุให้เขาทำบาปมากขึ้น ดังนั้นการไม่ให้สมปรารถนาจึงมีคุณต่อตัวเขามากกว่า และบางที พระองค์ไม่ให้เขาสมปรารถนาตามที่เขาขอ เพื่อไม่ให้เขาลืมพระองค์ แล้วเขาก็จะหยุดการวิงวอนขอต่อพระองค์อีก


والله أعلم بالصواب

ผู้ที่ไม่ได้ชดเชยการถือศิลอดและละเลยจนกระทั่งรอมาฎอนอีกปี


สำหรับมุสลิมคนใด หากเขาไม่ได้ถือศิอลดชดเชยเดือนรอมาฎอน และละเลยจนกระทั้งอีกรอมาฎอนอีกปีต่อมา มาถึง โดยที่เขาไม่ได้มีอุปสรรค หรือความจำเป็นใดนั้น เขาจำเป็นต้องเตาบะฮฺต่ออัลลอฮฺ ต้องใช้อาหารแก่คนยากจนทุกวันตามจำนวนที่เขาละศิลอด พร้อมกับต้องชดเชยศิลอดตามจำนวนที่ขาด

การให้อาหารต้องให้จำนวน ครึ่งทะนาน ตามมาตราตวงของท่านบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยให้สิ่งเป็นอาหารหลักของเมืองนั้นๆ ซึ่งอาจเป็นผลอินทผาลัม ,ข้าว , ข้าวสาลี หรืออื่นๆ ที่เป็นอาหารหลัก หากคิดเป็นน้ำหนักก็ประมาณ หนึ่งกิโลครึ่งโดยประมาณ ดังที่เหล่าศอหาบะฮฺฟัตวาไว้

แต่หากกรณีไม่ได้ทำการชดเชยเพราะมีเหตุจำเป็น เช่น ป่วยหนักมาตลอด หรืออยู่ในภาวะการเดินทางไกล หากเป็นสุภาพสตี อาจกำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมลูก ก็ให้ทำการถือศิลอดชดเชยเพียงอย่างเดียว


والله أعلم بالصواب

..................

เชคอับดุลอาซีซ บินอับดุลลอฮฺ บินบาซ


รัฐบาลชีอะฮฺดัดแปลงสูเราะฮฺ "อัล-อิคลาศ" เป็นสูเราะฮฺ "อัล-อะสัด"



ความหมายอายะฮฺเป็นดังนี้
1- จงกล่าวเถิดว่า พระองค์คืออัลลอฮผู้ทรงเอกะ
2- อัลลอฮคือผู้เป็นที่พึ่ง(ของสิ่งถูกสร้าง)โดย(ที่ตัวพระองค์นั้น)ไม่พึ่งพิง(สิ่งใด)
3- มิทรงสร้าง(สิ่งใด)เช่น "หาฟิซ อัล-อะสัด"
4- และไม่(มีใคร)ปกครองซีเรีย
5- นอกจาก "บัชชาร อัล-อะสัด"

ท่านจะยังพูดอีกมั้ยว่า ชีอะฮฺรอฟิเฎาะอิมามียะฮฺ คือส่วนหนึ่งของอิสลาม?

สามีภรรยากำลังพูดคุยกัน



สามีพูดว่า : A B C
ภรรยาก็พูดว่า : คุณพูดเรื่องอะไร ? ฉันงงนะ

สามีก็ตอบว่า : Always Be Careful (โปรดรักษาตัวอย่างสม่ำเสมอ)
ภรรยาก็พูดว่า : อ้าวหรอ ? แล้วยังไงต่อล่ะ ?

สามีก็พูดต่อว่า : D E F G
ภรรยาก็พูดว่า : มันคือ... ?

สามีก็ตอบว่า : Don't Ever Forget Girl (อย่าได้ลืมเด็กผู้หญิง)
ภรรยาทำหน้างง : แล้วก็ถามว่า เด็กผู้หญิงหรอ ?

สามีก็ตอบว่า : ใช่แล้ว ตัวของฉันคือ H I
ภรรยาก็ถามว่า : อะไรคือ H I ?

สามีก็ตอบว่า : Happily Inlove (ช่างมีความสุขในความรัก)
ภรรยาก็พูดว่า : อืมมม แล้วไงต่อ ?

สามีก็พูดว่า : J K L M (Just Keep Loving Me) ขอเพียงแค่คุณรักฉัน
ภรรยาก็พูดว่า : แล้วตัวอักษรที่เหลือล่ะ N O P Q R S T U V W X Y Z ?

สามีก็ตอบว่า : No Other Person Quite, Reasonable, Shall
Treat U Very Well Xcept Your Zauj

ไม่มีใครผู้ใดอีกแล้วที่เหมาะสมในการดูแลรักษาตัวคุณได้เป็นอย่างดี นอกเหนือจากสามีของคุณนี่ไง ^^
✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿
คู่ครองในอิสลาม

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หญิงหมดประจำเดือนหรือสิ้นสุดการเดินทางตอนกลางวัน


               ตามทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ มุสลิมทุกคนต้องยุติการรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม นั้นรวมถึงสตรีที่มีประจำเดือน และสิ้นสุดการมีประจำเดือนในตอนกลางวัน และผู้ที่เดินทางไกลไปยังปลายทางในตอนกลางวัน ก็ให้ปฏิบัติเหมือนกำลังถือศิลอดทั้งวัน และให้ทำการชดเชยในวันนั้นด้วย เพราะสิ้นสุเหตุผลการยกเว้นให้ละศิลอดแล้วในวันนั้น

والله أعلم بالصواب

..................

เชคอับดุลอาซีซ บินอับดุลลอฮฺ บินบาซ


การคำนวนเวลาถือศิลอดของภูมิภาคมีกลางวันยาวนาน


          สำหรับผู้ที่อยู่อาศัยในภูมิภาคที่มีกลางวันยาวนานถึง 21 ชั่วโมง หรือในภูมิภาคที่กลางวันสั้นมากๆ หรือภูมิภาคที่มีกลางวันยาวนานถึง 6 เดือน และกลางคืนอีก 6 เดือน ผู้ทำการถือศิลอดในเดือนรอมาฎอน โดยการคำนวณหาเวลาเพื่อทำการถือศิลอด คำนวณหาเวลาของต้นเดือนและปลายเดือน โดยเริ่มถือศิลอดและละศิลอดในทุกๆวันจากต้นเดือนไปจนสิ้นสุดเดือนรอมาฎอน โดยยึดถือเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงอาทิตย์ตกดินจากประเทศที่อยู่ในภูมิภาคใกล้เคียงกันที่สุด และมีกลางวันกับกลางคืนแยกกันชัดเจนมาเป็นเกณฑ์ในการคำนวณหาเวลา โดยเมื่อนำเวลากลางวันและกลางคืนมารวมกันแล้วจะครบ 24 ชั่วโมงพอดี จากหะดิษที่ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮูอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวถึง(วันที่)ดัจญาลปรากฏและได้แนะนำบรรดาศอหาบะฮฺ ถึงวิธีการกำหนดเวลาละหมาด ความว่า

ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮูอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวถึงเรื่อง(วันที่)ดัจญาลมาปรากฏกับบรรดาศอหาบะฮฺของท่าน และบรรดาศอหาบะฮฺชองท่านก็ถามว่า
"วันนั้นวันเวลาจะล่าช้าลงแค่ไหน?" 
ท่านนบี ตอบว่า
"40 วัน หนึ่งวันคล้ายกับหนึ่งปี หนึ่งวันเหมือนหนึ่งเดือน หนึ่งวันเท่ากับวันศุกร์ ระยะเวลา(ในแต่ละ) วันของมัน เหมือน(ในแต่ละ)วันของพวกท่าน"
พวกเขาก็เรียกถามท่านไปว่า
"โอ้ท่านรสูลุลลออฺ ในวันที่เหมือนหนึ่งปี เราต้องทำละหมาดเท่ากับหนึ่งวันเท่านั้นหรือ?" 
ท่านนบีตอบว่า
"ไม่ได้ พวกท่านต้องคำนวนเทียบเคียงหาเวลา (เพื่อทำการละหมาด) หนึ่งวันที่ยาวนานเป็นปี จะไม่นับว่าหนึ่งวันที่ต้องละหมาดเพียง ห้า เวลา แต่วาญิบให้ทำการละหมาดห้าเวลาในทุกๆยี่สิบสิบชั่วโมง โดยให้กระจายเวลาการละหมาด ตามเวลาของวันปกติ ในประเทศของพวกเขา" (บันทึกหะดิษโดยอิมามมุสลิม อิมามอัตติรมัซีย์ และอิมามอบูดาวูด)

ซึ่งการกำหนดเวลาละหมาดกับเวลาสำหรับถือศิลอดก็ไม่ต่างกัน จึงให้ถือหลักการคำนวนเวลาด้วยวิธีเดียวกัน

والله أعلم بالصواب

******************
เชคอับดุลอาซีซ บินอับดุลลอฮฺ บินบาซ




วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

อัลกุรอานกับพลังของประชาชาติอิสลาม



*****มุสลิมมองอัลกุรอานในฐานะที่เป็นผู้สร้างพลังให้แก่ประชาชาติอิสลาม จนกลายเป็นประชาชาติที่ดีเลิศในบรรดาประชาชาติทั้งหลาย

ในยุคแรกมุสลิมจึงสัมผัสกับอัลกุรอาน ด้วยการปฏิบัติศาสนกิจ และในการดำเนินชีวิต แมแต่ในสนามรบ เมื่อการประจัญบานเกิดความรุนแรงขึ้น การสดับฟังอัลกุรอาน ก็เป็นหนทางที่สร้างพังอันเข็มแข็งให้แก่กองทัพมุสลิม เพราะผู้ศรัทธาไมว่าจะอยู่ในสภาพใด เขาย่อมรู้ดีว่าความสุขอันสูงสุด และความอบอุ่นใจอันยิ่งใหญ่นั้นอยู่ที่การอ่านอักุรอาน สดัฟังอัลกุรอาน และดำเนินชีวิตตามแนวทางของอกุรอาน*****

......................

อิมามเชคอาลี อีซา มุฮัมมัด อาลี

ท่านเป็นชาวอียิปต์ ผู้มีอุดมการณ์ และทุ่มเทกับการเผยแพร่อัล-อิสลาม ในประเทศไทยตลอดระยะเวลา 50 ปี

จนวาระที่ท่านได้กลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮฺ ด้วยวัย 83 ปี ในวันที่  เมษายน 2556 (ขออัลลอฮฺทรงเตตาท่าน)

ท่านดีพร้อมทั้งยามมีชีวิต และหลังท่านสิ้นชีพ

ท่านมีครอบครัวเป็นคนไทย

ท่านมีเพื่อนฝูงเป็นคนไทย

ท่านมีโรงเรียนสอนศาสนาอยู่ในไทย

ท่านมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทุกแห่งในไทย

เหนือสิ่งอืนใด ท่านได้เปลี่ยนสัญฃาติไทยโดยสมบูรณ์

ที่สุดท่านยินดีให้ร่งของท่าน ฝังกลบอยู่ในผืนแผ่นดินไทย...

โทษผู้ละทิ่งศิลอดโดยไม่มีข้อผ่อนผัน



ผู้ที่ละทิ้งการถือศิลอดในเดือนรอมาฎอน ซึ่งเป็นฟัรฎูสำหรับเขาแล้ว โดยที่เขาไม่มีอุปสรรค หรือได้รับอนุโลมข้อผ่อนผันแต่อย่างใด ถือว่าเป็นบาปใหญ่ ถึงขันการบวชชดทั้งปีก็ไม่สามารถชดใช้ให้แก่เขาผู้นั้นได้

รายงานจากท่านอิบนุอับบ๊าส ร่อฎียัลลอฮุอันฮุมา เล่าว่า ท่านรสุลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"ที่ยึดขิงศาสนาอิสลาม และหลักการศาสนา มี 3 ประการ ซึ่งบนสามประการนี้ ศาสนาได้ก่อตั้งขึ้น ผู้ใดละทิ้งอันหนึ่งอันใดจากสามประการ ถือว่าเขาเป็นกาฟิรฺ(ผู้ปฏิเสธ)เลือดเป็นที่อนุมติก็คือ (1) การปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ (2) การละหมาด 5 เวลา (3)การถือศิลอดในเดือนรอมฎอน" (บันทึกหะดิษโดยอบูยะอฺยา อัดดัยลามี โดยอัษษะหะบี ได้ถือว่าเป็นหะดิษเศาะเฮียะฮฺ)

รายงานจากท่านอบีฮุร็อยเราะฮฺ ร่อฎียัลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านรสุลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"ผุ้ดละศิลอดวันหนึ่ในเดือนรอมฎอน โดยไม่มีมีข้อผ่อนผันที่อัลอฮฺได้ผ่อนผันให้แก่เขา การถือศิลอดตลอดทั้งปีก็ไม่สามารถจะชดใช้ให้แก่เขาได้ หากเขาถือศิลอด" (บันทึกหะดิษโดยอบูดาวูดอิบนุมาญะฮฺ และอัตติรมีซย์)

อัษษะหะบี กล่าวว่า
"บรรดามุมินก็ยอมรัที่วาผู้ใดทิ้งการถือศิลอดในเดือนรอมฎอน ดดยไม่ป่วย ที่จริงแล้วเขาเลวยิ่งกว่าคนทำซินา คนติดเหล้า และทำให้เกิดความสงสัยในการเป็นอิสลามของเขา พวกเขาอาจจะคิดว่าเขาเป็นคนปฏิเสธ และออกนอกลู่นอกทาง"

والله أعلم بالصواب
.....................

วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ผู้ทิ้งการถือศิลอดโดยไม่มีความจำเป็น



ผู้ที่ละศิลอดโดยไม่ได้ปฏิเสธในบัญญัติ แต่การละทิ้งศิลอดในเดือนรอมาฎอนด้วยเจตนา ด้วยความเพิกเฉย ไม่ใส่ใจ และไม่มีความจำเป็นที่มีหลักการบัญญัติให้ละศิลอด ถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นบาปใหญ่ แม้ว่าทัศนะของนักวิชาการที่ถูกต้องที่สุดส่วนใหญ่ให้ทัศนะว่าไม่เป็นกาเฟรก็ตาม  เขาต้องทำการเตาบะฮฺต่ออัลลอฮฺ พร้อมกับให้ทำการชดเชย  แต่หากเขาล่าช้าไม่ทำการชดเชย เขาต้องจ่ายค่าทดแทน ด้วยการให้อาหารแก่คนยากจนอนาถา





والله أعلم بالصواب
*********************
เชคอับดุลอาซีซ บินอับดุลลอฮฺ บินบาซ

อิสลามเป็นรากฐาน มุสลิมเป็นกิ่งก้าน



>>>>> อิสลามเป็นรากฐาน มุสลิมเป็นกิ่งก้าน และเป็นผลิตผลจากอิสลาม
ฉะนั้น สิงอุตริที่คนทั้งหลายทำขึ้นมา หรือเข้าใจนั้น มิใช่มีรากฐานมาจากระบอบของอิสลาม
หรือตามความเข้าใจขั้นมูลฐานแห่งอิสลาม เว้นแต่ในกรณีที่ความเข้าใจนั้นตรงกับรากฐานของอิสลามที่บริสุทธิ์มั่นคง ต่างจากสภาพที่ปรากฏ และความเข้าใจของคนทั้งหลาย เพราะระบอบแห่งอิสลาม นั้นมิใช่มนุษย์เป็นผู้ทำขึ้นมา หากแต่พระผู้เป็นเจ้า พระผู้ทรงสร้าง พระผู้ประทานเครื่องยังชีพ และผู้ทรงมีกรรมสิทธิ์ครอบครอง ได้ทรงวางไว้สำหรับมนุษย์ เมื่อมนุษย์ดำเนินตามระบอบนี้แล้ว ความเป็นจริงของพวกเขานั้นแหละ คือความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์แห่งอิสลาม

หากพวกเขาหันเหออกจากระบอบนี้ หรือไม่ยึดเอาระบบอิสลามมาเป็นหลักเสียแล้ว นั่นย่อมมิใช่ความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์อิสลาม หากแต่มันเป็นการนอกลู่นอกทาง<<<<<

*********************
เชคอาลี อีซา ผู้ก่อตั้งวารสารสายสัมพันธ์


เพราะเหตุใดเราถึงขาดทุนในเดือนร่อมะฎอน




เดือนร่อมะฎอน คือเดือนที่ประเสริฐที่สุด คือเดือนที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงให้ความโปรดปรานกับ บรรดาบ่าวของพระองค์ ทรงเปิดประตูสวรรค์ ประตูแห่งความเมตตา ปิดประตูนรก ปลดปล่อยบ่าวออกจากไฟนรก ทรงล่ามบรรดาชัยฏอน ทรงให้หัวใจของผู้ศรัทธามีแต่ความดีงาม ทรงให้ความเอื้อเฟื้อ เผื่อแพร่ ความรัก ความอดทน เกิดขึ้นในหัวใจของบรรดาผู้ศรัทธา

เมื่อเดือนร่อมะฎอนมาถึง หน้าที่ของบรรดาผู้ศรัทธาต่างเร่งรีบในการเก็บเกี่ยวผลบุญความดีงามต่าง ๆ มากมาย การถือศีลอดที่มีภาคผลในการลบล้างบาปที่ผ่านมา การละหมาดกิยามุร่อมะฎอนที่ภาคผลในการลบล้างบาป ที่ผ่านมาเช่นกัน การแสวงหาคืนอันมีเกียรติที่มีภาคผลดีกว่าหนึ่งพันเดือน การอ่าน ท่องจำ และพิจารณา ใคร่ครวญความหมายของอัลกุรอ่าน ตลอดจนการแสวงหาการอภัยโทษจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

เช่นเดียวกันเมื่อเดือนร่อมะฎอนเป็นเดือนที่มีแต่การตอบแทนผลบุญอย่างมากมายให้กับบรรดาผู้ศรัทธา แต่ใน ทางตรงกันข้ามบรรดาผู้ศรัทธาอีกจำนวนมากก็ทำให้เดือนร่อมะฎอนเป็นเดือนที่ขาดทุน  เป็นเดือนที่ผ่านไปโดย ไม่ได้รับความดีใด ๆ ทั้งสิ้น

ความจริงแล้วเดือนร่อมะฎอนไม่สมควรเป็นเดือนที่ขาดทุนของใครหลาย ๆ คน คำว่าขาดทุนไม่สมควรกล่าวถึง ด้วยซ้ำในเดือนนี้ ก็อันเนื่องมาจากว่า ภาคผลของการถือศีลอดคือการอภัยโทษบาปต่าง ๆ ที่ผ่านมา ภาคผลของ การละหมาดคือการอภัยโทษบาปต่าง ๆ ที่ผ่านมาเช่นกัน การแสวงหาคืนลัยละตุลก็อดรฺมีภาคผลดีกว่าหนึ่ง พันเดือน เหตุไฉนเราจึงขาดทุนในเดือนนี้ ? เพราะอะไร ?

สิ่งต่าง ๆ ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ คือสาเหตุที่นำสู่ความขาดทุนในเดือนร่อมะฎอน บางประการเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ถือ ศีลอดนั้นมีค่าไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ไม่ถือศีลอดเลย
ไม่ละทิ้งคำพูด การกระทำที่หยาบคาย


สาเหตุของความขาดทุนจากประเด็นนี้ :

1 – เราไม่ละทิ้งคำพูด การกระทำที่หยาบคาย ในขณะที่การถือศีลอดที่แท้จริงตามบทบัญญัตินั้น ไม่ใช่แค่เพียงอดอาหาร อดเครื่องดื่มเท่านั้น  แต่การถือศีลอดที่แท้จริงคือ การละทิ้งคำพูด การกระทำที่ โกหก ลามก หยาบคาย การด่าทอ นินทา ใส่ร้าย

มีรายงานจากอบีฮุรอยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า : ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า :

لَيْسَ الصِّيَامُ مِنَ الأَكْلِ وَالشُّرْبِ ، إِنَّمَا الصِّيَامُ مِنَ اللَّغْوِ وَالرَّفَثِ ، فَإِنْ سَابَّكَ أَحَدٌ أَوْ جَهِلَ عَلَيْكَ ، فَلْتَقُلْ : إِنِّي صَائِمٌ ، إِنِّي صَائِمٌ

“การถือศีลอดไม่ใช่แค่ งดอาหาร งดเครื่องดื่มเท่านั้น  หากแต่การถือศีลอดที่แท้จริงนั้น ต้องงดจากสิ่ง ไร้สาระและอารมณ์ใฝ่ต่ำด้วย หากว่ามีคนใดมาด่าว่าท่าน หรือแสดงพฤติกรรมที่โง่เขลากับท่าน ดังนั้นก็ให้ท่านจงกล่าวว่า : ฉันคือผู้ถือศีลอด ฉันคือผู้ถือศีลอด”

(บันทึกโดยอิบนุคุซัยมะฮฺ : 1879 อิบนุหิบบาน : 3561 มาลิก : 282 อัลบานียฺ , เศาะเหี๊ยะหฺอัลญามิอฺ : 5376)

2 - เราไม่ละทิ้งคำพูด การกระทำที่หยาบคาย ในขณะที่ผู้ถือศีลอดที่มีคำพูด การกระทำที่ลามก หยาบคาย ด่าทอ นินทา อยู่นั้น การถือศีลอดก็ได้แค่เพียงความหิว และกระหาย เท่านั้น และเป็นการถือ ศีลอดที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ไม่ต้องการ

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยอิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า :

رُبَّ صَائِمٍ لَيْسَ لَهُ مِنْ صِيَامِهِ إِلاَّ الجُوْعُ وَالعَطَشُ

“บางทีผู้ที่ถือศีลอดนั้น ส่วนได้ของเขาจากการถือศีลอดของเขาก็คือ ความหิวและความกระหายเท่านั้น”

(บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ : 1690  อัลบานียฺ , เศาะเหี๊ยะหฺตัรฆีบ : 1084 อัลบานียฺ , เศาะเหี๊ยะหฺอิบนุมาญะฮฺ :1380)

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยอิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า :

مَنْ لَمْ يَدَعْ قَوْلَ الزُّوْرِ وَالْعَمَلَ بِهِ فَلَيْسَ للهِ حَاجَةٌ فِي أَنْ يَدَعَ طَعَامَهُ َوَشَرَابَهُ

“ผู้ใดไม่ละทิ้งคำพูดและการกระทำที่เป็นเท็จ อัลลอฮฺก็ไม่ทรงประสงค์การอดอาหารและเครื่องดื่ม ของเขา ”

(บันทึกโดยบุคอรี : 1804)

3 – เราไม่ละทิ้งคำพูด การกระทำที่หยาบคาย ในขณะที่เดือนร่อมะฎอน คือ เดือนที่ไม่มีชัยฏอนคอย ยุแหย่ คอยกระซิบกระซาบ หากว่ามุสลิมไม่สามารถลด เลิกพฤติกรรม คำพูด การกระทำที่หยาบคาย โกหก ด่าทอ นินทา และอีกมากมายแล้ว ก็เป็นเรื่องยากที่จะปรับปรุงตนเองในเดือนอื่น ๆ

มีรายงานจากอบูฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า :

إِذَا جَاءَ رَمَضَانُ ، فُتِّحَتْ أَبْوَابُ الْجَنَّةِ وَغُلِّقَتْ أَبْوَابُ النَّارِ ، وَصُفِّدَتِ الشَّيَاطِينُ

“เมื่อเดือนร่อมะฎอนมาถึง ประตูสวรรค์จะถูกเปิด ประตูนรกจะถูกปิด และบรรดามารร้ายจะถูกล่าม”

(บันทึกโดยมุสลิม : 1800)

.................................................................................................................................................

ไม่ให้ความสำคัญกับการอ่านอัลกุรอ่าน ศึกษาความหมาย ใคร่ครวญในเนื้อหา

สาเหตุของความขาดทุนจากประเด็นนี้ :

1 – เราไม่ให้ความสำคัญกับอัลกุรอ่าน ในขณะที่ผลบุญของการอ่านอัลกุรอ่านปกตินั้น หนึ่งอักษรเท่า กับสิบความดี ซึ่งเดือนร่อมะฎอนเป็นเดือนที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตอบแทนความดีให้อย่าง มากมาย การอ่านอัลกุรอ่านในเดือนนี้ก็จะได้รับผลบุญอย่างมากมายเช่นกัน

มีรายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ อิบนิ มัซอูด ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า : ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า :

مَنْ قَرَأَ حَرْفًا مِنْ كِتَابِ اللَّهِ فَلَهُ بِهِ حَسَنَةٌ وَالْحَسَنَةُ بِعَشْرِ أَمْثَالِهَا لَا أَقُولُ الم حَرْفٌ وَلَكِنْ أَلِفٌ حَرْفٌ وَلَامٌ حَرْفٌ وَمِيمٌ حَرْفٌ

“บุคคลใดที่อ่านหนึ่งพยัญชนะจากอัลกุรอ่าน เขาจะได้รับความดีหนึ่ง และความดีนั้นเท่ากับสิบความดี (ท่านนบี) ฉันไม่ได้กล่าวว่า อะลีฟลามมีม หนึ่งพยัญชนะ แต่ว่า อะลีฟหนึ่งพยัญชนะ ลามหนึ่งพยัญชนะ มีมหนึ่งพยัญชนะ”

(บันทึกโดยติรมีซียฺ : 2910 อัลบานียฺ , เศาะเหี๊ยะหฺอัลญามิอฺ : 6469 อัลบานียฺ เศาะเหี๊ยะหฺตัรฆีบ : 1416)

2 – เราไม่ให้ความสำคัญกับอัลกุรอ่าน ในขณะที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ทบทวน อัลกุรอ่านกับท่านญิบรีล อะลัยฮิซซะลาม ในเดือนร่อมะฎอน

มีรายงานจากอิบนิ อับบาส ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า :

كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَجْوَدَ النَّاسِ وَكَانَ أَجْوَدُ مَا يَكُونُ فِي رَمَضَانَ حِينَ يَلْقَاهُ جِبْرِيلُ وَكَانَ يَلْقَاهُ فِي كُلِّ لَيْلَةٍ مِنْ رَمَضَانَ فَيُدَارِسُهُ الْقُرْآنَ فَلَرَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَجْوَدُ بِالْخَيْرِ مِنْ الرِّيحِ الْمُرْسَلَ

“ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นผู้ที่ใจบุญที่สุด และท่านจะใจบุญยิ่งขึ้นในเดือนร่อมะฎอน ขณะที่ญิบรีลได้พบกับท่าน และญิบรีลจะพบกับท่านทุกคืนในเดือนร่อมะฎอน และจะทบทวนอัลกุรอ่าน กับท่าน ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นผู้ที่ใจบุญยิ่งกว่าสายลมที่พัดโชย”

(บันทึกโดยบุคอรียฺ : 6)

3 – เราไม่ให้ความสำคัญกับอัลกุรอ่าน ในขณะที่เดือนร่อมะฎอนคือเดือนแห่งการประทานอัลกุรอ่าน

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงตรัสว่า :

شَهْرُ رَمَضَانَ الَّذِي أُنْزِلَ فِيهِ الْقُرْآَنُ هُدًى لِلنَّاسِ وَبَيِّنَاتٍ مِنَ الْهُدَى وَالْفُرْقَانِ

“เดือนร่อมะฎอน เป็นเดือนที่ประทานอัลกุรอานลงมาเพื่อเป็นสิ่งชี้นำแด่มวลมนุษย์ชาติ  และเพื่อเป็น หลักฐานแห่งทางนำ และการจำแนกแยกแยะระหว่างดีชั่ว (คือระหว่างความจริงกับความเท็จ)...”

(อัลบะกอเราะฮฺ : 185)

4 – เราไม่ให้ความสำคัญกับอัลกุรอ่าน ในขณะที่ชาวสลัฟ คือกลุ่มชนที่เคร่งครัดในหลักการศาสนา มากกว่าคนในยุคหลัง นี่คือบางส่วนของชาวสลัฟที่ให้ความสำคัญกับอัลกุรอ่าน

- ท่านอุษมาน อิบนุ อัฟฟาน  อ่านอัลกุรอ่านวันละจบ

- สลัฟบางท่าน อ่านอัลกุรอ่านจบในละหมาดตะรอเวี๊ยหฺทุก ๆ 3 คืน บางท่านทุก ๆ 7 คืน บางท่านทุก ๆ 10 คืน

- อิหม่ามชาฟีอียฺ อ่านอัลกุรอ่านจบในเดือนเราะมะฎอน 60 จบ

- ท่านเกาะตาดะฮฺ อ่านอัลกุรอ่านจบในทุก ๆ 7 วันตลอด และในเดือนร่อมะฎอนท่านจะอ่านจบในทุก ๆ  3 วัน และในช่วง 10 คืนสุดท้าย ท่านจะอ่านจบทุก ๆ คืน
.................................................................................................................................................

ไม่ให้ความสำคัญกับการละหมาดกิยามุร่อมะฎอน

สาเหตุของความขาดทุนจากประเด็นนี้ :

1 – เราไม่ให้ความสำคัญกับการละหมาดกิยามุร่อมะฎอน ในขณะที่การละหมาดกิยามุร่อมะฎอนนั้น ภาคผลของมันสามารถลบล้างบาปที่ผ่านมา

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยอิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า :

مَنْ قَامَ رَمَضَانَ إِيْمَانًا وَاحْتِسَابًا غُفِرَ لَهُ مَا تَقَدَّمَ مِنْ ذَنْبِهِ

“ผู้ใดที่ยืนละหมาดในเดือนร่อมะฎอนด้วยความศรัทธาและหวังในผลบุญ เขาจะได้รับการอภัยจาก ความผิดบาปที่ผ่านมาของเขา ”

(บันทึกโดยบุคอรี : 37 มุสลิม : 759)

2 – เราไม่ให้ความสำคัญกับการละหมาดกิยามุร่อมะฎอน ในขณะที่การละหมาดกิยามุร่อมะฎอนพร้อม กับอิหม่ามนั้น มีภาคผลเทียบเท่าการละหมาดทั้งคืน

ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า :

إنَّهُ مَنْ قَامَ مَعَ الإمَامِ حَتَّى يَنْصَرِفَ كُتِبَ لَـهُ قِيَامُ لَيْلَةٍ

“ความจริงแล้วบุคคลใดละหมาดพร้อมอิหม่ามจนเสร็จ ได้ถูกบันทึกผลบุญสำหรับเขา คือการละหมาด ทั้งคืน”

(บันทึกโดยอบูดาวุด : 1375 ติรมีซียฺ : 806)

3 – เราไม่ให้ความสำคัญกับการละหมาดกิยามุร่อมะฎอน ในขณะที่การละหมาดกิยามุร่อมะฎอนในช่วง สิบคืนนี้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจะทรงอภัยโทษบาปที่ผ่านมาให้

มีรายงานจากอบูฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า :

وَمَنْ قَامَ لَيْلَةَ الْقَدْرِ إِيمَانًا وَاحْتِسَابًا غُفِرَ لَهُ مَا تَقَدَّمَ مِنْ ذَنْبِهِ

“ผู้ใดดำรงการละหมาดกิยามุลลัยลฺในคืนลัยละตุลก็อดรฺด้วยความศรัทธามั่น และด้วยความหวังในการ ตอบแทน เขาจะได้รับการอภัยจากบาปที่ผ่านมา”

(บันทึกโดยบุคอรียฺ : 1910 มุสลิม :760,1268 ติรมีซียฺ : 683 อบูดาวุด : 1372 นะซาอียฺ : 2202)

.................................................................................................................................................

