เมื่อได้ยินประกาศจากทางวิทยุ โทรทัศน์กระจายเสียง หรือในหนังสือพิมพ์ จะมีการใช้คำว่า “ผู้ก่อการร้าย” พร้อมๆกับคำว่า “มุสลิม” เราลองหยุดคิดสักนิด เพื่อจะได้รับทราบข้อเท็จจริงในการโจมตีเช่นนี้ และจะทราบว่าเป้าหมายของพวกเขาคืออะไร?
ซึ่งความจริงแล้วสำนวนเช่นนี้ นับเป็นการบิดเบือนความจริง เป็นการล้างสมองผู้คน ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ศัตรูของอิสลามได้ใช้มาโดยตลอด ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ได้บอกถึงความคล้ายคลึงกับที่ชาวยิวฝึกฝนมาอย่างเชี่ยวชาญ ในการวาดภาพมุสลิมให้เป็นคนป่าเถื่อน ดุร้าย เป็นนักฆ่า และได้ทำการเผยแพร่งานของพวกเขาออกไปตามหนังสือและตำราของพวกเขาว่า ศาสนาอิสลามนั้นเผยแพร่ด้วยคมดาบ และทำลายชีวิตของผู้คน ทั้งๆที่ความเป็นจริงตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
ใครหรือผู้ริเริ่มก่อการร้าย
ในยุคท่านนบมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พวกยิวใช้เลห์เหลี่ยมกับอิสลามสารพัด
ชาวยิวส่งคนมาสร้างความเคลือบแคลงสงสัยในอิสลามให้กระจายไปในหมู่ชาวมักกะฮฺ
พยายามอย่างยิ่งยวดในการยืนยันรับรองแก่ชาวมุชริกีน(พวกบูชาเจว็ด) ว่าศาสนาเดิมๆ ที่พวกเขานับถืออยู่นั้นประเสร็จกว่าอิสลามหลายเท่า
เมื่อท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อพยพไปเมืองมะดีนะฮฺ ได้ทำสนธิสัญญาระหว่างมุสลิมกับยิว สัญญษข้อที่ 16 ระบุว่า หากชาวยิวคนใดมาอยู่กับฝ่ายมุสลิม เขาก็จะได้รับการช่วยเหลือและปฏิบัติด้วยดี และสัญญาข้อที่ 44 ระบุว่า ให้ทั้งสองฝ่าย คือมุสลิมและยิวป้องกันผู้รุกรานเมืองยัษริบ(มาดีนะฮฺ)
สัญญาทุกข้อมีความเป็นธรรมอย่างที่สุด กล่าวได้ว่าเป็นคำมั่นสัญญาระหว่างประชาชาติทั้งสอง แต่ชาวยิวก็ไม่รักษาสัญญา กลั่นแกล้ง รังแก สร้างความเดือดร้อนให้มุสลิมมาโดยตลอด เท่าที่พวกเขาสามารถจะกระทำได้
พวกยิวพยายามฆ่าท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยวิธีการกลิ้งหินก้อนใหญ่ลงมาจากที่สูง ให้ตรงกับท่านนบีนั้งอยู่ แต่อัลลอฮฺทรงช่วยเหลือท่านจากการก่อการร้ายของพวกชาวยิวเหล่านั้น โดยท่านญิบรีลไดบอกให้ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมทราบ ท่านบีจึงลุกออกจากที่นั้น พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ประทานอัลกุนอานลงมาว่า
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا اذْكُرُوا نِعْمَتَ اللَّهِ عَلَيْكُمْ إِذْ هَمَّ قَوْمٌ أَن يَبْسُطُوا إِلَيْكُمْ أَيْدِيَهُمْ فَكَفَّ أَيْدِيَهُمْ عَنكُمْ وَاتَّقُوا اللَّهَ وَعَلَى اللَّهِ فَلْيَتَوَكَّلِ الْمُؤْمِنُونَ ( 11 )
"ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงรำลึกถึงความกรุณาของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเจ้า ขณะที่พกวหนึ่งปลงใจที่จะยื่นมือของพวกเขามาทำร้ายพวกเจ้าแล้วพระองค์ก็ทรงยับยั้งและหันเหมือนพวกเขาออกจากพวกเจ้าเสีย และพึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และแต่อัลลอฮ์เท่านั้น ผู้ศรัทธาทั้งหลายจงมอบหมาย" (อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัลมาอิดะฮฺ อายะที่ 11)
พวกยิวพยายามฆ่าท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมด้วยการวางยาพิษในเนื้อแกะ แต่อัลลอฮฺทรงให้แกะตัวนั้นเปิดโปงความจริงแก่ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และอัลลอฮฺทรงแจ้งให้ท่านรสูลทราบว่าขาหน้าของแกะตัวนั้นอาบยาพิษ ท่านรสูลจึงไม่รับประทาน ฯลฯ
การก่อการร้ายของชาวคริสต์ในยุคท่านบีมุหัมมัด
มุสลิมไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่จักรวรรดิโรมันซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ และไม่เคยทำอะไรที่เป็นเรื่องไม่ดีแก่ชาวคริสต์เหล่านั้น
ในปีฮิจเราะฮฺศักราชที่ 8 ตรงกับปี ค.ศ.629 ผู้ปกครองเมืองอัลลัลกออฺ ในดินแดนชาม ซึ่งเป็นคนของไกเซอร์ ทำการสังหารอัลอาริส อิบนุ อุมัยรฺ อัลอะวะดีย์ ซึ่งเป็นผู้ถือสาส์นจากท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไปให้ผู้ปกครองแห่งโรม
ท่านอัลฮาริสเป้นทูตที่ไปหาพวกเขา การสังหารทูตของประเทศใดเท่ากับประกาศสงครามกับประเทศนั้น
ด้วยเหตุดังกล่าว ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงส่งทหารจำนวน 3,000 นาย ไปสู้กับฝ่ายโรมซึ่งมีจำนวน 200,000คน
กองกำลังทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันที่มุอฺตะฮฺ และฝ่ายมุสลิมได้รับชัยชนะ ทำให้ไกรเซอร์แห่งโรมโกรธมาก เพราะเดิมคิดว่าทหารของตนจะสามรถมีชัยชนะเหนือมุสลิมได้ไม่กี่ชั่วโมง แต่กลับไม่เป็นตามคาดหมาย
ดังกล่าวนี้คือการก่อการร้ายที่ชาวคริสต์กระทำกับมุสลิม
ชาวยิว และชาวคริสต์ ตลอดจนชนชาติอื่น ได้วางแผนร้ายต่อประชาชาติอิสลาม และแพร่แนวความคิดชั่วร้าย หนุนกลุ่มแหวกแนว แยกประชาชาติอิสลามให้เกิดความอ่อนแอ ไม่มีพลัง พวกเขาพยายามจุดไฟสงครามขึ้นระหว่างกลุ่มชนอิสลาม หรือไม่ก็ไม่ประกาศสงครามกับปรชาชาติอิสลามโดยตรง จุดมุ่งหมายของพวกเขาอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้มุสลิมหันหลังให้คำสอนของศาสนา ทำการวางแผนสร้างความแตกแยกในมุสลิม ชาวที่เข้าอิสลามแบบหลอกลวง เพื่อสร้างความสงสัยในศาสนาให้แก่มุสลิม ความพยายามของชาวคริสต์ที่จะเข้ามายึดครองดินแดนอิสลาม ชี้ให้เห้นว่าการก่อการร้ายเป็นการกระทำของชาวยิว และคริสต์ต่อมุสลิมตลอดมา
والله أعلم بالصواب
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น