هذه دعوتنا : الدعوة السلفية
โดย อัล-มุญัดดิด อัลละมะฮฺ ชัยคฺ มุหัมมัด นาศิรุดดีน อัล-อัลบานียฺ เราะฮิมะฮุลลอฮฺ
การ สรรเสริญแด่องค์อัลลอฮฺ เราขออภัยโทษจากพระองค์ และขอความอนุเคราะห์จากพระองค์ และขอความคุ้มครองจากพระองค์ ให้เรารอดพ้นจากความชั่วร้ายของชัยฏอน ใครก็ตามที่อัลลอฮฺทรงชี้นำ ก็จะไม่มีผู้ใดทำให้เขาหลงผิด และใครก็ตามที่อัลลอฮฺทรงให้หลงผิด ก็จะไม่มีผู้ใดชี้นำเขาได้ ฉันขอปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และฉันขอปฏิญาณตนว่า มุหัมมัด ﷺ เป็นศาสนทูต และบ่าวของพระองค์
ฉันขอขอบคุณพี่น้องของฉันทุก ท่าน ฉันจะไม่กล่าวอันใดถึงคำสรรเสริญที่พวกท่านมีต่อฉัน นอกจากคำกล่าวของท่าน อบูบักรฺ อัศ-ศิดดีก อะมีรุลมุอฺมินีน ผู้เป็นคอลีฟะฮฺ อัร-รอชิดีน ท่านแรกหลังจากการจากไปของท่านรอซูลลุลลอฮฺ ﷺ เมื่อมีคนกล่าวสรรเสริญท่าน ท่านก็จะกล่าวว่า
“ยา...อัลลอฮฺ อย่าทำให้ฉันเป็นเพียงแค่สิ่งที่พวกเขาพูด โปรดปรับปรุงสภาพของฉันให้ดียิ่งขึ้น และโปรดทรงอภัยโทษให้แก่ฉัน ในสิ่งที่พวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับตัวฉัน”
นี่คือ คำกล่าวของ อัศ-ศิดดีก ดังนั้น ฉันจะขอกล่าวเช่นคำพูดของท่าน
“ยา...อัล ลอฮฺ อย่าทำให้ฉันเป็นเพียงแค่สิ่งที่พวกเขาพูด โปรดปรับปรุงสภาพของฉันให้ดียิ่งขึ้น และโปรดทรงอภัยโทษให้แก่ฉัน ในสิ่งที่พวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับตัวฉัน”
ฉันขอกล่าวเกี่ยวกับ ตัวของฉันเองว่า ไม่มีสิ่งอื่นใดเกี่ยวกับตัวฉัน นอกจากฉันเป็นเพียงพูดแสวงหาความรู้คนหนึ่งเท่านั้น ท่านทั้งหลายจงอดทนต่อการแสวงหาความรู้ ดังที่ท่านรอซูลลุลลอฮฺ ﷺ ได้กล่าวว่า
“ท่านทั้งหลายจงเผยแพร่จากฉัน แม้เพียงอายะฮฺเดียว และใครก็ตามที่โกหกใส่ฉันโดยตั้งใจ จงเตรียมที่นั่งของเขาในนรก”
จาก หะดีษข้างต้นนี้ พวกท่านทั้งหลายจงอดทนในการแสวงหาความรู้ ในการเผยแพร่กีตาบุลลอฮฺ และซุนนะฮฺ ในหมู่ผู้ที่ยังไม่มีความรู้ พร้อมๆกับ การปฏิบัติคุณงามความดีของพวกท่าน เมื่อฉันเห็นเยาวชนแสวงหาความรู้ ฉันขอบอกว่าฉันรู้สึกปลื้มใจมาก ฉันนึกถึงสุภาษิตที่ว่า
“ลูกนกในดินแดนของเราในวันนี้ จะกลายเป็นนกอินทรีตัวโตในวันหน้า”
มีหะดีษ ศอฮิหฺ ที่บันทึกโดยอิม่าม บุคอรียฺ รายงานโดยท่าน อับดุลลอฮฺ บิน อัมรฺ บิน อาส ว่าท่าน รอซูลลุลลอฮฺ ﷺ กล่าวว่า
“อัล ลอฮฺ จะไม่เอาความรู้ออกจากหัวใจของอุลามะอฺ แต่อัลลอฮฺจะเอาความรู้ไปโดยการตายของอุลามาอฺ จนกระทั่งไม่เหลือใครอยู่เลย แล้วประชาชนก็เอาคนโง่มาเป็นผู้นำ เมื่อประชาชนถามเรื่องต่างๆ เขาก็จะฟัตวาออกไปโดยที่ไม่มีความรู้ ซึ่งทำให้เขาหลง และทำให้ผู้อื่นหลงด้วย”