ไม่ให้ความสำคัญในการขอดุอาอฺในเดือนร่อมะฎอน

สาเหตุของความขาดทุนจากประเด็นนี้ :

1 – เราไม่ให้ความสำคัญในการขอดุอาอฺในเดือนร่อมะฎอน ในขณะที่เดือนร่อมะฎอนคือเดือนที่เป็นช่วง เวลาแห่งการตอบรับการขอดุอาอฺ

มีรายงานจากอบูฮุรอยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า : ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า :

إِذَا كَانَ رَمَضَانُ ، فُتِّحَتْ أَبْوَابُ الرَّحْمَةِ ، وَغُلِّقَتْ أَبْوَابُ جَهَنَّمَ ، وَسُلْسِلَتِ الشَّيَاطِينُ

“เมื่อเดือนร่อมะฎอนมาถึง ประตูแห่งความเมตตาจะถูกเปิด ประตูนรกจะถูกปิด และบรรดามารร้าย จะถูกตรวน”

(บันทึกโดยมุสลิม : 1801)

2 – เราไม่ให้ความสำคัญในการขอดุอาอฺในเดือนร่อมะฎอน ในขณะที่ผู้ถือศีลอดนั้น เป็นช่วงเวลาที่ ดุอาอฺถุกตอบรับ

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวไว้ว่า :

ثَلَاثَةٌ لَا تُرَدُّ دَعْوَتُهُمْ الْإِمَامُ الْعَادِلُ وَالصَّائِمُ حَتَّى يُفْطِرَ وَدَعْوَةُ الْمَظْلُومِ

“สามคนด้วยกัน ที่การขอดุอาอฺของพวกเขาจะไม่ถูกปฏิเสธ อิหม่ามที่ยุติธรรม คนถือศีลอดจน กว่าจะละศีลอด และการขอดุอาอฺของคนที่ถูกข่มเหง ”

(บันทึกโดยอะหฺมัด :7983)

3 – เราไม่ให้ความสำคัญในการขอดุอาอฺในเดือนร่อมะฎอน ในขณะเวลาที่ละศีลอดนั้น เป็นช่วงเวลาที่ ดุอาอฺถูกตอบรับ

มีรายงานจากอับดุลลอฮฺ อิบนิ อัมรฺ อิบนิ อาศ เล่าว่า : ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า :

إِنَّ لِلصَّائِمِ عِنْدَ فِطْرِهِ لَدَعْوَةً مَا تُرَدُّ

“แท้จริงสำหรับผู้ถือศีลอดขณะละศีลอดของเขานั้น การวิงวอนขอดุอาอฺจะไม่ถูกปฏิเสธ ”

(บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ : 1753 ซุญูตียฺ , อัลญามิอฺอัศเศาะฆีรฺ : 2385)

4 – เราไม่ให้ความสำคัญในการขอดุอาอฺในเดือนร่อมะฎอน ในขณะที่เป็นโอกาสทองที่เราจะขอดุอาอฺ ช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมทั่วโลกที่ได้รับความลำบาก

.................................................................................................................................................

ไม่ให้ความสำคัญในการแสวงหาคืนลัยละตุลก็อดรฺ

สาเหตุของความขาดทุนจากประเด็นนี้ :

1 – เราไม่ให้ความสำคัญในการแสวงหาคืนลัยละตุลก็อดรฺ ในขณะที่ผลตอบแทนในการทำความดีใน คืนนี้ดีกว่า หนึ่งพันเดือน

มีรายงานจากอนัส อิบนิ มาลิก เล่าว่า : เมื่อถึงเดือนร่อมะฎอน ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะ ซัลลัมได้กล่าวว่า :

إِنَّ هَذَا الشَّهْرَ قَدْ حَضَرَكُمْ وَفِيهِ لَيْلَةٌ خَيْرٌ مِنْ أَلْفِ شَهْرٍ مَنْ حُرِمَهَا فَقَدْ حُرِمَ الْخَيْرَ كُلَّهُ وَلَا يُحْرَمُ خَيْرَهَا إِلَّا مَحْرُومٌ

“ความจริงแล้วเดือนนี้ ได้มายังพวกท่าน และเดือนนี้นั้นมีคืนหนึ่งที่ดีกว่าหนึ่งพันเดือน บุคคลใดที่พลาด จากมัน แน่นอนเขาได้ถูกห้ามจากความดีทั้งหมด และไม่มีใครที่พลาดจากความดีของมัน นอกจากผู้ที่ถูกห้ามเท่านั้น”

(บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ : 1644 อัลบานียฺ , เศาะเฮี๊ยะหฺอิบนุมาญะฮฺ : 1341)

2 – เราไม่ให้ความสำคัญในการแสวงหาคืนลัยละตุลก็อดรฺ ในขณะที่ท่านท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเมื่อเข้าสู่สิบคืนสุดท้าย ท่านทำให้กลางคืนมีชีวิตชีวาด้วยกับอิบาดะฮฺ และจะขะมักเขม้นทำความดี

ท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา เล่าว่า :

كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِذَا دَخَلَ الْعَشْرُ أَحْيَا اللَّيْلَ وَأَيْقَظَ أَهْلَهُ وَجَدَّ وَشَدَّ الْمِئْزَرَ

“ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เมื่อเข้าสู่ 10 วันสุดท้ายของเดือนร่อมะฎอน ท่านจะทำให้ กลางคืนมีชีวิตชีวา (ด้วยการทำความดี) และท่านจะปลุกครอบครัวของท่านให้ตื่นขึ้น ท่านจะขะมักเขม้น และพากเพียรทำความดี”

(บันทึกโดยมุสลิม : 1174)

3 – เราไม่ให้ความสำคัญในการแสวงหาคืนลัยละตุลก็อดรฺ ในขณะที่ท่านท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมนั้นท่านจะเอี๊ยะอฺติกาฟ ในช่วงสิบคืนสุดท้าย

มีรายงานจากอิบนิ อุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา เล่าว่า :

كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَعْتَكِفُ الْعَشْرَ الْأَوَاخِرَ مِنْ رَمَضَانَ

“ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะเอี๊ยะอฺติกาฟใน 10 วันสุดท้ายของเดือนร่อมะฎอน”

(บันทึกโดยบุคอรียฺ : 1921 มุสลิม : 1172,2004 อบีดาวุด : 2465 อิบนุมาญะฮฺ : 1773)

4 – เราไม่ให้ความสำคัญในการแสวงหาคืนลัยละตุลก็อดรฺ ในขณะที่ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะ ซัลลัม ส่งเสริมให้เราให้ความสำคัญกับวันเลขคี่

มีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา เล่าว่า : แท้จริงท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า :

تَحَرَّوْا لَيْلَةَ الْقَدْرِ فِي الْوِتْرِ مِنْ الْعَشْرِ الْأَوَاخِرِ مِنْ رَمَضَانَ

“ท่านทั้งหลายจงเฝ้าคอยคืนลัยละตุ้ลก็อดรฺในคืนเลขคี่ของ 10 คืนสุดท้ายของเดือนร่อมะฎอน”

(บันทึกโดยบุคอรียฺ : 1913)

5 – เราไม่ให้ความสำคัญในการแสวงหาคืนลัยละตุลก็อดรฺ ในขณะที่การกล่าวดุอาอฺที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้บอกท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา เป็นดุอาอฺที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะ ฮูวะตะอาลาจะทรงตอบรับ

มีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา ว่า :

قُلْتُ يا رسول اللهِ أَرَأَيتَ إِنْ عَلِمْتُ أيُّ لَيْلَةٍ لَيْلةُ القَدرِ ما أَقُولُ فِيها قال قُولي  الَّلهُمَّ إِنَّكَ عَفُوٌّ كَرِيْمٌ تُحِبُّ العَفْوَ فَاعْفُ عَنِّي

"ฉันได้กล่าวกับท่านร่อซูล ว่า โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ท่านจะเห็นเป็นอย่างไรหากฉันรู้ว่าคืนไหนๆ ก็ตามเป็นคืนลัยละตุลก็อดรฺ ฉันจะวิงวอนกล่าวว่าอย่างไร? ท่านร่อซุลกล่าวตอบว่า "เธอจงกล่าวว่า โอ้พระเจ้าแห่งข้าพระองค์ แท้จริงพระองค์ท่านเป็นผู้ทรงอภัย พระองค์ท่านชอบที่จะให้อภัย ดังนั้นขอพระองค์ทรงอภัยให้แก่ข้าพระองค์"

(บันทึกโดยติรมีซีย์ : 3513 อัลบานียฺ , เศาะเหี๊ยะหฺติรมีซียฺ : 3513 อัลบานียฺ , เศาะเหี๊ยะหฺอัลญามิอฺ : 4423)

.................................................................................................................................................

ไม่ให้ความสำคัญกับการขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ

สาเหตุของความขาดทุนจากประเด็นนี้ :

1 – เราไม่ให้ความสำคัญกับการขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ ในขณะที่ความจริงแล้วเดือนนี้ คือเดือนที่ประตู แห่งการอภัยโทษ ประตูแห่งความเมตตาถูกเปิดออก ประตูนรกถูกปิด

มีรายงานจากอบูฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า : ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า :

إِذَا كَانَ رَمَضَانُ ، فُتِّحَتْ أَبْوَابُ الرَّحْمَةِ ، وَغُلِّقَتْ أَبْوَابُ جَهَنَّمَ ، وَسُلْسِلَتِ الشَّيَاطِينُ

“เมื่อเดือนร่อมะฎอนมาถึง ประตูแห่งความเมตตาจะถูกเปิด ประตูนรกจะถูกปิด และบรรดามารร้าย จะถูกตรวน”

(บันทึกโดยมุสลิม : 1801)

2 – เราไม่ให้ความสำคัญกับการขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ ในขณะที่เป็นเดือนที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะ ตะอาลา ทรงเมตตาอภัยโทษต่อบ่าว ตอบแทนความดีงามให้แก่บ่าว

มีรายงานมาจากอบูฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า :

كُلُّ عَمَلِ ابْنِ آدَمَ لَهُ إِلَّا الصِّيَامَ هُوَ لِي وَأَنَا أَجْزِي بِهِ

“การงานทุกประการของมนุษย์นั้น (จะได้รับผลบุญ) ตามส่วนที่เขาได้กระทำ ยกเว้นการถือศีลอด (ผลตอบแทน) การถือศีลอดนั้นเป็นสิทธิของฉัน และฉันจะตอบแทนเอง…”

(บันทึกโดยบุคอรียฺ : 1904  มุสลิม : 1151)

3 – เราไม่ให้ความสำคัญกับการขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ ในขณะที่ความจริงแล้วมนุษย์ทุกคนมีความผิด เดือนนี้จึงเป็นโอกาสที่เหมาะที่จะชำระล้างจิตใจใหม่

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า :

كُلُّ ابْنِ آدَمَ خَطَّاءٌ وَخَيْرُ الْخَطَّائِينَ التَّوَّابُونَ

"มนุษย์ทุกคนย่อมมีผิดพลาด และผู้ผิดพลาดที่ดีที่สุดคือผู้ที่กลับตัว"

(บันทึกโดยติรมีซียฺ : 2499)

4 – เราไม่ให้ความสำคัญกับการขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ ในขณะที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เตือนให้มุสลิมอย่าทำให้ตนเองต้องขาดทุนในเดือนร่อมะฎอนนี้

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า :

رَغِمَ أَنْفُ رَجُلٍ دَخَلَ عَلَيْهِ رَمَضَانُ ثُمَّ انْسَلَخَ قَبْلَ أَنْ يُغْفَرَ لَهُ

“ความพินาศจงประสบแก่บุคคลคนหนึ่ง เมื่อเดือนร่อมะฎอนได้มาหาเขา แล้วมันได้ผ่านพ้นไปก่อน ที่เขาจะได้รับการอภัยโทษ (คืออยู่ในสภาพที่ขาดทุน) ”

(บันทึกโดยติรมีซียฺ : 3545 อัลบานียฺ , ดูในเศาะเหี๊ยะหฺติรมีซียฺ : 3545)


........................
โดย วะร่อซะตุซซุนนะฮฺ

สิ่งที่ผู้ถือศีลอดต้องละทิ้ง



มีรายงานจากอบูฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

مَنْ لَمْ يَدَعْ قَوْلَ الزُّوْرِ وَالْعَمَلَ بِهِ فَلَيْسَ للهِ حَاجَةٌ فِي أَنْ يَدَعَ طَعَامَهُ وَشَرَابَهُ

"บุคคลใดไม่ละทิ้งคำพูดที่เป็นเท็จ และการกระทำที่เป็นเท็จ อัลลอฮฺไม่ประสงค์อะไรเลยจากการที่เขา ได้อดอาหารและเครื่องดื่ม ของเขา"

(บันทึกโดยบุคอรี : 1804)

คำอธิบาย

   จำเป็นที่ผู้ถือศีลอดนั้นจะต้องห่างไกลจากคำพูดที่ต้องห้าม ไม่ว่าจะเป็นการโกหก พูดจาหยาบคาย ด่าทอ นินทาใส่ร้าย พูดจาลามก หรือ การกระทำที่ต้องห้าม เช่นเดียวกัน พระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลานั้น ได้ทรงกำหนดฟัรฎูการถือศีลอดมาเพื่อให้บ่าวมีความยำเกรงยิ่งขึ้น ดังที่พระองค์อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ว่า

"บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! การถือศีลอดนั้นได้ถูกำหนดแก่พวกเจ้าแล้ว เช่นเดียวกับที่ได้ถูกกำหนด แก่บรรดาผู้ก่อนหน้าพวกเจ้า มาแล้ว เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ยำเกรง"

(อัลบะกอเราะฮฺ 183)

พระองค์อัลลอฮฺไม่ทรงประสงค์ที่จะให้เกิดความลำบากกับบ่าวโดยการไม่กิน ไม่ดื่ม แต่พระองค์ประสงค์ให้บ่าว ปฏิบัติตามคำสั่งใช้ ห่างไกลจาก คำสั่งห้ามทั้งหลาย จนกระทั่งว่าการถือศีลอดนั้นมันเป็นโรงเรียนอบรมบ่มนิสัย ของบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ให้ละทิ้งสิ่งต้องห้ามต่างๆ และปฏิบัติ สิ่งที่เป็นวายิบอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่อย่างใด ดังนั้นเดือนรอมฎอนจึงเป็นเดือนที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบรรดาผู้ศรัทธาให้มีความยำ เกรงต่ออัลลอฮฺมากยิ่งขึ้น

บทเรียนจากฮะดีษ

1. การถือศีลอดนั้นเป็นช่วงแห่งการขัดเกลาจิตใจ ปรับปรุงแก้ไขชีวิตของผู้ศรัทธา

2. การถือศีลอดนั้นถูกกำหนดมาเพื่อให้บรรดาผู้ศรัทธามีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺมากยิ่งขึ้น

3. การถือศีลอดไม่ใช่เพียงแค่การอดอาหาร อดน้ำเท่านั้น

4. ต้องละทิ้งคำพูดที่เป็นเท็จ และการกระทำที่เป็นเท็จ

5. การมีพฤติกรรมที่หยาบคาย ลามก ไร้สาระ อาจทำให้การถือศีลอดนั้นไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆ เลย

**********************
โดย วะร่อซะตุซซุนนะฮฺ

แนวทางของชาวซุนนะห์กับตำราพวกอุตริ



منهج أهل السنة في معاملة كتب أهل البدع

ภัยวิบัติที่เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงประการหนึ่งที่กำลังแพร่สะพัดอยู่ในสังคม และสร้างความปันป่วนให้กับพี่น้องมุสลิม ก็คือหนังสือหรือตำรับตำราที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ผิดต่อบทบัญญัติอิสลาม ตลอดจนทำลายหรือสร้างความสงสัยในหลักการศรัทธาของมุสลิม หนังสือเหล่านี้ถือเป็นช่องทางสำคัญของพวกอุตริแหวกแนวทั้งหลายที่จะเผยแพร่ความคิด หรือสอดแทรกแนวทางที่อุตริที่ผิดแปลกแหวกแนวไปจากแนวทางของชาวซุนนะห์ เมื่อมีคนที่มาตักเตือนชี้แจงถึงความผิดที่มีอยู่ในหนังสือเหล่านั้นหลายคนก็รับฟังข้อเท็จจริง แต่อีกหลายคนก็ยังมีข้ออ้างต่างๆนานาเช่น
- เขาใช้ภาษาดี สละสลวย อ่านแล้วเข้าใจง่าย !
- เราอ่านก็ใช่ว่าจะเชื่อทั้งหมด ที่ถูกเราก็เอา ถ้าไม่ถูกเราก็ไม่เอาหรอก!
- เราอ่านเพื่อศึกษา เปิดหูเปิดตา จะได้ไม่เป็นพวกอึ่งในกะลา!
- ดีแต่ว่าคนอื่น แน่จริงก็เขียนให้ได้อย่างเขาบ้างซิ !
- คนอื่นก็ผิดเหมือนกันทำไมไม่ว่าเขาบ้าง ฯลฯ
ข้ออ้างเหล่านี้ล้วนแล้วห่างไกลจากแนวทางของอะฮ์ลิซซุนนะห์
บรรดานักวิชาการในอดีตและปัจจุบันล้วนตักเตือนให้มุสลิมระวังหนังสือหรือตำราของพวกอุตริ (บิดอะห์) ทั้งหลาย ท่านเหล่านั้นห้ามมิให้อ่านตำราที่แหวกแนว ยิ่งไปกว่านั้นยังสั่งให้เผาทำลายเสีย และห้ามมิให้นั่งร่วม สนทนา หรือโต้เถียงกับพวกเหล่านี้อีกด้วย ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้ตกหลุมพรางหลงเชื่อคำพูดที่สละสลวย และมองดูเป็นเหตุเป็นผล แต่แฝงไปด้วยยาพิษที่ร้ายกาจ
มุสลิมต้องตระหนักอยู่เสมอว่านักเขียนที่เป็นศัตรูอิสลามนั้น เขาสามารถเข้าถึงระดับความคิดของมุสลิมได้ เพราะอาศัยความสามารถทางภาษาเพื่อโน้มน้าวผู้อ่านให้คล้อยตามสิ่งที่พวกเขาต้องการเผยแพร่ ซึ่งก็คือการบิดเบือน สร้างความสงสัย และทำลายความเชื่อของมุสลิมนั่นเอง
อันว่าสัจธรรมความรู้นั้นเราต้องรับและยึดถือเป็นแนวทาง แต่มิได้หมายความว่าจะรับจากใครก็ได้หรือโดยไม่พิจารณาว่าถูกต้องหรือไม่ บรรดาสลัฟ (ชนรุ่นแรก) และบรรดานักวิชาการซุนนะห์ ในทุกยุคสมัย ล้วนรัก หวงแหน และปกป้องสัจธรรมความจริง แต่ไม่มีผู้ใดแนะนำเราแสวงหาสัจธรรมจากพวกอุตริแหวกแนวทั้งหลายเหล่านั้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าความจริงที่อ้างว่ามีอยู่ในตำราของพวกเหล่านั้น แท้จริงแล้วก็มีปรากฏอยู่ในอัลกุรอานและซุนนะห์นั่นเอง ซี่งนักวิชาการซุนนะห์ได้อธิบายชี้แจงไว้อย่างละเอียดครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นเหตุใดเล่าจึงต้องหันไปหาความจริงจากตำราที่แหวกแนวเหล่าอีก ถ้าเราจะเปรียบเทียบก็คงเหมือนกับบ่อน้ำสองบ่อ บ่อหนึ่งใสสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งสกปรกเจือปนอยู่ อีกบ่อหนึ่งน้ำขุ่น สกปรก กลิ่นเหม็น สำหรับผู้ที่มีสติปัญญาเมื่อต้องการน้ำดื่มที่สะอาดเขาคงไม่ตักจากบ่อที่สองโดยแน่แท้
เรื่องนี้เรามีแบบฉบับที่ดีงามอยู่แล้วจากท่านร่อซู้ล (ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และมติของปวงปราชญ์ ตลอดจนแนวทางของบรรดาอุละมาอุซซุนนะห์ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ผู้เขียนขอนำเสนอเพียงบางส่วนดังนี้ [1]
1. แนวทางจากท่านร่อซู้ล (ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)
‏ ‏عَنْ ‏ ‏جَابِرِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ ‏أَنَّ ‏ ‏عُمَرَ بْنَ الْخَطَّابِ ‏ ‏أَتَى النَّبِيَّ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏بِكِتَابٍ أَصَابَهُ مِنْ بَعْضِ أَهْلِ الكتاب ‏ ‏فَغَضِبَ فَقَالَ أَمُتَهَوِّكُونَ يَا ‏ ‏ ابْنَ الْخَطَّابِ ‏ ‏وَالَّذِي نَفْسِي بِيَدِهِ لَقَدْ جِئْتُكُمْ بِهَا بَيْضَاءَ نَقِيَّةً لَا تَسْأَلُوهُمْ عَنْ شَيْءٍ فَيُخْبِرُوكُمْ بِحَقٍّ فَتُكَذِّبُوا بِهِ أَوْ بِبَاطِلٍ فَتُصَدِّقُوا بِهِ وَالَّذِي نَفْسِي بِيَدِهِ لَوْ أَنَّ ‏ ‏مُوسَى ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏كَانَ حَيًّا مَا وَسِعَهُ إِلَّا أَنْ يَتَّبِعَنِي (أخرجه الإمام أحمد والدار قطني وهو حديث حسن، أنظر الإرواء)

ท่านญาบิร บินอับดิลลาฮ์ ได้รายงานว่า : ท่านอุมัรอิบนุลคอตต้อบ (รอฎิยัลลอฮุอันฮุ) ได้มาหาท่านนบี (ซอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) โดยถือคัมภีร์ (เตารอต) ซึ่งได้มาจากชาวคัมภีร์ เมื่อท่านนบี (ซอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้เห็น ท่านโกรธและได้กล่าวว่า: อิบนุค้อตต้อบเอ๋ยเจ้ายังเป็นผู้สงสัยอยู่กระนั้นหรือ? ฉันขอสาบานต่ออัลลออ์ ผู้ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์ แน่แท้ฉันได้นำมาสู่พวกเจ้าทั้งหลายซึ่ง คำสอนที่ขาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง พวกเจ้านี้อย่าได้ไปถามสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากชาวคัมภีร์ เป็นอันขาด เพราะพวกเขาอาจจะบอกสิ่งที่เป็นสัจธรรมความจริงพวกเจ้ากลับปฏิเสธมันเสีย หรือพวกเขาจะบอกสิ่งที่เป็น
และฉันขอสาบานต่ออัลลออ์ ผู้ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์ หากท่านนบีมูซา (อะลัยฮิซสลาม)ยังมีชีวิติอยู่แล้วละก็ท่านก็จะต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามฉันอย่างแน่นอน[2]
ท่านร่อซู้ล (ซอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้เตือนมิให้อ่านคัมภีร์ของพวกอะ-ลุลกิตาบ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า คัมภีร์เหล่านั้นมิได้ผิดหรือถูกบิดเบือนเสียทั้งหมด บางส่วนก็ยังคงความถูกต้อง ดังที่ปรากฏในฮาดีสนี้ เพราะท่านอุมัร (ร่อดิยัลลอฮุอันฮุ) เมื่อท่านได้รับบางส่วนจากคัมภีร์เตารอต ท่านรู้สึกชอบใจที่มีบางสิ่งบางอย่าง ตรงกับอัลกุรอาน ดังนั้นท่านจึงถือมาเพื่อจะมาถามท่านร่อซูล (ซอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เมื่อท่านร่อซูล (ซอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เห็นท่านก็โกรธ และสั่งห้ามมิให้ไปถาม หรือหาความรู้ใดๆจากพวกอะฮ์ลุลกิตาบ ในท้ายที่สุดท่านก็ต้องนำไปโยนทิ้ง็็น็ ดดดดดดดกหกกกกกกกแแกหด//ดดดดดดด
จากฮาดีสบทนี้คงเป็นคำตอบได้ดีสำหรับพวกที่มักจะอ้างว่า ‘เราอ่านทุก
เล่มนั่นแหละ ที่ถูกเราก็เชื่อ ที่ไม่ถูกเราก็ไม่เชื่อหรอก’ เพราะปัญหาก็คือ ผู้อ่านนั้นสามารถแยกแยะสิ่งถูกสิ่งผิดได้มากน้อยแค่ไหน ฉะนั้นแนวทางที่ปลอดภัยที่สุดก็คือ อ่านจากตำราที่อยู่ในแนวทางของอัลกุรอานและซุนนะห์ ซึ่งมีนักวิชาการได้ให้ความเข้าใจไว้อย่างครบถ้วนแล้ว และละทิ้งหลีกห่าง อย่าได้ไว้ใจตำราของพวกอุตริทั้งปวง
ท่านเชคอับดุรเราะฮ์มานบินฮะซัน –รอฮิมะฮุลลอฮุ- ได้กล่าวว่า

قال الشيخ عبد الرحمن بن حسن – رحمه الله – : ((ومن له نهمة في طلب الأدلة على الحق، ففي كتاب الله، وسنة رسوله، ما يكفي ويشفي، وهما سلاح كل موحد ومثبت، لكن كتب أهل السنة تزيد الراغب وتعينه على الفهم …

‘ผู้ใดก็ตามที่มีความปรารถนาจะแสวงหาหลักฐานบนความถูกต้องแล้วไซ้ร ดังนั้นในอัลกุรอานและซุนนะห์ของท่านร่อซูล (ซอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) นั้น ย่อมเพียงพอและครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว สองสิ่งนี้ถือเป็นอาวุธประจำกายของผู้คงไว้ซึ่งเอกภาพแด่อัลลอฮ์ตะอาลา และผู้ที่มีความมั่นคงหนักแน่นในหลักการศาสนา ส่วนตำราของนักวิชาการซุนะห์นั้นจะมาเพิ่มพูนและช่วยเขาในความเข้าใจ (ในรายละเอียด)’[3]



2. อิจมาอุ (มติเอกฉันท์ของปวงปราชญ์) ห้ามมิให้อ่านหนังสือของพวกอุตริ
- ท่านอิหม่ามอิบนุคุซัยมะห์ –ร่อฮิมะฮุลลอฮ์- เมื่อท่านถูกถามถึงการตีความในพระนามคุณลักษณะของอัลลอฮ์ตะอาลาท่านตอบว่า

“بدعة ابتدعوها، لم يكن أئمة المسلمين وأرباب المذاهب وأئمة الدين، مثل مالك، وسفيان، والأوزعي، والشافعي، وأحمد، وإسحاق، ويحيى بن يحيى، وابن المبارك، ومحمد بن يحيى، وأبي حنيفة، ومحمد بن الحسن، وأبي يوسف : يتكلمون في ذلك وينهون عن الخوض فيه، ويدلون أصحابهم على الكتاب والسنة، وإياك والخوض فيه والنظر في كتبهم بحال”

“เป็นบิดอะห์ (สิ่งอุตริแหวกแนว) ที่พวกเขาก่อขึ้นเอง บรรดาอิหม่ามทั้งหลายในมัซฮับต่างๆไม่มีใครพูด (ตีความ) เช่นนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นอิหม่ามมาลิก ซุฟยาน เอาชาอีย์ อัชชาฟีอีย์ อะห์มัด อิสฮาก ยะห์ยา บินยะห์ยา อิบนุลมุบารอก มูฮัมมัดบินยะห์ยา มูฮัมมัดบินอัลฮะซัน อบูฮะนีฟะฮ์ และท่านอิหม่ามอบูยูซุฟ บรรดาท่านอิหม่ามเหล่านี้กลับมิให้วิพากษ์วิจารณ์ ในเรื่องพระนามและคุณลักษณะของอัลลอฮ์ และสั่งใช้ลูกศิษย์ลูกหาของท่าน) ให้ยึดมั่นต่ออัลกุรอานและซุนนะห์ ดังนั้นท่านจงอย่าพูดวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องดังกล่าว และอย่าดูตำราของพวกอุตริเหล่านั้นอย่างเด็ดขาด”[4]

ท่านอิหม่ามอบูมันซูรมุอัมมัรบินอะฮ์มัดได้กล่าวว่า

“ثم من السنة ترك الرأي والقياس في الدين وترك الجدال والخصومات وترك مفاتحة القدرية وأصحاب الكلام، وترك النظر في كتب الكلام وكتب النجوم، فهذه السنة التي اجتمعت عليها الأئمة وهي مأخوذة عن رسول الله صلى الله عليه وسلم بأمر الله تبارك وتعالى”

ส่วนหนึ่งจากซุนนะห์ก็คือการละทิ้งความคิดเห็นและการเปรียบเทียบในศาสนาและการโต้เถียง โต้แย้งกับพวกกอดรียะห์ หรือพวกตีความคุณลักษณะของอัลลอฮ์ อย่าดูตำราของพวกเขาหรือหนังสือที่ทำนายโชคชะตาราศี นี่แหละคือซุนนะห์ซึ่งบรรดาอิหม่ามทั้งหลาย ได้มีมติเอกฉันท์ไว้แล้ว มตินี้ได้มาจากท่านร่อซูล (ซอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) โดยพระบัญชาแห่งอัลลอฮ์ผู้ทรงสูงส่งยิ่ง[5]
จากมติเอกฉันท์ของบรรดาปวงปราชญ์ทั้งหลายล้วนแต่ให้ระวังอย่าอ่านหนังสือของพวกอุตริทั้งหลาย ทั้งๆที่ท่านเหล่านั้นล้วนเป็นผู้ทรงความรู้ มีความปราดเปรื่องในเรื่องราวของศาสนาสามารถแยกแยะผิดถูกได้เป็นอย่างดี แต่ท่านเหล่านั้นกลับเตือนให้ระวังหนังสือเหล่านั้น นี่ก็เป็นคำตอบที่ดี สำหรับผู้ทีมีความคิดที่จะหาความถูกต้องจากหนังสือของพวกอุตริทั้งหลาย และที่อันตรายยิ่งกว่าก็คือ บางคนไปไกลถึงแม้แต่หนังสือของก็อดยานีย์ ชีอะห์ก็ตาม !
3. ท่าทีของอิหม่ามนักปราชญ์อิสลามในอดีตต่อตำราของพวกอุตริ
- อิหม่ามมาลิก –ร่อฮิมะฮุลลอฮ์- กล่าวว่า
“لا تجوز الإجارات في شيء من كتب الأهواء والبدع والتنجيم”

ไม่อนุญาตให้เช่าสิ่งใดๆจากตำราของพวกอารมณ์นิยม พวกบิดอะห์ (อุตริ) ตลอดจนตำราที่ทำนายโชคชะตาราศี[6]
- ท่านอิหม่ามมัรวะซีย์ได้เล่าว่า
قلت لأبي عبد الله : استعرت كتاباً فيه أشياء رديئة، ترى أن أخرقه أو أحرقه؟ قال : نعم

‘ฉันได้กล่าวกับอิหม่ามอะห์มัดว่า: ฉันได้ยืมหนังสือมาเล่มหนึ่ง ในเล่มดังกล่าวมีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่ารังเกียจ ถ้าฉันทำลายหรือเผามันเสียจะได้ไหม? ท่านตอบว่า : ได้สิ’[7]

- ท่านอิหม่ามอะอ์มัดยังได้กล่าวอีกว่า
إياكم أن تكتبوا عن أحد من أصحاب الأهواء قليلاً ولا كثيراً، عليكم بأصحاب الآثار والسنن

‘พวกท่านทั้งหลายอย่าเขียนบทเรียนจากพวกอารมณ์นิยม (พวกอุตริ) ไม่ว่าจะเล็กน้อย หรือมากมายก็ตาม แต่จงแสวงหาความรู้จากพวกซุนนะห์เถิด’[8]
ยิ่งไปกว่านั้นท่านอิหม่ามอะฮ์มัดยังถือว่าการผาทำลายหนังสือของพวกอุตรินั้นได้ผลบุญอีกด้วย[9]
- ท่านฮัรบ บินอิสมาอีลได้เล่าว่า
سألت إسحاق بن راهوية، قلت : رجل سرق كتاباً من رجل فيه رأي جهم أو رأي القدر؟ قال : يرمي به. قلت : أنه أخذ قبل أن يحرقه أو يرمي به هل عليه قطع؟ قال : لا قطع عليه، قلت لإسحاق : رجل عنده كتاب فيه رأي الإرجاء أو القدر أو بدعة فاستعرته منه فلما صار في يدي أحرقته أو مزقته؟ قال : ليس عليك شيء.

