อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

บทดุอาอฺ ให้พ้นจากการสร้างความเดือดร้อนของผู้ปฏิเสธ


رَبَّنَالاَتَجْعَلْنَافِتْنَةً لِلَّذِيْنَ كَـفَرُوْا وَاغْفِرْلَنَارَبَّنَا إِنَّكَ أَنْتَ الْعَزِيْزُ الْحَكِيْمُ

"ร็อบบะนา ลาตัญญะอัลนา ฟิตนะตัน ลิลละซีนะกะฟะรู วัฆฟิรละนา ร็อบบะนา อินนะกะ อันตัลอะซีซุลหะกีม"

{ ความว่า : โอ้ พระเจ้าของเรา โปรดอย่าได้ให้ข้าพระองค์เป็นบททดสอบของบรรดาผู้ปฏิเสธทั้งหลายเลย และโปรดให้อภัยแก่ข้าพระองค์ด้วย แท้จริง พระองค์คือผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ }


(ซูเราะฮฺอัล มุมตะฮินะฮฺ อายะฮฺที่ 5)

ดุอาอฺปลดหนี้สิน



اللَّهُمَّ اكْفِنِيْ بِحَلَالِكَ عَنْ حَرَامِكَ، وَأَغْنِنِيْ بِفَضْلِكَ عَمَّنْ سِوَاكَ

"อัลลอฮุมมักฟินี บิหะลาลิกะ อันหะรอมิกะ วะอัฆนินี บิฟัฎลิกะ อัมมัน สิวาก"

{ ความว่า : โอ้อัลลอฮฺ โปรดให้สิ่งหะลาลของพระองค์เพียงพอแก่ฉัน (ให้พ้น)จากสิ่งหะรอมของพระองค์ และโปรดให้ฉันร่ำรวยเนื่องด้วยความโปรดปรานของพระองค์ พ้นจาก(การพึ่งพา)ผู้อื่นนอกจากพระองค์ }

ใครที่อ่านด้วยความบริสุทธิ์ใจ อัลลอฮฺจะช่วยให้เขาพ้นหนี้สิน

(บันทึกโดย ติรมิซี / หะดีษหะซัน)

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

อย่าพัวพันกับดุนยาจนลืมสิทธิของผู้สร้าง

อิหม่ามอิบนุบาซ รอหิมาฮุลลอฮฺ กล่าวว่า :

"เราขอความต่ออัลลอฮฺให้รอดพ้นจากสิ่งดังกล่าว ...

คนๆหนึ่งลุกขึ้นเพื่อธุระทางโลกของเขา เเละเพื่อสิทธิของสิ่งถูกสร้าง เเต่เขากลับไม่ลุกขึ้นเพื่อสิทธิของอัลลอฮฺ #ผู้ทรงสูงส่ง"

มัจมั๊วะฟ่าตาวา : (29/179)

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ผู้ศรัทธา คือ ผู้ที่พบกับความสุขอันแท้จริง





อัลลอฮ์ ตรัสไว้มีความว่า



“ และสิ่งใดที่พวกเจ้าได้รับนั้นเป็นเพียงการสนุกสนานเพลิดเพลินแห่งชีวิตของโลกนี้เท่านั้น



แต่สิ่งที่มีอยู่ ณ ที่อัลลอฮฺนั้น ดีกว่าและจีรังกว่า สำหรับบรรดาผู้ศรัทธา



และพวกเขามอบหมายไว้วางใจแด่พระเจ้าของพวกเขา



และบรรดาผู้ที่หลีกเลี่ยงการทำบาปใหญ่และการทำลามก และเมื่อพวกเขาโกรธพวกเขาก็อภัยให้”