จากหะดีษนี้ อัลลอฮฺจะถอดความรู้ออกไปจากโลก แต่มันไม่ได้หมายความว่าอัลลอฮฺจะทิ้งโลก ทิ้งมนุษย์เอาไว้โดยปราศจากความรู้ แต่อัลลอฮฺจะถอดความรู้ไปทีละน้อย ด้วยกับการตายของอุลามะอฺ จนกระทั่งไม่มีใครบนโลกจะกลาวคำว่า อัลลอฮฺ อัลลอฮฺ ดังหะดีษที่ท่านทั้งหลายมักจะได้ยินกันว่า
“วันกิยามะฮฺ จะยังไม่เกิดขึ้น ตราบใดที่ยังมีผู้กล่าวคำว่า อัลลอฮฺ อัลลอฮฺ”
จน กระทั่งเมื่อไม่มีอุลามะอฺอยู่ ประชาชนก็จะเอาคนโง่ ขึ้นมาเป็นผู้นำ แล้วเขาก็ฟัตวาโดยไม่มีความรู้ มันทำให้พวกเขาทั้งหลายหลงผิด นั้นเป็นเพราะว่า พวกเขาตีความกุรอาน และหะดีษ ไปตามที่พวกเขาคิดเอง ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในอดีตเท่านั้น แต่มันเกิดขึ้นในยุคของเราด้วย เช่น จากหะดีษนี้ มีอุลามะอฺของกลุ่มซูฟียฺ ตีความเอาเองว่า นี่คือการซิกรฺ แบบหนึ่ง พวกเขาจึงกำหนดการซิกรฺ ของพวกเขาด้วยคำว่า อัลลอฮฺ อัลลอฮฺ...
พวกท่านพึงระวังการตี ความหะดีษ และอัล-กุรอาน ของพวกท่าน พวกท่านต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ การตีความของอัส-สะลาฟุศศอลิหฺ เพราะพวกเขาคือ ผู้ที่เข้าใจศาสนามากที่สุด และจากหะดีษข้างต้น แท้จริงแล้ว ยังมีอีกสายรายงานหนึ่งซึ่งถูกบันทึกในมุสนัดของ อิม่าม อะหฺมัด ว่า
“วันกิยามะฮฺ จะยังไม่เกิดขึ้น คราบใดที่ยังมีผู้คนบนหน้าแผ่นดิน กล่าวคำว่า ลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ”
ฉัน ขอวิงวอนต่อ อัลลอฮฺ อัซซะ วะญัล ให้พวกเราได้อยู่ในหมู่ผู้แสวงหาความรู้บนแนวทางที่ถูกต้อง เป็นอุลามะอฺที่อยู่บนแนวทางที่ถูกต้อง ท่านรอซูลลุลลอฮฺ ﷺ ได้กล่าวว่า
“ใครก็ตามที่ก้าวย่างไปเพื่อแสวงหาความรู้ อัลลอฮฺ จะให้เขาเข้าสวรรค์ด้วยกับสิ่งนั้น”
อัลลอฮฺ อัซซะ วะญัล ได้กล่าวว่า
“ จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด บรรดาผู้รู้ และบรรดาผู้ไม่รู้ จะเท่าเทียมกันหรือ? ”
อัล-กุรอาน ซูเราะหฺ อัซ-ซุมัร อายะฮฺที่ 9
“เพราะอัลลอฮฺจะทรงยกย่องเทอดเกียรติแก่บรรดาผู้ศรัทธาในหมู่พวกเจ้า และบรรดาผู้ได้รับความรู้หลายชั้น”
อัล-กุรอาน ซูเราะหฺ มุญะดิละฮฺ อายะฮฺที่ 11
อะไร คือความรู้? อะไรคือสิ่งที่อัลลอฮฺ ยกย่องจากบรรดาผู้ที่มีความรู้ คำกล่าวของ อัลละมะฮฺ อิบนุ กอยยิม อัล-เญาซียะฮฺ ผู้เป็นลูกศิษย์ของ ชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺ ว่า
“ความรู้ คือ สิ่งที่อัลลอฮฺพูด สิ่งที่รอซูลพูด สิ่งที่ศอหาบะฮฺพูด สิ่งเหล่านี้ ย่อมไม่หลงผิด ความรู้ คือ สิ่งที่ไม่ขัดแย้งกับซุนนะฮฺ และมันย่อมไม่ขัดแย้งกันระหว่างซุนนะฮฺ กับความเห็นของอุลามะอฺ และความรู้ คือ การที่ท่านเชื่อ และยืนยันถึงคุณลักษณะของอัลลอฮฺ ดังนั้น พวกท่านจงให้ความสำคัญในการแสวงหาความรู้ ในเรื่องดังกล่าวเถิด”
สิ่ง ที่ชายผู้นี้(อิบนุ กอยยิม)กล่าว ซึ่งเขาคืออุลามะอฺผู้ดำเนินแนวทางแห่งซุนนะฮฺ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น คือสิ่งที่สำคัญยิ่ง ความรู้อันดับแรกคือ กีตาบุลลอฮฺ ความรู้อันดับที่สองคือ ซุนนะฮฺ และความรู้อันดับที่สามคือ คำพูด ความเห็นของศอหาบะฮฺ ดังนั้น พวกท่านจงให้ความสำคัญในการแสวงหาความรู้ในเรื่องดังกล่าว
ท่าน อาจจะสงสัยว่า ทำไม อัลละมะฮฺ อิบนุ กอยยิม จึงได้กล่าวถึง ศอหาบะฮฺ นั้นเป็นเพราะว่าพวกเขาคือ ผู้ที่อยู่ร่วมกับท่านรอซูลลุลลอฮฺ ﷺ พวกเขาคือเสาหลักของอัส-สะลาฟุศศอลิหฺ ดังที่ท่านรอซูลลุลลอฮฺ ﷺ กล่าวเกี่ยวกับพวกเขาว่าเป็น“กลุ่มชนที่ดีเลิศที่สุดในอุมมะฮฺนี้” ท่านได้กล่าวถึง อัส-สะลาฟุศศอลิหฺ ซึ่งถูกบันทึกอยู่ในศอฮิหฺ ทั้งสองว่า
“ผู้ที่ดีเลิศที่สุดในอุมมะฮฺของฉัน คือ กลุ่มชนในช่วงชีวิตของฉัน และผู้ที่มาหลังจากพวกเขา และผู้ที่มาหลังพวกเขาอีกที”
ฉัน ขอกล่าวแก่พวกท่าน ให้ยึดถือแนวทางแห่ง อัส-สะลาฟุศศอลิหฺ เพราะเป็นแนวทางที่ถูกต้องและปลอดภัย เพราะหากท่านยึดแนวทางของผู้ที่มาที่หลัง(เคาะลัฟ) โดยไม่มีแบบอย่างจากยุคแรก มันมีความเป็นไปได้ที่จะหลงผิด ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม
อัลลอฮฺ อัซซะ วะญัล ได้กล่าวว่า
“และ ผู้ใดที่ฝ่าฝืนร่อซูล หลังจากที่คำแนะนำอันถูกต้องได้ประจักษ์แก่เขาแล้ว และเขายังปฏิบัติตามที่มิใช่ทางของบรรดาผู้ศรัทธา นั้น เราก็จะให้เขาหันไปตามที่เขาได้หันไป และเราจะให้เขาเข้านรกญะฮันนัม และมันเป็นกลับอันชั่วร้าย”
อัล-กุรอาน ซูเราะหฺ อันนิสาอฺ อายะฮฺที่ 115
ฉัน หวังว่าพวกท่านจะตระหนักถึงเรื่องนี้ เพราะนี่คือ สัจธรรม พวกท่านจงหลีกห่างจากแนวทางที่บิดเบือน หลงผิด ท่านรอซูลลุลลอฮฺ ﷺ ได้กล่าวว่า
“และเขายังปฏิบัติตามที่มิใช่ทางของบรรดาผู้ศรัทธา” ย่อมอยู่ในนรก
อัล-ญะมาอะฮฺ คือ สิ่งที่อัลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ว่า
“ดังนั้น พวกเขาจึงอยู่ในสวรรค์โดยปราศจากข้อสงสัยอันใด”
สำหรับกลุ่มแห่ง ญะมาอะฮฺ นั้น ท่านรอซูลลุลลอฮฺ ﷺ ได้กล่าวไว้ในอีกสายรายงานหนึ่งว่า
“ผู้ที่ดำรงอยู่บนแนวทางที่ฉัน และศอหาบะฮฺของฉันดำรงอยู่”
และอีกหะดีษหนึ่งรายงานโดยท่าน อิรบาด อัล-ซาริยะฮฺ ท่านรอซูลลุลลอฮฺ ﷺ ได้กล่าวว่า