‘ฉันได้ถามอิหม่ามอิสฮาก บิน รอฮูยะห์ ว่า: มีชายคนหนึ่งได้ขโมยหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งมีแนวคิดของพวกญะห์ (พวกปฏิเสธคุณลักษณะของอัลลอฮ์ฯลฯ) ท่านว่าจะทำอย่างไรดีกับหนังสือเล่มนั้น? ท่านตอบว่าเอาไปโยนทิ้งเสีย’
ฉันถามต่อว่า : เขาขโมยมานี่ก่อนจะเอาไปเผาหรือโยนทิ้งจะถูกตัดมือหรือไม่? อิหม่ามอิสฮากตอบว่า : ไม่ถูกตัดมือหรอก ฉันถามต่อว่าอีกว่า: ชายคนหนึ่งเขามีหนังสือที่มีแนวของพวกมุรญิอะห์ พวกก็อดรียะห์ และพวกอุตริ ฉันจึงขอยืมมา แล้วฉันก็นำไปเผา หรือฉีกมันทิ้งไปจะเป็นอะไรไปไหมครับ? ท่านตอบว่า : ไม่เป็นไรหรอก (คือไม่มีโทษหรือต้องชดเชยใดๆทั้งสิ้น)[10]
- ท่านอิหม่ามอิบนุ กุดามะฮ์ ได้กล่าวว่า

“ومن السنة هجران البدع ومباينتهم وترك الجدال والخصومات في الدين، وترك النظر في كتب المبتدعة، والإصغاء إلى كلامهم، وكل محدثة في الدين بدعة”

ส่วนหนึ่งจากซุนนะห์คือการหลีกห่างจากพวกบิดอะห์และไม่ได้โต้เถียงกับพวกนี้ในเรื่องของศาสนาและไม่ดู (ไม่อ่าน) หนังสือ ไม่ฟังคำพูดใดของพวกเขา และทุกๆเรื่องอุตรินั้นล้วนเป็นบิดอะห์[11]

ท่านยังได้กล่าวไว้อีกว่า :

كان السلف ينهون عن مجالسة أهل البدع، والنظر في كتبهم والإستماع لكلامهم.

‘บรรดาชาวสะลัฟห้ามนั่งร่วมกับบิดอะห์ ห้ามอ่าน ห้ามฟังคำพูดของพวกเขาอีกด้วย’[12]

ท่านอิหม่ามอิบนุลกอยยิมได้กล่าวว่า :

“والمقصود : أن هذه الكتب المشتملة على الكذب والبدعة، يجب إتلافها وإعدامها، وهي أولى بذلك من إتلاف آنية الخمر، فإن ضررها أعظم من ضرر هذه، ولا ضمان فيها، كما لا ضمان في كسر أواني الخمر وشق زقاقها”

‘เป้าหมายหลักคือ หนังสือตำราเหล่านี้เต็มไปด้วยเรื่องมุสาและอุตรินั้นจำเป็น (วาญิบ) ต้องทำลายทิ้ง ยิ่งกว่าการทำลายภาชนะที่บรรจุเครื่องดื่มสุราเสียอีก เพราะอันตรายของหนังสือเหล่านั้นอันตรายยิ่งกว่า และเมื่อทำลายแล้วก็ไม่มีการที่จ่ายค่าชดเชยใดๆ เช่นเดียวกับการทุบทำลายโถและทำลายถุงบรรจุสุราทิ้ง’[13]
ท่านอิบนุคอลดูนได้กล่าวว่า

فالحكم في هذه الكتب كلها وأمثالها، إذهاب أعيانها متى وجدت بالتحريق بالنار والغسل بالماء، حتى ينمحي أثر الكتابة، لما في ذلك من المصلحة العامة في الدين، بمحو العقائد المضلة.
ثم قال : فيتعين على ولي الأمر، إحراق هذه الكتب دفعاً للمفسدة العامة، ويتعين على من كانت عنده التمكين منها للإحراق، وإلا فينزعها ولي الأمر ويؤدبه على معارضته على منعها، لأن ولي الأمر لا يعارض في المصلحة العامة.

‘ข้อชี้ขาดของตำราทั้งหมดเหล่านี้ หรือตำราที่คล้ายๆกันนี้ ก็คือหากพบเมื่อใดให้จัดการทำลายเสียให้สิ้น ด้วยการเผาหรือ เอาไปแช่น้ำเพื่อให้น้ำหมึกเลือนหายไป ทั้งนี้เพื่อรักษาไว้ซึ่งผลประโยช์ส่วนรวมในศาสนาด้วยการลบล้างความเชื่อที่ทำให้หลงผิดทั้งหลาย…’
ท่านยังได้กล่าวต่ออีกว่า‘เป็นหน้าที่สำหรับผู้ปกครองในการเผาทำลายหนังสือเหล่านี้เพื่อป้องกันผลร้ายที่จะเกิดต่อสังคมโดยรวม ส่วนคนที่มีหนังสือเหล่านี้อยู่ในครอบครอง จำเป็นที่เขาต้องให้ความร่วมมือในการเผาทำลาย ถ้าเขาไม่ยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี ก็ให้ปกครองทำการยึดหนังสือเหล่านั้น และลงโทษเจ้าของหนังสือนั้นในข้อหาที่ขัดขวางและไม่ยอมให้ความร่วมมือ เพราะผู้ปกครองนั้นจะต้องได้รับความร่วมมือในสิ่งที่จะก่อให้เกิดผลประโยชน์โดยรวม ซึ่งห้ามขัดขวาง คัดค้านอยู่แล้ว’[14]
- ท่านอิมามอัซซาคอวีย์ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านอิมามอิบนุฮะญัร –ร่อฮิมะฮุมุลลอฮ์ ได้เล่าว่า:
‘ในสมัยของท่านอิมามอิบนุฮะญัรนั้น ได้พบกับชายคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเชคนะซีมุดดีนอัตติบริซีย์ และเชคอัลค่อรูฟียะห์ (สองคนนี้ถูกประหารในข้อหาที่เป็นกุฟุรในปีฮศ. 820) ชายคนดังกล่าวถูกพบว่ามีหนัง สือที่มีความเชื่อแหวกแนวอยู่กับเขา เมื่อถูกจับได้ก็ถูกพาตัวมาสอบสวน ท่านอิมามอิบนุฮาญัรนั้น ได้เผาหนังสือเล่มดังกล่าวทิ้งทันที และต้องการจะลงโทษชายผู้นั้น แต่ทว่า
เขาได้สาบานว่าเขาไม่รู้ว่าในเล่มเขียนอะไรไว้ โดยอ้างว่าได้หนังสือเล่มนี้มาจากคนอื่นอีกที (เขาไม่ได้เขียนเอง) ก็เลยคิดว่าหนังสือเล่มนี้ไม่มีอะไรผิด ในที่สุดจากการสอบสวนแล้ว ได้ปล่อยตัวชายผู้นั้นไปหลังจากที่เขาได้ปฏิเสธและไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับความเชื่อที่แหวกแนวในหนังสือดังกล่าว (ตะบัรรุอ) และสัญญายืนยันว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ ตลอดจนจะปฏิบัติตามหลักการอิสลามอย่างเคร่งครัด’[15]
เช่นเดียวกับในสมัยของท่านอะลีย์บินยูซุฟบินตาซิฟีน ยังได้สั่งเผาหนังสือ เอียะฮ์ยาอุอุลูมิดดีน ซึ่งเขียนโดยอบูฮามีดอัลฆอซาลีย์ ทั้งนี้โดยมติเอกฉันท์ของบรรดานักปราชญ์ในสมัยของท่าน[16]
4. ท่าทีของนักปราชญ์อิสลามร่วมสมัยต่อตำราของพวกอุตริ
เหตุการณ์ที่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดตัวอย่างหนึ่งเกิดขึ้นที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย เมื่อปี ฮศ. 1381 (ซึ่งตรงกับปีพ.ศ.2503) ท่านเชคมุฮัมมัดบินอิบรอฮีม –ร่อฮิมะฮุลลอฮ์-ได้มีคำสั่งลงโทษ นายอับดุลลอฮ์อัลค่อนีซีย์ เจ้าของหนังสืออื้อฉาวที่ชื่อว่า ‘อะบูตอลิบมุอมินกุรอยซ์’[17] และให้ประกาศกลับเนื้อกลับตัวโดยให้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจนตามคำสั่งที่มีถึงผู้บัญชาการตำรวจนครริยาฏดังนี้

من محمد بن إبراهيم إلى المكرم مدير شرطة الرياض سلمه الله السلام عليكم ورحمه الله وبركاته . وبعد :
فبإلاشارة إلى المعاملة الواردة منكم برقم 944 وتاريخ 10/11/1381 المتعلقة بمحاكمة عبد الله الخنيزي _ فانه جرى الإطلاع على المعاملة الأساسية ووجدنا بها الصك الصادر من القضاة الثلاثة المقتضي إدانته ، والمتضمن تقريرهم عليه _ يعزر بأمور أربعة :
( أولا ) : مصادرة نسخ الكتاب وإحراقها ، كما صرح العلماء بذلك في حكم كتب المبتدعة .
( ثانيا ) : تعزيز جامع الكتاب بسجنه سنه كاملة ، وضربه كل شهرين عشرين جلده في السوق مدة السنه المشار إليها بحضور مندوب من هيئة الأمر بالمعروف مع مندوب إلإمارة والمحكمة .
( ثالثا ) : إستتبابته ؛ فإذا تاب وأعلن توبته وكتب كتابه ضد ما كتبه في كتابه المذكور ونشرت في الصحف وتمت مدة سجنه خلي سبيله بعد ذلك ، ولا يطلق سراحه وان تمت مدة سجنه ما لم يقم بما ذكرنا في هذه المادة .
( رابعاً ) : فصله من عمله ، عدم توظيفه في جميع والوظائف الحكومية ، لأن هذا من التعزيز . هذا ما يتعلق بالتعزيز الذي قررته اللجنة . وبعد استكماله يبقي موضوع التوبة يجرى فيه ما يلزم إن شاء الله . والسلام عليكم
‘จากมุฮัมมัดบินอิบรอฮีมถึงผู้บัญชาการตำรวจประจำนครริยาฎ–ซัลละมะฮุลลอฮ์ -’
อัซซะลามุอะลัยกุมวะเราะห์มะตุลลอฮีวะบะร่อกาตุฮ
อ้างถึงหนังสือเลขที่ 944ลงวันที่ 10/11/1381 ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินคดีของนายอับดุลลออ์ อัลค่อนีซีย์ หลังจากได้พิจารณาแล้ว พบว่ามีคำตัดสินจากศาลทั้ง3ชั้น ว่ามีความผิดจริงและให้ลงโทษดังนี้
1. ให้ยึดหนังสือดังกล่าวและเผาทำลายทิ้ง ตามที่บรรดานักวิชาการได้ระบุไว้เกี่ยวกับหนังสือของพวกอุตริแหวกแนว
2. ให้จำคุกเจ้าของหนังสือดังกล่าว1ปีเต็ม และให้เฆี่ยน20ที ทุกๆ 2เดือน ในตลาดเป็นเวลา 1 ปี ต่อหน้าเจ้าหน้าที่จากกรมการใช้ในเรื่องความดี และเจ้าหน้าที่จากจังหวัดและศาล
3. ให้ผู้ต้องหากกลับเนื้อกลับตัว ถ้าเขาได้กลับเนื้อกลับตัว และได้ประกาศการกลับเนื้อกลับตัวนั้น และให้เขียนหนังสือลบล้างในสิ่งที่เขาเคยเขียนไว้ในหนังสือของเขา ตลอดจนได้พิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ครบภายในเวลา 1 ปีที่ถูกกักขัง ก็ให้ปล่อยตัวได้ และมิให้ปล่อยตัวหากว่าครบกำหนดโทษกักขัง แต่มิได้กระทำครบตามที่เราได้ระบุไว้ตามข้อนี้
4. ให้ไล่เขาออกจากงาน และไม่ให้รับราชการในทุกตำแหน่งของทางราชการอีก
นี่คือส่วนหนึ่งที่เกี่ยวกับบทลงโทษที่เป็นมติจากคณะกรรมการ แล้วหลังจากที่ได้ปฏิบัติจนครบถ้วนทุกประการแล้ว ให้คงเรื่องการกลับเนื้อกลับตัวไว้ตามที่หลักการกำหนด อินชาอัลลอฮ์
วัสสลามมุอะลัยกุม
นอกจากนี้นักวิชาการอีกมากมาย ที่มีทีท่าแข็งกร้าวกับพวกอุตริ
แหวกแนวทั้งหลาย เช่น อิมาม เชคอับดุลอะซีซ บินอับดุลลอฮ บินบาซ อิมามเชคมุฮัมมัดนาศิรุดดีน อัลบานีย์ อิมามอิบนุอุซัยมีน –ร่อฮิมะฮุมุลลอฮ์-
ท่านเชคซอและห์อัลเฟาซาน–ฮาฟิซ่อฮุลลอฮ์- ถูกถามว่าอะไรคือคำชี้ขาดที่ถูกต้องเกี่ยวกับการอ่านหนังสือของพวกอุตริแหวกแนว และฟังเทปบันทึกของพวกเขา?
ท่านตอบว่า
“لا يجوز قراءة كتب المبتدعة ولا سماع أشرطتهم إلا لمن يريد أن يرد عليهم ويبين ضلالهم”