ซูเราะฮ์ อัซซูรอ: 36-37



จากความหมายของโองการของพระองค์อัลลอฮ์ ดังกล่าวคือ อันความกรุณาปราณีในรูปแบบของวัตถุที่พระเจ้าได้มอบให้มนุษย์นั้นมากมาย ไม่เป็นการประหลาดอะไรที่คนที่ร่ำรวยอยู่แล้วยิ่งร่ำรวยเพิ่มขึ้นอีก คนที่อุดมสมบูรณ์อยู่แล้วก็ยิ่งเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ขึ้นอีก คนที่ยากจนก็กลายเป็นคนร่ำรวย คนที่ลำบากก็ได้รับความสุขสบาย เพราะมีโอกาสใหม่ๆที่จะสร้างความร่ำรวยได้ การแข่งขันกันในการหาผลประโยชน์ สร้างความร่ำรวย กอบโกยและตักตวง เอาความสุขสบายด้านวัตถุนั้น นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น จนกระทั่งมีการทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อสิ่งดังกล่าว แต่อย่างไรก็ดี สิ่งที่เราควรจะสำนึกอยู่เสมอนั้นก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้รับอยู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง ความสุขสบาย ล้วนเป็นความกรุณาปราณีของพระองค์อัลลอฮ์ ทั้งสิ้น



มนุษย์ถูกเตือนให้ทราบว่า ความกรุณาปราณีของอัลลอฮ์ ในรูปแบบของความร่ำรวย ความสุขสบายและเกียรติยศเหล่านั้นเป็นความสุขสบายชั่วระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น สำหรับชีวิตในโลกอันชั่วคราวนี้จะหาความจีรังยั่งยืนไม่ได้ทั้งหมดนั้นอยู่ในลักษณะชั่วคราวเท่านั้น



ชีวิตในโลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งทดสอบนานาชนิด และเป็นช่วงเวลาที่แสนสั้น ทุกคนจะต้องกลับไปหาพระเจ้า ทิ้งทรัพย์สมบัติและความร่ำรวยตลอดจนตำแหน่งหน้าที่และเกียรติยศต่างๆไว้เบื้องหลัง



ด้วยเหตุดังกล่าวมนุษย์ได้ถูกเตือนให้ทราบว่า สิ่งตอบแทนของพระองค์อัลลอฮ์ ในรูปแบบของความสุขอันนิรันดรนั้นกำลังรอท่านอยู่ ณ วันอาคิเราะฮ์หรือวันปรโลก ซึงเป็นความสุขที่ถาวรกว่า เป็นความสุขที่มั่นคง และนิรันดรไม่มีวันสิ้นสุด การที่มนุษย์ได้สูญเสียผลประโยชน์ต่างๆในโลกนี้อันเป็นสิ่งชั่วคราวนั้น ย่อมเป็นของธรรมดา ไม่ควรจะไปเสียใจ หน้าที่ของมนุษย์ก็คือการแสวงหาความสุขวันอาคิเราะฮ์



ส่วนความสุขแห่งอาคิเราะฮ์นั้นถูกเตรียมไว้สำหรับตอบแทนผู้ศรัทธา มีอีมาน มอบกายใจแด่พระบัญชาของพระองค์อัลลอฮ์ พร้อมกับปฏิบัติตามข้อใช้ และหลีกห่างจากข้อห้ามของศาสนาอย่างเด็ดขาด และพร้อมที่จะให้อภัยเสมอหากมีอะไรทำให้เขาบันดาลโทสะขึ้น





สรุปแล้วผู้ที่จะลิ้มรสแห่งความสุขนิรันดรดังกล่าวนั้น ได้แก่กลุ่มชนที่รักพระเจ้า ปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์ทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ใจและซื่อสัตย์ ยึดเอาสัจธรรมคำสอนของอิสลามเป็นธรรมนูญแห่งชีวิต ด้วยเหตุดังกล่าว ความภาคภูมิใจในความร่ำรวย ความสุขสบาย เกียรติยศในโลกนี้นั้น เป็นภาพลวงตาที่หาแก่นสารอะไรไม่ได้เลย เพราะทุกอย่างนั้นเราจะต้องทิ้งมันไว้เบื้องหลังไม่วันใดก็วันหนึ่งเป็นแน่



โอ้ ! อัลลอฮ์ ผู้เป็นที่รักยิ่ง โปรดให้เรามีชีวิตอยู่ และกลับสู่พระองค์ในฐานะมุสลิมด้วยเถิด อามีน......


ยังไม่ถึงเวลากลัวอัลลอฮ์ หรือ...!