“จงยึดซุนนะฮของฉัน และซุนนะฮฺของคอลีฟะฮฺ ผู้ทรงธรรม หลังจากฉัน จงหลีกห่างจากบิดอะฮฺ เพราะ บิดอะฮฺทุกอย่างนั้น ฎอลาละฮฺ(หลงผิด)”
จาก หะดีษนี้ จะเห็นได้ว่าท่านรอซูลลุลลอฮฺ ﷺ ไม่ได้กล่าวสั่งแก่อุมมะฮฺของท่านว่า ให้ยึดแค่ซุนนะฮฺของท่านเท่านั้น แต่ท่านยังกล่าวเพิ่มอีกว่า ให้ยึดคอลีฟะฮฺ ผู้ทรงธรรม หลังจากท่านอีกด้วย ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงกลับไปสู่แนวทางสะลัฟเถิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยข้อขัดแย้งอุดมการณ์ต่างๆ ความคลั่งใคล้ในมัสฮับ กลุ่ม และแนวคิดบิดเบือนต่างๆมากมาย
พื้นฐานที่สำคัญที่สุด 3 ประการ ในการเรียกร้องผู้คนให้กลับมาสู่แนวทางที่ถูกต้อง ได้แก่
1.อัล-กุรอาน
2.อัซ-ซุนนะฮฺ
3.การดำเนินตามวิถีของ อัส-สะลาฟุศศอลิหฺ
พึง ทราบเถิดว่า หากมีผู้หนึ่งผู้ใดเรียกร้องเชิญชวน ไปสู่ศาสนาของอัลลอฮฺ ด้วยกับอัล-กุรอาน และซุนนะฮฺ แต่ละเลยที่จะดำเนินตามแนวทางของอัส-สะลาฟุศศอลิหฺ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ได้แก่ การเป็นมนุษย์ปถุชนคนธรรมดาเหมือนกัน หรือ อะไรก็แล้วแต่ พึงทราบเถิด เขาผู้นั้นอยู่ในแนวทางที่หลงผิดแล้ว ทำไมน่ะหรือ ? พวกเขาไม่พิจารณาอายะฮฺที่ว่า
“และผู้ใดที่ฝ่า ฝืนร่อซูล หลังจากที่คำแนะนำอันถูกต้องได้ประจักษ์แก่เขาแล้ว และเขายังปฏิบัติตามที่มิใช่ทางของบรรดาผู้ศรัทธา นั้น เราก็จะให้เขาหันไปตามที่เขาได้หันไป และเราจะให้เขาเข้านรกญะฮันนัม และมันเป็นกลับอันชั่วร้าย”
อัล-กุรอาน ซูเราะหฺ อันนิสาอฺ อายะฮฺที่ 115
ผู้ ศรัทธาในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง ศอหาบะฮฺ หรอกหรือ ? ศอหาบะฮฺ คือ อะหฺลุลอะอฺวาฮฺ(พวกใช้แต่อารมณ์) กระนั้นหรือ? ศอหาบะฮฺ คือ อะหฺลุลบิดอะฮฺ กระนั้นหรือ? ไม่ใช่อย่างแน่นอน และผู้ใดที่กล่าวเช่นนี้ต่างหาก คือผู้หลงทางไปไกล
ฉันเชื่อว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้คนทั้งในอดีตและปัจจุบันหลงผิดไปอย่างมาก มาย แบ่งออกเป็นหลายแนวทาง คือการที่พวกเขาละทิ้งอัลกุรอานและซุนนะฮฺ บนความเข้าใจของอัส-สะลาฟุศศอลิหฺ
ใครก็ตามที่กล่าวอ้างที่กล่าวอ้างและเรียกร้องไปสู่กุอานและซุนนะฮฺ บนแนวทางของอัส-สะลาฟุศศอลิหฺ ไปสู่พี่น้องของเขาโดยที่เขายังไม่มีความรู้ ยังมีความสับสนในเรื่องของศาสนา นี้คือการเรียกร้องที่ดียิ่ง แต่หากใครก็ตามที่เรียกร้องไปสู่กุรอานและซุนนะฮฺ แต่ละเลยแนวทางในการเข้าใจและปฎิบัติตัวให้สอดคล้องตามแบบสะลัฟ พึ่งทราบไว้เถิดว่า พวกเขาคือผู้ที่ยึดเอาอารมณ์เป็นพระเจ้า หรือไม่พวกเขาก็ตะอัศศุบ อุลามะอฺของตน เสมือนคนหูหนวกตาบอด