ไม่อนุญาตให้อ่านหนังสือของพวกอุตริแหวกแนว และไม่อนุญาตให้ฟังเทปบันทึกของพวกเขา ยกเว้นผู้ที่อ่านหรือฟัง เพื่อตอบโต้และชี้แจงความหลงผิดของพวกเขาเท่านั้น[18]
จากตัวบทที่ได้นำมาเสนอจากอัลฮะดีษ อิจมาอุ(มติปวงปราชญ์) ตลอดจนแนวทางของบรรดานักวิชาการซุนนะห์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน สรุปได้ดังนี้
1. ให้หลีกห่างและห้ามยุ่งเกี่ยวกับพวกอุตริด้วยประการทั้งปวง
2. ห้ามโต้เถียงกับพวกเขา
3. ห้ามอ่านหนังสือ หรือฟังเทป ตลอดจนศึกษาหาความรู้จากพวกอุตริ ยกเว้นผู้มีความรู้ และต้องการตอบโต้หรือชี้แจงความหลงผิดเท่านั้น
4. ให้เผาและทำลายหนังสือของพวกเหล่านี้ทุกวิถีทาง
5. อนุญาตให้ขโมยหนังสือที่บิดเบือน หรือทำลายหลักการอิสลามเพื่อนำไปเผาทิ้งหรือทำลายโดยไม่ต้องเสียค่าชดเชยใดๆทั้งสิ้น
6. ในประเทศที่ใช้กฎหมายอิสลาม ให้ขออำนาจต่อศาลจัดการกับพวกอุตริแหวกแนวและตำราของพวกเขา
7. การทำลายหนังสือของพวกอุตริถือเป็นการญิฮาด มีผลบุญตอบแทน
นี่คือท่าทีของปวงปราชญ์ทั้งในอดีตและปัจจุบันต่อหนังสือของพวกอุตริ
อันแสดงถึงคุณธรรมอันสูงสุด ความรักความหวงแหน ความรักผิดชอบต่อศาสนา ท่านเหล่านั้นคัดสรรความรู้ โดยเฉพาะผู้ที่เขาจะรับเอาความรู้ จะต้องอยู่ในแนวทางซุนนะห์ มิใช่ว่าใครก็ได้ อะไรก็ได้ หนังสือใดก็ได้ แม้แต่ของพวกกอดยานีย์ที่บ่อนทำลายอิสลามก็ตาม
นี่คือส่วนของหนังสือหรือตำราของพวกอุตริแหวกแนว ส่วนตัวหรือบุคคลที่อุตริแหวกแนวนั้น นักวิชาการก็มีท่าทีแข็งกร้าว และไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย ขอกล่าวสรุปดังนี้
1. หลีกห่าง ไม่นั่งร่วมวง
2. ไม่ยกย่อง เชิดชู ให้เกียรติ
3. ไม่ให้สลามหรือได้รับสลาม ไม่ยิ้มแย้ม
4. ไม่ปรึกษาหารือ คบหาเป็นมิตรสหาย
5. ให้ตอบโต้และถือเป็นการญิฮาดไม่ใช่การนินทา ไม่ว่าคนนั้นจะมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วก็ตาม ตราบใดที่สิ่งอุตริของเขานั้นยังแพร่กระจายในสังคม
6. ไม่ฟังคำพูด หรืออ่านหนังสือของพวกเหล่านี้
7. ไม่แต่งงานลูกสาวให้พวกอุตริ
8. ไม่ร่วมงานศพ ละหมาด ส่งศพ พวกอุตริ
9. ไม่แก้ตัว หาทางออก ให้พวกเหล่านี้
10. อนุญาตให้นินทา เพื่อเตือนให้มุสลิมได้ระวัง
11. ให้ดูถูกเย้ยหยัน
12. ให้มีบทลงโทษเฆี่ยนตี กักขัง หรือประหารชีวิต หากว่าการอุตริแหวกแนวนั้นเป็นกุฟุร (การปฏิเสธ)[19]
ในโอกาสนี้เองผู้เขียนจึงอยากจะยกตัวอย่างหนังสือบางเล่ม ที่แพร่สะพัด
อยู่ในสังคมบ้านเรา เพื่อให้ผู้อ่านได้ลองเปรียบเทียบ พร้อมคำวิจารณ์โดยสังเขป เพื่อเตือนให้ผู้อ่าน ได้ทราบถึงอันตรายอันใหญ่หลวงของตำราเหล่านี้ ส่วนการตอบโต้ชี้แจงในรายละเอียดนั้น คงต้องใช้เวลาและหน้ากระดาษ คงต้องจัดทำเป็นการเฉพาะ
ตัวอย่างความเชื่อที่แหวกแนว และทำลายหลักการศรัทธาของศาสนาอิสลาม ที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ บยานุลกุรอาน[20]และกุรอานมะญีดของนายอิบรอฮีมกุเรชี ฉบับล่าสุด พิมพ์เมื่อเดือนมิถุนายน 2544 ที่อ้างว่าแก้ไขหมดแล้ว

การศรัทธาต่ออัลลอฮ์
นายอิบรอฮีม กุเรชีกล่าวว่า
- เรารู้จักพระองค์จากลักษณะคุณที่ดีทั้งหลายของพระองค์ รวมเข้าอุปมา
เป็นมวลหนึ่ง เรียกพระองค์ว่าอัลลอฮ์ (เล่ม1 หน้า ห)
- ‘เรารู้จักอัลลอฮ์จากคุณลักษณะของพระองค์ เราไม่รู้จักอาตมันที่แท้จริงของพระองค์ (6 : 104, 42: 11) คุณลักษณะเหล่านี้ รวมเข้าเป็นมวลอันหนึ่งเรียกว่าพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งตามศาสนาอิสลามเรียกว่า อัลลอฮ์…’ (เล่ม 2 หน้า 1282)
- และพระองค์ทรงสถิตทุกแห่ง (เล่ม1 หน้า 673 และเล่ม2 หน้า 1289 และ 1309)
- พระองค์ทรงอยู่ในจิตสำนึกของเราตลอดไป (57 : 4; 58: 7) เป็นจิตสำนึกอันเดียวกัน เหมือนอย่างเราได้รับแสงแดด ไม่มีใครกล่าวว่าคนหนึ่งๆถูกแสงแดดจากดวงตะวันต่างดวงกัน (เล่ม 2 หน้า1289)

ข้อสังเกต
1. สรุปว่าอัลลอฮ์ตามความเชื่อของนายอิบรอฮีม กุเรชี เป็นมวลหนึ่งหรืออุปมาเป็นมวลหนึ่ง
2. คำว่า ‘อุปมา’ หรือ ‘เหมือนอย่าง’ นั้นใช้กับอัลลอฮได้หรือ เมื่อเป็นที่ทราบกันดีว่า ห้ามนำสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเปรียบเทียบกับพระองค์
3. ผู้ที่กล่าวหาว่า ผู้ที่ออกมาคัดค้านความเชื่อว่าอัลลอฮ์เป็นมวลนั้นไม่เข้าใจภาษาไทย ควรจะออกมาอธิบายให้พี่น้องมุสลิมได้ทราบว่าการให้คุณลักษณะอัลลอฮ์เช่นนี้ มีหลักฐานจากอัลกุรอาน อัลฮาดีษและนักวิชาการอย่างไร อย่ามัวแต่กล่าวหาผู้อื่นว่าไม่เข้าใจภาษาไทย
ส่วนมุสลิมนั้นเขาศรัทธาว่าอัลลอฮตะอาลา ทรงมีตัวตนที่สูงส่ง ยิ่งใหญ่ มีคุณลักษณะที่สวยงาม ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และเปรียบกับสิ่งใดไม่ได้ ผู้ใดนำพระองค์มาเปรียบเทียบกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดในบรรดาสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย ถือว่า ผู้นั้นเป็นผู้ปฏิเสธ อันเป็นมติเอกฉันท์ในศาสนาอิสลาม และมุสลิมจะไม่กล่าวถึงคุณลักษณะ ของอัลลอฮตะอาลา เว้นแต่เท่าที่มีตัวบทจากอัลกุรอาน และซุนนะห์เท่านั้น ส่วนพวกอุตริจะใช้การตีความ และสติปัญญาของตัวเองเป็นหลัก
4. อัลลอฮ์ทรงสถิตทุกแห่ง นี่ไม่ใช่ความเชื่อของชาวซุนนะห์ ในอดีตนักวิชาการได้ตอบโต้พวกที่มีความเชื่อเช่นนี้ว่า ถ้าอย่างนี้คนที่บูชาต้นไม้ เจว็ด หรือที่ฟิรเอาน์อ้างตัวเป็นเจ้านั้นก็ไม่ผิดแต่อย่างใดตามความเชื่อนี้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นก็มีอัลลอฮ์สถิตย์อยู่!
5. อัลลอฮ์ทรงบอกเราว่าพระองค์นั้นทรงสูงส่ง เหนือบัลลังค์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ดังที่พระองค์ทรงตรัสว่า
‘ผู้ทรงกรุณาปราณี ทรงสูงส่งอยู่บนบัลลังก์ (ซูเราะห์ตอฮาอายะห์ที่ 5)’
นี่คือความเชื่อที่ร่อซู้ล –ซอลลัลลอฮ์อะลัยฮิวะซัลลัม- ได้สอนซอฮาบะห์และ เป็นมติเอกฉันท์ของนักวิชาการซุนนะห์ ส่วนพวกแหวกแนวจะเชื่อว่าอัลลอฮ์สถิตย์ทุกแห่ง(ฮุลูลียะฮ) หรือจักรวาลนี้กับอัลลอฮ์คือหนึ่งเดียวกัน(อิตติฮาดียะฮ)
การศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์และร่อซู้ลของอัลลอฮ์
นายอิบรอฮีม กุเรชี กล่าวว่า :
- ท่านนบีอิบรอฮีมก็ดี ท่านนบีมูสา (โมเซ) ก็ดี ท่านนบีอีสา (พระเยซู) ก็ดี พระกฤษณะก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี ท่านนบีมูฮัมมัดก็ดี (ขอความสันติจากอัลลอฮ์ได้มีแก่ท่านเหล่านี้) (เล่ม2หน้า 1228)
- เป็นมารยาทข้อหนึ่งในการคาราวะบรรดานบีเหล่านี้ที่มุสลิมต้องกล่าวคำว่าอะลัยฮิสลาม ต่อท้ายชื่อเมื่อออกนามของท่านนบีใดๆ คำนี้แปลว่าขอความสันติจงมีแด่ท่าน (เล่ม 1 หน้า ถ.)
- เพราะฉะนั้นตามหลักฐานที่มีปรากฏในอัลกุรอาน (2:213; 6:90; 29:27; 45:16; 57:26) บรรดานบีจึงมีพระคัมภีร์ เพื่อเป็นทางนำแก่ประชาชนของตน ส่วนจะเหลือมาถึงเราให้รู้ชื่อหรือไม่นั้นไม่ได้อยู่ในประเด็นเช่นเดียวกับที่อัลกุรอานกล่าวว่าทุกๆชาติมีรสูล (10:47) ก็ไม่ได้อยู่ในประเด็นที่จะต้องรู้ ในญี่ปุ่น ธิเบต คองโก เอสกิโม มีร่อสูลชื่ออะไร (เล่มสอง หน้า 1334)
ข้อสังเกต
1. สรุปว่าพระกฤษณะ พระพุทธเจ้า เป็นน่าบีของอัลลอฮ์ด้วยเช่นกัน ตามความเชื่อของเจ้าของหนังสือกุรอานมะญีด เนื่องจากได้มีการกล่าว
ขอพรหลังจากนามของท่านเหล่านั้น เพราะคงไม่มีใครซอลาวาตให้คนธรรมดาสามัญ แม้แต่บรรดาซอฮาบะห์ เมื่อเรากล่าวถึงพวกท่านเหล่านั้น เราจะกล่าวว่ารอฎิยัลลอฮุอันฮุ ส่วนบุคคลทั่วไปเราก็ขอดุอาว่า รอฮิมะฮุลลอฮ์เท่านั้น ส่วนกาฟิรนั้น ห้ามขอดุอาให้ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดี
2. ถ้าพระกฤษณะ พระพุทธเจ้า มีฐานะเทียบเท่าร่อซู้ลทั้งหลาย มุสลิม
จำเป็นต้องศรัทธา ผู้ใดหากแม้เพียงสงสัยก็ตกเป็นผู้ปฎิเสธ
3. ในญี่ปุ่น ธิเบต เอสกิโม มีนบีแต่ไม่ทราบชื่อเพราะไม่สำคัญอะไร ถ้าเป็นเช่นนี้ หากจะมีคนอ้างว่า ประเทศไทยก็มีนบีเหมือนกัน แต่ไม่ปรากฏชื่อชัดเจน เราคงจะตำหนิเขาไม่ได้
จึงไม่แปลกใจว่า มีบางคนที่นิยมชมชอบ และป้องกันนายอิบรอฮีม กุเรชี แปล ‘วัตตีน’ ว่า ขอสาบานด้วยต้นโพธิ์ ซึ่งคำว่า ‘วัตตีน’ หมายถึง ขอสาบานด้วยต้นมะเดื่อ
โดยผู้กล่าวนั้นต้องการให้ผู้ฟังเข้าใจว่าพระพุทธเจ้า (ซึ่งชาวพุทธเขาเชื่อกันว่าตรัสรู้ที่ใต้ต้นโพธิ์ และคำว่าตรัสรู้นั้นก็คือรับวะฮีย์นั้นเอง) เป็นน่าบีของเราด้วย
และก็คงไม่ต้องแปลกใจที่จะมีคนที่เชื่อแหวกแนวไม่ยิ่งหย่อนไป
กว่าความเชื่อก่อนหน้านี้ ผู้อ่านลองอ่านและพิจารณาข้อความต่อไปนี้

” คำถามก็คืออะไรคือแหล่งความรู้ที่ถูกต้องคำตอบก็คือ ความรู้ที่ฤษี (Rishi) ได้รับจากพระเจ้า ความรู้เหล่านี้ต่อมาได้รับการรวบรวมขึ้นเป็นเล่มในรูปของคัมภีร์…คัมภีร์เหล่านี้คือคัมภีร์พระเวท คัมภีร์ไบเบิ้ล และคัมภีร์อัลกุรอาน ศาสนาฮินดู ศาสนาคริสต์และอิสลาม มาจากคัมภีร์เหล่านี้คัมภร์ทั้งสามเล่มเป็นคัมภีร์ของพระเจ้า ดังนั้นการขัดแย้งกันระหว่างคัมภีร์ทั้งสามเล่มจึงเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง
ในบรรดาคัมภีร์เหล่านี้คัมภีร์เก่าแก่ที่สุดที่ได้มีการรวมรวมไว้เป็นเล่มคือคัมภีร์พระเวท…คัมภีร์พระเวทเป็นคัมภีร์ที่ได้ถูกเขียนขึ้นโดยนักบุญแห่งสวรรค์ก่อนหน้าอาดัม…ยุคก่อนหน้าอาดัมเป็นบุคแห่งเทวดาและรากษส (Rakshashas) นั้นคือเหตุผลที่ว่าทำไมมนุษย์จึงไม่เข้าใจเหตุการณ์หลายอย่าง ในเวลานั้น ด้วยเหตุนี้เราจึงได้เห็นการไม่ลงรอยกันในเรื่องของเทพยดาในเวลานั้นอย่างเช่นพระราม (Rama) หนุมาน (Hanuman) ศังกร (Shanker) และพระกฤษณะ (Krishna) ไม่มีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ในเรื่องของเทวดา (demigod) และอสูร (Asura) ฤษี 88,000คน ได้หนีไปยังภูเขาต่างๆ เมื่อพวกเขารู้ว่าโลกจะอยู่ภายใต้การควบคุมของมนุษย์
(นบีมุฮัมมัดในคัมภีร์พระเวทและปุราณะเขียนโดย เวท ประกาศ อุปาทธยาย แปลเป็นภาษาไทยโดย บรรจง บินกาซัน) (พิมพ์ครั้งแรก หน้า132-133)
เรื่องที่แปลกเหลือเชื่อก็คือผู้แปลเป็นภาษาไทยมิได้วิจารณ์หรือตอบโต้คำพูดที่ทำลายความเชื่อของศาสนาอิสลามเลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายผู้แปลกลับยอมรับว่า คัมภีร์อัลกุรอาน เป็นคัมภีร์โบราณเล่มหนึ่ง และคัมภีร์พระเวทซึ่งเป็นคัมภีร์โบราณของชาวอินเดียนั้น พูดถึงเรื่องเตาฮีด(การให้เอกภาพต่ออัลลอฮ) และการมาของท่านนบีมูฮัมมัดไว้ละเอียดมากกว่าคัมภีร์โบราณเล่มอื่นๆเสียอีก เพื่อความชัดเจน ผู้อ่านกรุณาอ่านข้อความต่อไปนี้ซึ่งเป็นของผู้แปล (บรรจง บินกาซัน) ในหนังสือเล่มดังกล่าว (หน้าที่7)
จากการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการ เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่งที่เราได้ทราบว่า ในคัมภีร์โบราณอย่างเช่นคัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์อัลกุรอน นอกจากพูดถึงหลักคำสอนเรื่องความเชื่อในพระเจ้างองค์เดียว หลักศีลธรรมในการดำเนินชีวิตแล้ว ยังพูดถึงการมาของมหาบุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งจะมาทำให้ศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าครบถ้วนสมบูรณ์ด้วย นั่นคือ นบีมูฮัมมัด
แต่สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ คัมภีร์พระเวท ซึ่งเป็นคัมภีร์โบราณ ของชาวอินเดียและเป็นคัมภีร์เก่าแก่ที่สุดของโลก ก็มีการพูดถึงหลักความเชื่อ ในพระเจ้าองค์เดียว และการมาของนบีมูฮัมมัดไว้ค่อนข้างละเอียดมากกว่าคัมภีร์โบราณเล่มอื่นๆเสียด้วยซ้ำ
เมื่ออ่านแล้ว ผู้เขียนรู้สึกเศร้าใจ และขอดุอาจากอัลลอฮ์ให้คุ้มครองผู้เขียนและพี่น้องมุสลิมทุกท่านให้พ้นจากความหลงผิดด้วยเถิด เพราะ :
- ความเชื่อเหล่านี้ไม่มีในศาสนาอิสลาม
- ท่านนบีมุฮัมมัด (ซอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) บรรดาซอฮาบะห์ อีหม่ามทั้ง4 และบรรดานักวิชาการที่ได้รับการยอมรับทั้งในอดีตและปัจจุบัน ไม่มีผู้ใดมีความเชื่อเช่นนี้
- การอ้างว่า คัมภีร์พระเวทพูดถึงเตาฮีด และการมาของนบีมุฮัมมัดได้ละเอียดมากกว่าคัมภีร์โบราณเล่มอื่นๆเสียอีก รวมถึงอัลกุรอานด้วย เพราะอัลกุรอานก็เป็นคัมภีร์โบราณเล่มหนึ่ง และการที่ผู้แปลได้ให้คุณลักษณะของคัมภีร์อัลกุรอานว่าเป็นคัมภีร์โบราณนั้นเป็นสิ่งที่สมควรแล้วหรือ และจะมีคัมภีร์ใดที่สอนมนุษยชาติถึงหลักเตาฮีดได้สมบูรณ์ยิ่งไปกว่าคัมภีร์อัลกุรอาน
- อย่างนี้เป็นการเผยแพร่อิสลามหรือทำลายอิสลามกันแน่
การศรัทธาต่อบรรดามาลาอิกะฮ์
นายอิบรอฮีม กุเรชีกล่าวว่า
‘อัลกุรอ่านกล่าวถึง มลาอิกะฮ์ว่า เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน – sentient being หรือImmaterial…กล่าวโดยย่อคือ มนุษย์มีธรรมชาติญาณล่อใจ 2 ลักษณะ สิ่งล่อใจซึ่งนำมนุษย์ให้กระทำสิ่งดีและมีความเจริญสูงขึ้น กับสิ่งล่อใจซึ่งนำมนุษย์ให้กระทำสิ่งซึ่งชั่วและเลวต่ำลง เพราะการที่จะนำสิ่งล่อใจนี้สู่ภาคการปฏิบัติ เราให้คำจำกัดความว่าสื่อซึ่งชักนำไปทางดีเราเรียกว่ามลาอิกะฮ์ และสื่อซึ่งชักนำไปในทางซึ่งเราเรียกว่า ชัยฏอน…’ (บยานุลกุรอาน หน้า ภ.)