โดย.... อ. อับดุลเราะมัน เจะอารง



ในอัล-กุรอานได้มีอายะฮ์หนึ่งที่ผู้ไม่มีความรับผิดชอบในหน้าที่อ่านแล้วทำให้เขาสำนึกตัว ยอมรับความผิดพลาด ความไม่แยแสต่อหน้าที่ ผู้ที่หลงลืมอ่านแล้วจะตื่นตัว ผู้ที่เคยกระทำความผิดอ่านแล้วจะไม่ยอมหวนกลับปฏิบัติอีกแล้ว นั่นคืออายะฮ์ทีความว่า



ألَمْ يأْنِ لِلذينَ آمَنوا أن تخْشَعَ قلوْبُهم لِذِكْرِ الله وما نزَلَ من الحقِ ولا يكونوا كالَّذينَ أُوتُو الكِتابَ مِن قبْلُ فطالَ عليهِمُ الأمَدُ فقَسَت قلُوبَهم وكَثيرٌ منْهم فاسِقون (الحديد/16)



“ยังไม่ถึงเวลาอีกหรือสำหรับบรรดาผู้ศรัทธาที่หัวใจของพวกเขาจะนอบน้อมต่อการรำลึกถึงอัลลอฮฺ และสิ่งซึ่งได้มีลงมา คือ ความจริง



และพวกเขาอย่าได้เป็นเช่นบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์มาแต่ก่อนนี้ แล้วช่วงเวลาได้เนิ่นนานเกินไปแก่พวกเขา



ดังนั้นจิตใจของพวกเขาจึงแข็งกระด้างและส่วนมากของพวกเขาจึงเป็นผู้ฝ่าฝืน”



เป็นการปรามบรรดาผู้ศรัทธาว่า ยังไม่ถึงเวลาอีกหรือที่พวกเขาจะมีหัวใจที่นอบน้อมต่อการรำลึกถึงอัลลอฮฺ สัญญาดีและสัญญาร้ายของพระองค์ และอย่าได้เป็นเช่นพวกยะฮูด พวกนะศอรอ ที่อัลลอฮ์ ทรงประทานคัมภีร์เตารอห์และอินญีลให้แก่พวกเขา ครั้นเวลาได้ลวงเลยมาเป็นเวลานานระหว่างพวกเขากับบรรดานบีของพวกเขา ดังนั้น จิตใจของพวกเขาจึงแข็งกระด้างด้วยการวุ่นอยู่แต่ในเรื่องของโลกดุนยาพวกเขาจึงกลายเป็นผู้ฝ่าฝืน ไม่เชื่อฟังและจงรักภักดีต่ออัลลอฮ์ ปฏิเสธและไม่สนใจต่อข้อใช้ข้อห้ามของศาสนา





นักอรรถาธิบายอัล-กุรอานได้อธิบายอายะฮ์นี้ไว้ว่า เวลาได้ถึงมาแล้วสำหรับบรรดามุอฺมินที่จะทบทวนตัวเอง ตั้งสติ มองดูผลงานที่ดีงามและผลงานที่เลว เมื่อรู้ว่าผลงานที่ดีงามยังน้อยอยู่พยายามให้ใกล้ชิดกับพระองค์อัลลอฮ์ ให้มากขึ้น เพราะคำเตือนจากอัล-กุรอานได้ผ่านมามากมายแล้ว และมีผู้อธิบายอายะฮ์นี้ไว้ว่า ยังไม่ถึงเวลาหรือที่บรรดาชาวคัมภีร์เตารอฮ์(คือชาวยิว) และชาวคัมภีร์อินญีล(ชาวคริสต์)ที่จะเกรงขามและนอบน้อมยอมรับคัมภีร์อัล-กุรอาน เพื่อไม่ให้พวกเขาเป็นผู้ตามนบีมูซา และตามนบีอีซา ในยุคแรก ๆ แต่ต่อมาเวลาได้ล่วงเลยไปมากทำให้หัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง ไม่สามารถยอมรับคัมภีร์อัล-กุรอานได้