ฉันจะยกตัวอย่าง จากคำพูดของท่าน อุมัร อิบนุ คอฏฏอบ อะมีรุลมุอฺมินีน ว่า
“ถ้า หากอะหฺลุลบิดอะฮฺ และอะหฺลุลอะอฺวาฮฺ มาถกเถียงกับท่านในเรื่องกุรอาน ที่เป็นอายะฮฺมุตะชาบิฮาต(อายะฮฺที่มีความหมายหลายนัย)ท่านจงให้ซุนนะฮฺแก่ พวกเขา”
อัลลอฮฺ อัซซะวะญัล กล่าวว่า
“...และ เราได้ให้อัลกุรอานแก่เจ้าเพื่อเจ้าจะได้ชี้แจง(ให้กระจ่าง)แก่มนุษย์ซึ่ง สิ่งที่ได้ถูกประทานมาแก่พวกเขา และเพื่อพวกเขาจะได้ไตร่ตรอง” กุรอาน ซูเราะหฺ อัน-นะหฺลฺ อายะฮฺที่ 44
ท่านทั้งหลายคิดหรือว่า ผู้ที่มีพื้นฐานภาษาอาหรับ รู้หลักไวยากรณ์ จะสามารถเข้าใจอัล-กุรอาน โดยปราศจากซุนนะฮฺของรอซูลลุลลอฮฺ ﷺ ? ไม่ใช่อย่างแน่นอน ดังนั้นผู้ที่เข้าใจกุรอาน ตีความกุรอาน ไปตามความคิดของตนเอง แน่นอนที่สุด เขาย่อมหลงทางไปไกล
นอกจากนี้ การที่ท่านทั้งหลายจะเข้าใจอัล-กุรอานได้ พวกท่านต้องย้อนกลับไปสู่ความเข้าใจของศอหาบะฮฺ ทำไม่จึงเป็นเช่นนั้น ? เพราะสิ่งที่จะอธิบายกุรอานได้ดีที่สุด คือซุนนะฮฺของท่านรอซูลลุลลอฮฺ ﷺ อันได้แก่ การกระทำของท่าน การพูดของท่าน การยอมรับของท่าน คำถามคือ ใครคือผู้สืบทอดคำพูดของท่าน? คำตอบคือ ศอหาบะฮฺ ใครคือผู้สืบทอดการกระทำของท่าน? คำตอบคือ ศอหาบะฮฺ ใครคือู้สืบทอดการยอมรับของท่าน? คำตอบคือ ศอหาบะฮฺ ดังนั้น ศอหาบะฮฺ คือผู้สืบทอดอัล-กุรอานและซุนนะฮฺ เราต้องกลับไปหาความเข้าใจของศอหาบะฮฺ ในเรื่องการเข้าใจอัล-กุรอาน แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า การเรียนภาษาอาหรับ คือสิ่งที่ไม่จำเป็น
นี่คือสิ่งที่ฉัน เชื่อมั่นว่า มันเป็นสาเหตุแห่งความหลงผิด โดยเฉพาะ ในหมู่ผู้ที่ไม่มีความรู้ในภาษาอาหรับ และไม่ย้อนกลับไปสู่ความเข้าใจอัล-กุรอาน อายะฮฺต่างๆ ตามความเข้าใจของสะลัฟ
ฉันจะยกตัวอย่างให้ท่านเห็น เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง อัลลอฮฺ อัซซะวะญัล ได้กล่าวว่า
“และ ขโมยชายและขโมยหญิงนั้นจงตัดมือของเขา ทั้งสองคน ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบแทนในสิ่งที่ทั้งสองนั้นได้แสวงหาไว้ เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างการลงโทษ จากอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์นั้นทรงเดชานุภาพ ทรงปรีชาญาณ” อัล-กุรอาน ซูเราะฮฺ อัล-มาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 38