‘ได้กล่าวแล้วว่า อัลลอฮ์ได้ทรงสร้างมนุษย์ให้มีความคิดอิสระ (76 : 3)
มีทั้งอำนาจฝ่ายต่ำและฝ่ายสูง อำนาจฝ่ายต่ำนั้นกระซิบกระซาบมนุษย์ให้ทำการชั่วเรียกว่ามารหรือชัยฏอน ส่วนอำนาจฝ่ายสูงที่เชิญชวนสู่การดีนั้นเรียกว่ามลาอิกะฮ์…’ (ความหมายของอัลกุรอาน (กุรอานมะญีด) เล่ม2หน้า1319)

‘สรุปได้ว่ามลาอิกะฮ์เป็นอรูป ไม่ปรากฏแก่สายตามนุษย์ดั่งฮะดีษที
กล่าวโดยท่านหญิงอะอิชะฮ์ – นอกจากการจำแลงรูปหรือโดยญาณทัศนพิเศษ เมื่อท่านน่าบีฯ ศ็อล ฯ กล่าวว่า ท่านเห็นญิบรีล ก็ต้องเป็นด้วยญาณทัศนะพิเศษ เพราะสาวกที่นั่งอยู่กับท่านก็ไม่เห็น’ (กุรอานมะญีด เล่ม2 หน้า1312)
- มลาอิกะฮ์ตามความหมายของนายอิบรอฮีม กุเรชีเป็นอรูป ไม่มีตัวตน
- มลาอิกะฮ์เป็นญาณ หรือสื่อล่อใจมนุษย์ให้ทำดีหรืออำนาจฝ่ายสูง
-นบีมุฮัมมัด –ซอลลอลลอฮุอัยฮิวะซัลลัม- จึงไม่สามารถเห็นรูปร่างแท้จริงของมลาอิกะฮ์ด้วยตาเปล่า ต้องเข้าญาณพิเศษหรือรอให้จำแลงรูปเสียก่อน
ความเชื่อเช่นนี้ มุสลิมทุกคนตอบได้ทันทีว่า ไม่ใช่ความเชื่อของศาสนาอิสลามแต่ประการใด หรือจะมีบุคคลใดรับรองได้ว่าสิ่งนี้คือการอีหม่านต่อบรรดามลาอิกะฮ์
การศรัทธาในวันปรโลก
นายอิบรอฮีมกล่าวว่า
‘นรกหรือสวรรค์ของมนุษย์เริ่มแต่ในโลกนี้ เมื่อพูดถึงปรโลกโปรดอย่า
เข้าใจว่าหมายถึงโลกที่มีนางฟ้า หรือหญิงสวยงามมากๆ เรื่องนรกสวรรค์ตามอัล
กุรอานไม่ใช่ตามทัศนะที่เข้าใจกันอยู่แกนๆและผิวเผิน’ (บยานุลกุรอาน เล่ม1 หน้า ย.)
‘กล่าวโดยย่อแล้วนรกคือโรงพยาบาลสำหรับรักษาคนป่วยหรือหม้อต้มผ้าให้สะอาด ในอิสลามไม่มีการตกนรกไม่รู้ผุดรู้เกิด และสวรรค์คือสุขารมณ์ซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด- a bliss that never be cut off- ในอิสลามไม่มีการขึ้นสวรรค์เพื่อเสพนางฟ้า’ (บยานุลกุรอาน เล่ม1 หน้า ส.)

‘นรกเป็นโรงพยาบาล (สำหรับมุสลิมที่ทำความชั่วแต่ในดวงจิตยังมี
การศรัทธา)

‘การทรมานในนรกเป็นการลงโทษผู้ทำชั่ว ผู้ปฏิเสธคำสอนของบรรดา
นบี แต่ก็ถือว่าการลงโทษนั้นเป็นความโปรดปรานชนิดหนึ่ง เพราะมันซักฟอกและบำบัดความชั่วของเขา’ (กุรอานมะญีดเล่ม 2 หน้า 1389)

‘ตามโองการที่กล่าวข้างต้นนี้ เราทราบได้ว่าการลงโทษในนรก แม้จะร้ายแรงและสาหัสเพียงใดก็เป็นนิอมะฮ์ของอัลลอฮ์…’ (กุรอานมะญีดเล่ม 2 หน้า 1390)

‘อัลกุรอานเรียกนรกว่าเป็นแม่ –อุมมุน (101 : 9) จึงมีหน้าที่เลี้ยงดูผู้ต้องโทษตามส่วนของเขา (78 : 26) เสมือนมารดาอุ้มชูทารกจนเติบใหญ่…’
(กุรอานมะญีดเล่ม 2 หน้า 1399)
‘สภาพเช่นข้างต้นนี้แหละคือการลงโทษในก็อบร์ คนทำผิดก็ได้รับโทษทางจิตสำนึกตลอดไป คนทำดีก็ได้รับความสุขทางจิตสำนึกตลอดไปเช่นกัน’
(กุรอานมะญีดเล่ม 2 หน้า 1363)
นี่คือการบิดเบือนและทำลายหลักการศรัทธาของศาสนาอิสลามอย่างชัดเจน อัลกุรอานตลอดจนอัลฮาดีษได้อธิบายเรื่องราวของนรก ว่าเป็นสถานที่ทรมานอย่างแสนสาหัสแก่บรรดาผู้ปฏิเสธ ไม่ได้เป็นนิอมะฮ์(ความเมตตา) หรือเป็นโรงพยาบาล และไม่ได้มีหน้าที่เลึ้ยงดูผู้ต้องโทษ เสมือนมารดาอุ้มชูทารก จนเติบใหญ่ เพราะคำว่าอุมมุนในอายะห์ดังกล่าว แปลว่าที่พำนัก ไม่ได้แปลว่าแม่ผู้เลี้ยงดู อุ้มชูทารก การอรรถาธิบายความหมายของคำว่านรก ว่าเป็นโรงพยาบาลนั้น เป็นการอรรถาธิบายของพวกกอดิยานีย์(ดูหนังสืออัลญันนะตุ วันนาร หน้าที่19 โดยควาญากมาลุดดีนหนึ่งในแกนนำกลุ่มก็อดยานี และหนังสือThe Religion of Islam หน้าที่308 โดยมูฮัมมัดอาลีหัวหน้าก็อดยานีแห่งลาโฮร์) เช่นกันการทรมารในก็อบร์ (หลุมศพ) นั้นเป็นการทรมานทั้งร่างกายและวิญญาณ ในทางตรงกันข้ามการผู้ที่เป็นมุอมินผู้ศรัทธานั้น ก็จะได้รับความสุขทั้งร่างกายและวิญญาณเช่นกัน มิได้เป็นการรับโทษหรือความสุขเพียงจิตสำนึกเท่านั้น และในปรโลกมุอมินจะได้รับการตอบแทนจากอัลลอฮ์ และรางวัลที่พวกเขาจะได้รับประการหนึ่งก็คือฮูรุลอัยน์(สาวงามที่อัลลอฮ์ตะอาลาสร้างเพื่อเป็นคู่ครองของบรรดาผู้ศรัทธา) ผู้อ่านทุกท่านที่มีพื้นฐานทางหลักศรัทธาคงจะทราบดีว่า ข้อความที่ยกตัวอย่างมาจาก
กุรอานมะญีดนั้นบิดเบือนออกจากหลักศรัทธาของอิสลามมากเช่นไร ผู้ที่ออกมาปกป้องนายอิบรอฮีม กุเรชี บางคนยังจะกล้าประกาศอย่างไม่เกรงกลัวว่า ‘ผิดเล็กน้อยเท่านั้น’ เราจึงไม่แปลกใจที่สถานีวิทยุหลายสถานี โฆษณาขายหนังสือ กุรอานมะญีด กันอย่างเอิกเกริก ไม่ทราบว่าคนเหล่านั้นทราบหรือไม่ว่า การเผยแพร่สิ่งที่เป็นกุฟุร (การปฏิเสธ) โดยเจตนานั้นมีโทษสถานใด ซ้ำร้ายบางคนยังไม่รู้เลยว่าผิดตรงไหน บางคนยังไม่เคยอ่านด้วยซ้ำ ก็ออกมารับรองแล้วว่า ผิดเล็กน้อย ถูกใส่ร้าย ฯลฯ
การศรัทธาการกำหนดสรรพสิ่ง (เกาะฎอเกาะดัร)
นายอิบรอฮีม กุเรชีกล่าวว่า…
กล่าวได้ว่า พระผู้เป็นเจ้าเป็นต้นเหตุแรกและสุดท้ายของสรรพสงทั้งหลายกล่าว คือ เป็นผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายแต่ทั้งนี้ มิหมายความว่า พระองค์เป็นผู้ทรงสร้างการกระทำของมนุษย์ … บยานุลกุรอานเล่ม 1 หน้า อ.

‘เกาะดัรเป็นกฎแห่งธรรมชาติ กฎแห่งการกำหนดสภาวะที่มีในจักรวาล และทั่วๆไปรวมทั้งในตัวมนุษย์…’ (กุรอานมะญีดเล่ม 2 หน้า 1401)

‘เป็นความจริงที่เราต้องยอมรับว่า หลักให้ศรัทธาในเกาะฎอและเกาะดัรนั้น ไม่มีปรากฏในอัลกุรอาน อัลกุรอานกล่าวถึงเรื่องนี้แง่ของกฎและการกำหนดสภาวะเท่านั้น’
(กุรอานมะญีดเล่ม 2 หน้า 1402)

‘การศรัทธาในเกาะดัรไม่มีแจ้งในอัล-กุรอาน’ (กุรอานมะญีดเล่ม 2 หน้า 1441)

‘ความเข้าใจที่ว่า ตักดีรคือการกำหนดความดีความชั่วของมนุษย์นั้น ไม่มีในหลักการของอัล-กุรอาน หรือแม้แต่ภาษาศาสตร์ความเข้าใจที่กระเดียดไปทางนี้ได้เกิดขึ้นแก่บางคณะ ในสมัยต่อมาเมื่อมาจากอิทธิพลแห่งความเชื่อถือทางลัทธิบูชาไปของเปอร์เชียแต่ก่อนนี้ ที่ว่ามีพระเจ้าแห่งความดีและพระเจ้าแห่งความชั่ว คืออะหูระมัซดาและอะหริมัน ความเข้าใจที่ว่า อัลลอฮ์ทรงสร้างกรรมดี กรรมชั่วของมนุษย์นั้นก็ไม่มีปรากฏในหลักการของอัลกุรอาน…’ (กุรอานมะญีดเล่ม 2 หน้า 1407) ดูข้อความคล้ายกันนี้ในบยานุลกุรอาน หน้า ฬ.