สาเหตุของการประทานอายะฮ์นี้ช่วยให้เราเข้าใจความหมายลึกซึ้งไปอีก อิมามกุรฏุบีย์รายงานว่า เมื่อบรรดาเศาะหาบะฮ์ได้อพยพไปอาศัยที่นครมะดีนะฮ์ พวกเขารู้สึกสบายอกสบายใจ ไร้ความกดดันและการขู่เข็ญ มีการหัวเราะกัน สนุกสนาน เฮฮากันอย่างแพร่หลาย จึงทำให้พระองค์อัลลอฮ์ ตักเตือนพวกเขาด้วยอายะฮ์นี้ และท่านเราะสูล ได้กล่าวว่า แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ทรงตั้งใจจะค่อย ๆ สั่งให้พวกเจ้าสำรวมตน



บทสรุปจากอายะฮ์



1. อายะฮ์ใช้ให้เรามีความสำรวมตน รำลึกถึงความโปรดปรานของพระองค์และเตือนมิให้เราเป็นเสมือนคนยุคก่อน ๆ ที่เมื่อมีน้ำฝนตกลงมา พวกเขาไม่ตักตวงเก็บน้ำฝนนั้นไว้เพื่อเป็นประโยชน์ในการเพาะปลูก



2. อายะฮ์เตือนมิให้บรรดามุอฺมินนิ่งเฉย เดียวดาย ไม่ตอบสนองกับอายะฮ์ที่ประทานลงมา หัวใจที่ไม่ตอบสนองอายะฮ์อัล-กุรอานหมายถึงหัวใจที่แข็งกระด้าง และหัวใจแข็งกระด้างคือหัวใจที่ปฏิเสธพระองค์อัลลอฮ์



3. หัวใจของมนุษย์ควรเป็นหัวใจที่อ่อนไหว อ่อนโยน นอบน้อม เกรงกลัวและร้องไห้บ่อยครั้งยอมรับความยิ่งใหญ่ของพระองค์



พระองค์ได้ตรัสไว้ความว่า



فلْيضْحَكوا قليلاً ولْيبْكوا كثيراً جزاءً بِما كانوا يكْسِبون (التوبة/82)



“พวกเขาจงหัวเราะแต่น้อย และจงร้องไห้มาก ๆ เถิด (กล่าวคือที่พวกเขาจะถูกลงโทษนั้นก็มิใช่อื่นใด เป็นเพียงการตอบแทนตามที่พวกเขากระทำเท่านั้น)”



ดังนั้น โอ้ บรรดาผู้บูชาเจว็ดทั้งหลาย ถึงเวลาแล้วที่พวกท่านทั้งหลายจะเปลี่ยนกลับมาบูชาพระองค์อัลลอฮ์ องค์เดียว



พระองค์ได้ตรัสไว้ความว่า



يا أيُّها النَّاسُ اعْبُدوا ربَّكمُ الَّذي خلَقَكمْ والَّذي مِن قبْلِكم لعلَّكم تتَّقون ن الَّذي جعَلَ لكمُ الأرْضَ فِراشاً والسَّماءَ بِناءً وأنْزَلَ مِن السَّماءِ ماءً فأخْرَجَ بِه مِنَ الثَّمَراتِ رزْقاً لكُم فلا تجْعلوا للهِ أنْداداً وأنتُم تعْلَمون (البقرة/21)



“มนุษย์เอ๋ย ! จงเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้าของพวกเจ้าที่ทรงบังเกิดพวกเจ้า และบรรดาผู้มาก่อนพวกเจ้าเถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง



คือผู้ทรงให้แผ่นดินเป็นที่นอนและฟ้าเป็นอาคารแก่พวกเจ้า และทรงให้น้ำหลั่งลงมาจากฟากฟ้า แล้วได้ทรงให้บรรดาผลไม้ออกมาเนื่องด้วยน้ำนั้น



ทั้งนี้เพื่อเป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า ดังนั้น พวกเจ้าจงอย่าให้มีผู้เท่าเทียมใด ๆขึ้นสำหรับอัลลอฮ์ โดยที่พวกเจ้าก็รู้กันอยู่”



โอ้ บรรดาผู้บูชาอารมณ์ตนเอง โดยยอมตามทุกสิ่งทุกอย่างที่อารมณ์ฝ่ายต่ำชอบ ได้เวลาแล้วหรือยังที่จะหักห้าม ขัดขืน ไม่ยอมตามอารมณ์แล้วกลับมานอบน้อม ยอมจำนนต่ออัลลอฮ์ ผู้ทรงเตรียมสวนสวรรค์สำหรับผู้ที่ตามคำสอนของพระองค์ และเตรียมไฟนรกไว้สำหรับผู้ที่เนรคุณต่อพระองค์



พระองค์ได้ตรัสไว้ความว่า



فإنْ لم يسْتَجِيبوا لَك فاعْلَم أنَّما يتَبِعونَ أهْواءَهم وَمَن أضَلُّ مِمَّنِ اتَّبَهَ هَواهُ بغيْرِ هُدًى مِن اللهِ (القَصَص/50)



“หากพวกเขาไม่ยอมสนองตอบเจ้า ก็พึงรู้เถิดว่า แท้จริงพวกเขาปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของพวกเขาเท่านั้น



และผู้ใดเล่าจะหลงยิ่งไปกว่าผู้ปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของเขา โดยปราศจากแนวทางและหลักฐานที่ถูกต้องจากอัลลอฮ์”



โอ้ บรรดาผู้ที่ยังลังเลใจจะบูชาอะไรดี ถึงเวลาแล้วที่ท่านทั้งหลายจะยอมรับพระองค์อัลลอฮ์ และปฏิบัติตามบัญชาที่พระองค์ทรงสั่งสอนทุกประการในชีวิตประจำวัน เพื่อรำลึกถึงบุญคุณที่พระองค์ทรงมอบให้



พระองค์ทรงตรัสไว้ความว่า



إنْ يتَّبِعونَ إلاَّ الظَّنَّ وما تهْوَى الأنْفُسُ ولقَدْ جاءَهمُ الهُدى (النجم/23)



“พวกเขามิได้ปฏิบัติตามสิ่งใดนอกจากการคาดคะเน และสิ่งที่อารมณ์ปรารถนา



และโดยแน่นอน แนวทางที่ถูกต้อง(ฮิดายะฮ์)จากพระเจ้าของพวกเขาได้มีมายังพวกเขาแล้ว”



โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาในพระองค์อัลลอฮ์ แต่ในบางครั้งบางคราว พวกเขาแพ้อารมณ์ของตนเอง โดยที่พวกเขาประกอบความดีปะปนกับความชั่วบ้าง ได้เวลาแล้วที่พวกเขาทั้งหลายจะกลับเนื้อกลับตัว ยอมรับและสารภาพผิดก่อนที่วิญญาณจะถึงคอหอย



พระองค์ได้ตรัสไว้ความว่า



وآخَرونَ اعْتَرَفوا بِذنُوبِهم خلَطوا عملاً صالِحاً وآخَرَ سيِّئاً عسى اللهُ أن يتوبَ عليهِم (التوبة/102)



“และมีชนกลุ่มอื่นที่สารภาพความผิดของพวกเขา โดยที่พวกเขาประกอบกรรมดีปะปนไปกับงานที่ชั่ว หวังว่าอัลลอฮ์จะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา”


วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ฮุก่มการรับประทานสัตว์เชือดพลีของชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ ( ذَبَائِحُ الشِيْعَة )








{ คุยกันก่อนอ่าน : พี่น้องที่จะไม่อ่านเกี่ยวกับการเท้าความสามารถอ่านหุก่มของเรื่องนี้ได้เลยโดยอ่านข้ามไปสามย่อหน้าจากนี้,ในข้อเขียนนี้สวนใหญ่จะใช้คำว่าอาหารแทนคำว่าสัตว์พลีจึงเรียนมาให้ทราบนะครับเกรงจะเข้าใจผิดกันว่าหมายถึงทุกอย่างที่ชีอะฮทำเป็นอาหาร }





ไม่นานมานี้ผมถูกสักถามจากพี่น้องบางสวนเกี่ยวกับการรับประทานอาหารในร้านของชีอะฮฺซึ่งอยู่ในเขตรั้วมหาวิทยาลัยทำให้ผู้ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้รู้สึกกังวลเป็นพิเศษเนื่องจากมีกลุ่มพี่น้องมุสลิมีนและมุสลิมะฮฺชาวซุนนีย์เราจำนวนมากเดินเข้าออกร้านดังกล่าวเป็นจำนวนมาก