หลักศรัทธาข้อนี้ไม่มีในอัลกุรอาน 2 : 117, 285; 4: 136 (เล่ม 3 หน้า 1835)

ข้อสังเกต
1. ถ้าอัลลอฮ์ตะอาลาไม่ใช่ผู้ทรงสร้างกรรมดี กรรมชั่วของมนุษย์แล้วไซร้ ใครเล่าเป็นผู้สร้าง หรือเกิดขึ้นเองโดยปราศจากผู้สร้าง
จากข้อความข้างต้น ยังจะมาพูดได้อีกหรือว่า
“แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าเราปฏิเสธเรื่องเกาะฏอเกาะดัร (กำหนดสภาวะ) “(กุรอานมะญีดเล่ม2หน้า1402)
2. นายอิบรอฮีม กุเรชีมิได้ปฏิเสธกฏสภาวะที่เขาตั้งขึ้นมาเอง แต่ปฏิเสธเกาะฎอเกาะดัรที่มีคำสั่งในอัลกุรอานและซุนนะห์ ซึ่งอะฮลุซซุนนะห์ ได้ยึดถือมาตลอด14ศตวรรษ คำพูดของนายอิบรอฮีม กุเรชี ไม่ได้แตกต่างกับพวกก็อดรียะห์(พวกปฏิเสธเกาะฎอเกาะดัร) เลยแม้แต่น้อย
3. บางคนแก้ตัวว่าในอัลกุรอานมีเรื่องเกาะฎอเกาะดัร แต่ไม่มีคำสั่งให้ศรัทธา ทั้งที่จริงแล้วหากผู้อ่านอัลกุรอานมีความความเข้าใจในศาสนาและภาษาอาหรับแล้วจะพบว่า ในอัลกุรอานมีอาย้าตมากมายเกี่ยวเนื่องกับการศรัทธาในเกาะฎอเกาะดัร ซึ่งนั่นคือคำสั่งและวายิบที่มุสลิมต้องศรัทธา
4. หลักการศรัทธาข้อนี้ที่มวลมุสลิมมีความศรัทธาว่า อัลลอฮ์ตะอาลาผู้ทรงสร้างและกำหนดมวลสรรพสิ่ง รวมทั้งการงานความดีความชั่วของมนุษย์นั้น กลับกลายเป็นว่า ได้รับอิทธิพลมาจากพวกบูชาไฟของชาวเปอร์เชีย ความเชื่อเช่นนี้ที่นายอิบรอฮีม กุเรชี นำมาเผยแพร่ในประเทศไทยตรงกับความคิดของมิรซาฆุลามอะห์มัด หัวหน้ากอดิยานีย์ที่เผยแพร่ และสร้างความเสียหายให้กับมุสลิมในประเทศอินเดีย และปากีสถานมาแล้ว (ดูวารสารอัลฮัจญ์ ฉบับที่2 วันที่16 เดือนชะบาน ปีฮศ. 1382 ตัวอย่างที่19)
บทสรุป
1. นี่คือความเชื่อสุดท้ายของนายอิบรอฮีม กุเรชี เพราะมีการอ้างว่าเขาได้แก้ไขหมดแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เหลืออยู่ และไม่ได้แก้ไขจะให้เข้าใจเป็นอื่นไม่ได้
2. การที่มีผู้อาสามาแก้ไขความผิดต่างๆเหล่านี้ ก็มิได้ยังประโยชน์อันใดแก่เขาได้ เพราะการงานของทุกคนสิ้นสุดเมื่อวันที่เขาได้ตายจากไป สิ่งที่จำเป็นสำหรับญาติสนิท มิตรสหาย ก็คือ เรียกเก็บหนังสือเหล่านี้ และจัดการทำลายให้สิ้น เพราะมิฉะนั้นแล้ว บาปกรรมก็จะกลับไปสู่เจ้าของหนังสือ ไม่จบสิ้น ตราบใดที่ความผิดเหล่านี้ยังคงแพร่หลายอยู่ในสังคม

3. ความผิดต่างๆ โดยเฉพาะในส่วนของหลักการศรัทธาทั้ง6ประการ ที่ได้หยิบยกมานี้ไม่ได้มีการประกาศเตาบัตตัวแต่ประการใด หลักฐานก็คือหนังสือเอกสารของนายอิบรอฮีม กุเรชียังได้รับการตีพิมพ์จำหน่ายจ่ายแจก โฆษณากันอย่างอึกทึกครึกโครม การอ้างว่าเตาบัตเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ท่านผู้อ่านลองเปรียบเทียบการเตาบัตของนายอับดุลลอฮ์ อัลค่อนีซีย์ ที่ผิดเพียงประเด็นว่า ‘อบูตอลิบเป็นมุอมินกุรอยซ์’ กับนายอิบรอฮีม กุเรชี ที่มีความผิดนานัปการ เพียงความเชื่อที่ทำลายหลักการศรัทธาข้อหนึ่งข้อใดก็เพียงพอแล้วที่เขาจะต้องปฏิบัติตามหลักการเตาบัต การกลับเนื้อกลับตัว และตราบใดที่ตำรับตำราของเขายังได้รับการเผยแพร่เช่นนี้ การเตาบัตของเขา (ตามอ้าง) เป็นสิ่งที่ฟังไม่ขึ้น
4. แนวทางของอุลามะอซุนนะห์ ในอดีตและปัจจุบัน ผู้ใดมีความผิด หรือความเชื่อหนึ่งความเชื่อใดในหลักอุซู้ลอีหม่าน(หลักพื้นฐานสำคัญ) ไปตรงกับพวกอุตริทั้งหลาย เช่นพวกคอวาริจญ์ พวกมุรญีอะห์ พวกชีอะห์ ฯลฯ พวกเขาก็ตัดสินว่าเป็นพวกเดียวกัน สิ่งที่เราควรถามย้อนก็คือแล้วการที่นายอิบรอฮีมมีความเชื่อเรื่องหลักพื้นฐานสำคัญเหมือนกับก็อดยานี และจะตัดสินว่าอย่างไร
5. บางคนอ้างว่าถูกใส่ร้าย ถูกอธรรมมาหลายสิบปี ความจริงก็คือ
- ถ้าเขาถูกใส่ร้าย ทำไมต้องประกาศเตาบัต หรืออ้างว่าได้แก้ไขความผิดต่างๆแล้ว ทำไมไม่ยืนหยัดต่อสู้ต่อไปเพื่อพิสูจน์ว่าความเชื่อของท่านถูกต้องตามแนวทางแห่งอัลกุรอาน
- คนที่บิดเบือนหลักการศาสนาคือผู้อธรรมหมายเลขหนึ่ง
- หน้าที่ของผู้รู้ ต้องปกป้องกุรอาน และซุนนะห์ แต่กลับมีการกล่าวหาว่าคณาจารย์ที่ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงว่าเป็นผู้อธรรม ทั้งที่ข้อมูลที่นำเสนอนั้นหยิบยกมาจากข้อความที่ปรากฏอยู่จริงในกุรอานมะญีด ฯลฯ อีกทั้งยังมีการจัดงานหาคนมาพูดแก้ตัวว่า ไม่เป็นกอดิยานีย อันที่จริงเจ้าของหนังสือเล่มดังกล่าวจะเป็นกลุ่มใดไม่สำคัญ แต่ทว่าเขาได้ทำลายหลักการศรัทธาทั้ง6ประการ บิดเบือนอัลกุรอาน ซุนนะห์ แต่ไม่มีใครกล่าวถึงเลยสักประเด็น แถมชมเชยยกย่องเจ้าของหนังสือดังกล่าวเสียอีก
7. บางคนออกมายอมรับแล้วว่า มีผิดจริงอย่างที่เขาว่า แต่ก็ยังโฆษณาขายกันอยู่ ใครจะรับผิดชอบในความผิด ที่เป็นผลพวงจากการปกป้องของคนเหล่านั้น อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นการคดโกง หลอกหลวง ประชาชนหรอกหรือ
8. จากตัวอย่างข้อความที่หยิบยกมา จึงอยากถามว่า การที่นายริฎอ สมะดีออกมารับรองว่านายอิบรอฮีม กุเรชี ‘แม้จะมีข้อผิดพลาดและแนวทางเกี่ยวกับความหมายอัลกุรอานที่ไม่ถูกต้อง แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในกลุ่มซุนนะห์ ที่เคยมีบทบาทเผยแพร่อิสลามอันเที่ยงธรรม’ (www. Ridasamadi.org คำถามที่ 1038 วันที่13 ตุลาคม 2548) ใช้มาตรฐานใดมิทราบ อารมณ์หรือหลักการ
- คนที่ทำลายหลักการศรัทธาทั้ง6ประการ
- คนที่พูดว่าหรือเคยพูดว่านบีอีซามีพ่อ มีน้องชาย น้องหญิง
- นบีอีซาตายแล้วในโลกนี้ ไม่ได้ลอยอยู่บนอยู่บนฟ้า ฯลฯ
- การเชื่อว่านบีอีซาเกิดมามีพ่อก็ดี ไม่มีพ่อก็ดี ไม่ได้ทำให้พ้นศาสนาอิสลาม
- มะสีห และมะห์ดีนั้นจะใช่มิรซาหรือไม่ ข้อนเป็นปัญหา
- ไม่มีนาซิคมันซูคในอัลกุรอาน
- ไม่มีการประหารชีวิตในผู้ตกมุรตัด
- นบีอีซาเป่านกเก๊
- นบีอิรอฮีมมิได้ถูกโยนลงกองไฟ
- อะฮ์มะดียะห์ทำงาน…ในการเผยแพร่ศาสนา
- เป็นสมาชิกกลุ่มกอดยานีย์อะฮ์มะดียะห์
- เป็นตัวแทนจำหน่ายวารสารอิสลามิครีวิวของกลุ่มก็อดยานีย์อะฮ์มะดียะห์
นี่เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น (ดูรายละเอียดกรุณาอ่านหนังสือความเชื่อที่แตกต่างโดยท่านอาจารย์อิสหาก พงษ์มณี)
- นี่หรือคือคนที่เผยแพร่ซุนนะห์และศาสนาอิสลามและศาสนาอิสลามอันเที่ยงธรรม
- นี่คือความอธรรมและคดโกงหลอกลวงพี่น้องมุสลิมที่ไม่มีความรู้ในเรื่องศาสนา อย่างน่าเกลียดที่สุด
9. เรื่องที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือ คนที่เผยแพร่ลัทธิอุบาทกลับได้รับการยกย่อง เชิดชู ปกป้อง ส่วนคนที่ปกป้องอัลกุรอานกลับกลายเป็นพวกโกหก ใส่ร้ายป้ายสี นินทาคนตาย อธรรม เป็นพวกหมาเห่าหมาหอน ส่วนคนที่บิดเบือนอัลกุรอานกลายเป็นผู้ถูกอธรรม นี่หรือความยุติธรรม ที่บางคนถามหา

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า

هَا أَنْتُمْ هَؤُلاءِ جَادَلْتُمْ عَنْهُمْ فِي الْحَيَاةِ الدُّنْيَا فَمَنْ يُجَادِلُ اللَّهَ عَنْهُمْ يَوْمَ الْقِيَامَةِ أَمْ مَنْ يَكُونُ عَلَيْهِمْ وكيلا

‘พึงรู้เถิดว่า พวกเจ้านี่แหละได้โต้เถียงแทนพวกเขา ในโลกดุนยานี้ แล้วผู้ใดเล่าที่จะไปโต้เถียงกับอัลลออ์แทนพวกเขาในวันกิยามะห์ หรือใครเล่าจะเป็นผู้รับมอบหมาย (ให้แก้ต่างแทนเขา)’21

ท่านร่อซู้ลซอลลอลลอฮ์อะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า
‏عن ‏ ‏أَبِي هُرَيْرَةَ أ‏ َنَّ رَسُولَ اللَّهِ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏قَالَ ‏ ‏مَنْ دَعَا إِلَى هُدًى كَانَ لَهُ مِنْ الْأَجْرِ مِثْلُ أُجُورِ مَنْ اتَّبَعَهُ لَا يَنْقُصُ ذَلِكَ مِنْ أُجُورِهِمْ شَيْئًا وَمَنْ دَعَا إِلَى ضَلَالَةٍ كَانَ عَلَيْهِ مِنْ الْإِثْمِ مِثْلُ آثَامِ مَنْ تَبِعَهُ لَا يَنْقُصُ ذَلِكَ مِنْ آثَامِهِمْ شَيْئًا

ท่านอบูฮูรอยเราะห์รายงานว่า ท่านร่อซูลซอลลัลลอฮ์อะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า ผู้ใดเรียกร้องเชิญชวนไปสู่ทางนำ เขาจะได้รับผลบุญเท่ากับผลบุญของผู้ที่ได้ปฏิบัติตามเขา มิได้ลดหย่อนเลยแม้แต่น้อย และผู้ใดเรียกร้องสู่สิ่งที่หลงผิด เขาจะได้รับบาปเท่ากับบาปของผู้ที่ปฎิบัติตามเขา โดยไม่ได้ลดหย่อนเลยแม้แต่น้อยเช่นกัน22
ท่านอัลฟุฎอยด์ บินอิยาฎกล่าวว่า

من عظّم صاحب بدعة فقد أعان على هدم الإسلام

‘ผู้ใดยกย่องเชิดชูพวกอุตริแน่แท้เขาผู้นั้น ได้ช่วยทำลายอิสลามเสียแล้ว’23

21 อันนิซาอ์ อายะห์ที่109
22 มุสลิม
23 ชัรฮุซซุนนะห์ หน้าที่139

ท่านเชคบักร อบูเซดได้กล่าวว่า

وقد ابتلينا بهذا الزمان بأقوام على هذا المنوال يعظمون المبتدعة وينشرون مقالاتهم، ولا يحذرون من
سقطاتهم وما هم عليه من الضلال، واحذروا أبا الجهل المبتدع هذا. نعوذ بالله من الشقاء وأهله

ในยุคปัจจุบันนี้พวกเราถูกทดสอบ ให้ต้องเผชิญกับคนประเภทนี้ ที่ยกย่องเชิดชูพวกอุตริแหวกแนวทั้งหลาย และเผยแพร่ข้อเขียน…ของพวกเขาเหล่านั้น แทนที่จะเตือนในความผิดและความหลงผิดของพวกเหล่านั้น กลับไม่เตือน
ดังนั้นขอให้พวกท่านทั้งหลายจงระวังจอมโฉดเขลา จอมอุตริให้ดี เราขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ให้พ้นจากความหลงผิดและพวกที่หลงผิดด้วยเถิด24

24 ฮัจรุลมุบตะเดียะ หน้าที่47
1 คัดจากหนังสืออิจมาอุลอุลามาอิ อะลัล ฮัจริวัตตะฮ์ชีรมินอะฮ์ลิลอะฮ์วาอิ โดยเชคคอลิดอัซซอฟิย์รีย์
[2] บันทึกโดยอิหม่ามอะห์มัด (3/387) อัดดาริมีย์ (1/115) เป็นฮะดีษฮะซัน ดูอัลอิรวาอุ(6/338-340)
[3] อัดดุรอรุซซุนนียะห์( 3/211)
[4] อัลอิสติกอมะห์ 1/108
[5] อัลฮุจยะห์ฟีบะยานิลมะฮัจยะห์ 1/242
[6] ญะมีอุบะยานิลอิลม 2/942
[7] ฮิดายะตุลอะรียบิลอัมญัด 38
[8] อัซซิยัร (11/231)
[9] อัซซุนนะห์( 3/511)
[10] อัซซุนนะห์ (3/511)
[11] ลัมอะตุลเอี้ยติกอด 33
[12] อัลอาด้าบอ้ชชัรอียะห์ 1/232
[13] อัตตุรุกุลฮุกมียะห์(233-235)
[14] อัลอักดุซซะมีน( 2/180-181) ตำราที่อิบนุคอลดูนกล่าวถึงเช่น อัลฟูซูซ อัลฟูตูฮาตของอิบนุอะร่อบีย์อัตตออีย์ ตลอดจนตำราของอิบนุซับอีน อิบนุฟาริฎ ฯลฯ ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นอุตริและเป็นกุฟุร
[15] อัลญะว่าฮิรุดดุรอร ( 2/637-638)
[16] ดูอัลเมี้ยยารุลมุ่อัรรอบ (12/185)
[17] เป็นที่ทราบกันว่าอบูตอลิบผู้เป็นลุงของท่านนบี –ซอลลอลอฮุอะลัยฮีวะซัลลัม-นั้นเป็นกาเฟรผู้ปฏิเสธมิได้เป็นมุอมินแต่อย่างใด
[18] อัลฮัจวิบะตุ้ลมุฟีดะห์ น.70
[19] ดูชัรฮุรซุนนะห์ ของอิมามบัรบะฮารีย์ ฮัจรุลมับตะเดียอ์ –เชคบักรอบูเชค อัลเอี้ยะติซอม- อิมามซาติบีย์ อัลอิบานะห์ อิบนุบัฏฏอฮ์ ฯลฯ
[20] หนังสือเล่มนี้ถึงแม้จะไม่มีการพิมพ์เผยแพร่อีก แต่เจ้าของหนังสือก็ไม่เคยประกาศยกเลิก เรียกเก็บ หรือชี้แจงความผิดต่างๆที่ปรากฏในหนังสือเล่มดังกล่าว ดังนั้นข้ออ้างที่ว่าเขาเลิกพิมพ์และหายากเต็มที ก็เป็นข้ออ้างที่รับฟังไม่ได้

.............................

โดย อ.คอลิด ปานตระกูล
Thaisalafi تايلندي سلفي
เผยแพร่ แก้ไข ให้ความรู้ ตามแนวทางซะลัฟ