ในร้านอาหารดังกล่าวก็เต็มไปด้วยอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์,ของคาว,และของหวานที่ถูกปากน่ารับประทานตกแต่งไปด้วยสีสันและรูปทรงตามเทรนของวัยรุ่นที่มักจะนิยมรับประทานกัน





ในขณะเดียวกันวันสองวันมานี้ผมดันไปเปิดเจอคลิปวิดิโอและข่าวสารบ้านเมืองในโลกอาหรับที่เป็นข้อเขียน ปรากฎว่ามีการแจกจ่ายอาหารของกลุ่มชีอะฮฺอิหม่ามสิบสองส่งตรงจากประเทศอิหร่านเลี้ยงอาหารละศิลอดให้กับมุสลิมซุนนีย์เราในปาเลสไตน์ จึงทำให้ผมรู้สึกหวาดวิตกถึงความเข้าใจอันคลาดเคลื่อนนี้จะมีผลทำให้มุสลิมไทยเราจำนวนไม่น้อยเลยจะเข้าใจไปว่าซุนนีย์เราสามารถรับประทานสัตว์พลีของชีอะฮฺได้จึงก่อเกิดข้อเขียนนี้ขึ้นมาเพื่อให้พี่น้องทราบถึงข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ อินชาอัลลอฮฺ





การรับประทานสัตว์พลีของกลุ่มชีอะฮฺถือว่าห้ามรับประทานด้วยกับการพิจรณาตามตัวบทและหลักฐานของศาสนาทำให้เราทราบว่าสัตว์พลีของมุสลิมและอะฮลุลกิตาบนั้นสามารถรับประทานได้ แต่สัตว์พลีของมุชริกีน,มะญูซี,และผู้ที่ตกมุรตัดนั้นไม่เป็นที่อนุญาตให้รับประทาน





นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า





“ ภาพรวมอะกีดะฮฺและหลักการปฏิบัติของชีอะฮนั้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่าพวกเขาออกจากศาสนาอิสลามไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อของพวกเขาที่ว่า พระมหาคัมภีร์กุรอานถูกบิดเบือน,บรรดาอิหม่ามของพวกเขานั้นมีความหยั่งรู้เกี่ยวกับเรื่องเร้นลับทั้งเชื่อว่าพวกเขานั้นมะอฺซูมปราศจากบาปและความบกพร่อง พวกเขานั้นขอช่วยเหลือ (อิสติฆอษะฮฺ) จากบรรดาคนตาย รวมถึงขอดุอาอฺจากพวกเขาด้วย ทั้งพวกเขายังทำการสุญูดต่อกุโบรต่างๆของคนตายที่เขานับถือ พวกเขาด่าทอและตักฟีรต่อกลุ่มคนที่ประเสริฐที่สุดถัดจากบรรดานบี และบรรดาร่อซูล นั้นคือบรรดาซอฮาบะฮของท่านนบีมุหัมหมัด “





เช่นเดียวกันผมจะขอยกฟัตวาจากลัดนะฮดาอิมะฮที่ได้ถูกถามเกี่ยวกับปัญหาว่าด้วยการรับประทานสัตว์พลีของพวกชีอะฮญะอฺฟะรียะฮฺที่พวกเขานั้นวิงวอนขอดุอาอฺกับท่านอะลีย์,ท่านหะซัน,ท่านหุเซน,และคนอื่นๆ





โดยที่ลัจนะฮดาอิมะฮตอบว่า





“ หากว่ามันเป็นไปตามนั้น คือ พวกชีอะฮญะอฺฟะรียะฮพวกนี้วิงวอนขอดุอาอฺจากท่านอะลีท่านหะซันท่านหุเซนและคนอื่นๆ ถือว่าพวกชีอะฮพวกนี้นั้นเป็นมุชริกีนออกจากศาสนาอิสลามแล้ว “





ฮัมซะฮฺ ขำวิลัย


18/9/1439


วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เหตุไฉนดุอาถึงไม่ถูกตอบรับ?







ครั้งหนึ่งท่านอิบรอฮีม อิบนุ อัดฮัม (ร.ฮ.)


ได้เดินผ่านมาในตลาด ผู้คนต่างรุมล้อมรวมอยู่กับท่าน


และพวกเขาก็กล่าวกับท่านว่า:


ท่านอะบา อิสฮาก:(หมายถึงท่านอิบรอฮีม อิบนุ อัดฮัม)


แท้จริงพระอัลลอฮฺได้ทรงตรัสไว้ในพระคัมภีร์อัลกุรอานว่า:


((أد عوني أستجب لكم))


"สูเจ้าทั้งหลายจงขอจากฉัน(หมายถึงอัลลอฮฺ)แล้วฉันจะตอบรับการวอนขอของสูเจ้า"





พวกเราก็วอนขอมาเป็นปี ๆ แล้ว แต่พระองค์ก็ยังไม่ตอบรับการวอนขอของพวกเราเลย?


(ประหนึ่งว่าพวกเขาต้องการตัดพ้อกับท่านอิบรอฮีม อิบนุ อีดฮัมว่า พระดำรัสของอัลลอฮฺสัจจะจริงเสมอมิใช่หรือ?)





ท่านอิบรอฮีม อิบนุ อัดฮัม จึงกล่าวตอบผู้คนเหล่านั้นว่า:


อาจเป็นไปได้ว่าหัวใจของพวกท่านมันตายสนิท (มืดบอด)ในเรื่องราว 10 ประการต่อไปนี้


แล้วไฉนเลยดุอาของพวกท่านจะถูกตอบรับได้อย่างไรกัน?





ประการที่หนึ่ง


พวกท่านศรัทธาอีหม่านต่ออัลลอฮฺ


แต่พวกท่านละเลยไม่ยอมปฎิบัติหน้าที่ต่อพระองค์ตามที่พระองค์ได้บัญชาใช้





ประการที่สอง


พวกท่านอ่านคัมภีร์อัลกุรอาน


แต่พวกท่านไม่ยอมปฎิบัติตามอัลกุรอาน





ประการที่สาม


พวกท่านอ้างว่ารักท่านร่อซูลุ้ลลอฮ์(ศ.ล.)


แต่พวกท่านกลับทิ้งแนวทางหรือ"ซุนนะฮ์"ของท่านโดยไม่ยอมดำเนินตามแบบฉบับของท่าน





ประการที่สี่


พวกท่านอ้างว่าเป็นศัตรูคู่อริกับมารร้ายซัยฎอน


ทั้งๆที่พวกท่านกลับเชื่อฟังมัน และเห็นด้วยกับมัน





ประการที่ห้า


พวกท่านวอนขอให้ได้เข้าสวรรค์


โดยพวกท่านไม่ยอมปฎิบัติ"อะมั้ล"ที่ทำให้ได้เข้าสวรรค์





ประการที่หก


พวกท่านขอให้รอดพ้นจากนรก


โดยที่พวกท่านกลับโยนตัวของพวกท่านลงไปในนรกเสียเอง





ประการที่เจ็ด


พวกท่านพูดว่า:ความตายเป็นสัจธรรมที่ทุกคนหนีไม่พ้น โดยที่พวกท่านไม่เคยตระเตรียมหรือตระหนักสำหรับมันเลย





ประการที่แปด


พวกท่านอยู่มัวสนใจอยู่กับข้อบกพร่องหรือตำหนิของคนอื่น โดยที่พวกท่านมองไม่เห็นข้อบกพร่องของตัวพวกท่านเอง





ประการที่เก้า


พวกท่านบริโภค"เนี๊ยะมัต"ความโปรดปรานที่พระเจ้าของพวกท่านทรงประทานให้ โดยที่พวกท่านไม่เคยแม้แต่จะคิดขอบคุณพระองค์





ประการที่สิบ(สุดท้าย)


พวกท่านฝังศพคนตายหรือเห็นคนตายไปแล้วหลายต่อหลายคน โดยที่พวกท่านก็ไม่เคยคิดพิจรณาอย่างจริงจังว่า:


สักวันคงมาถึงพวกท่าน!!





--------------------------------------------


ยาม..วิงวอน


آمين..يارب