จาก อายะฮฺดังกล่าวนี้ ผู้ที่มีความเข้าใจในภาษาอาหรับอย่างเดียว ไม่สามารถที่จะอธิบายได้อย่างถูกต้อง กล่าวคือ หากแต่อาศัยเพียงหลักภาษา ก็จะตีความว่า ให้ตัดมือขโมยทุกคน ไม่ว่าเขาจะขโมยอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่เพียงฟองเดียว หรือ ขนมปังเพียงก้อนเดียว ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะผู้ที่อธิบายอัล-กุรอาน ได้ดีที่สุดก็คือท่านรอซูลลุลลอฮฺ ﷺ ซึ่งท่านได้กล่าวว่า
“มือของผู้ลักทรัพย์จะไม่ถูกตัดนอกจากใน (กรณีที่ทรัพย์นั้นถึง) หนึ่งในสี่ของดีนาร์ขึ้นไป”
(รายงานโดย บุคอรี -6407- / มุสลิม -1684-)
จากข้างต้นทั้งหมด ฉันเห็นว่าเป็นที่ชัดเจนแล้ว ว่ามีความจำเป็นที่จะต้องยึดแนวทางสะลัฟ ท่านทั้งหลายได้รับรู้กันแล้วว่า ทั้งในอดีตและปัจจุบัน มีกลุ่มมุสลิมมากมายที่หันเหออกไปจากแนวทางที่ถูกต้อง ท่านทั้งหลายคงรู้จัก มุอฺตะซิละฮฺ มุรญิอะฮฺ ญะมียะฮฺ คอวาริจญ์ ซัยดียะฮฺ และฉันคิดว่า ฉันคงไม่ต้องพูดถึง ชีอะฮฺ อัร-รอฟิเฎาะฮฺ บรรดากลุ่มหลงผิดเหล่านี้ พวกเขายังคงอ้างว่า พวกเขายึดกีตาบุลลอฮฺ และซุนนะฮฺ ไม่มีคนใดคนหนึ่งในหมู่พวกเขากล่าวว่า เราไม่เอาอัล-กุรอาน เราไม่เอาซุนนะฮฺนบี พวกเขายังคงยึดในอัล-กุรอานและซุนนะฮฺ แต่เหตุใดพวกเขาถึงได้หลงผิด ก็เป็นเพราะว่าพวกเขาละทิ้งแนวทางของอัส-สะลาฟุศศอลิหฺ
ฉันจะกล่าวต่อไปถึงอัล-กุรอานและซุนนะฮฺ สำหรับอัล-กุรอานนั้น มันได้ถูกรวบรวมไว้เป็นเล่ม ซึ่งถูกเรียกว่า “มุศหัฟ” ซึ่งท่านทั้งหลายคงจะทราบกันดีอยู่แล้ว(ว่ามี ver.เดียว) แต่สำหรับซุนนะฮฺนั้น มีมากมายเหลือเกินที่ได้ถูกบันทึกไว้ ซึ่งในปัจจุบันมีทั้งที่ตีพิมพ์แล้ว และที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์ สำหรับชาวอะหฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ ที่ดำเนินตามแนวทางของอัส-สะลาฟุศศอลิหฺ นั้น เขาย่อมยึดถือหะดีษที่แข็งแรง เพราะการยึดหะดีษที่ฎออีฟนั้น มันจะทำให้หลงผิดได้ เช่น บรรดากลุ่มหลงผิดทั้งหลาย พวกเขาต่างยึดถือหะดีษที่ฎออีฟ ดังนั้น มันจึงทำให้เกิดการขัดแย้งกับอัล-กุรอาน และกับหะดีษที่แข็งแรง(ศอฮิหฺ)
ท่านทั้งหลายคงเคยเห็นบางกลุ่ม ที่เป็นกลุ่มที่หลงผิดได้ปฏิเสธความหมายของอายะฮฺอัล-กุรอานบางอายะฮฺ เช่น ในอัล-กุรอานมีหลายอายะฮฺที่อัลลอฮฺได้บอกข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธา ซึ่งหนึ่งในข่าวดีก็คือ การได้เห็นอัลลอฮฺ กลุ่มที่เรียกว่า มุอฺตะซิละฮฺ ซึ่งเคยมีในอดีตนั้น แต่ในปัจจุบันความเชื่อแบบนี้ก็ยังมีอยู่ เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่เรียกตัวเองว่าเป็น มุอฺตะซิละฮฺ พวกเขาทั้งในอดีตและปัจจุบัน ปฏิเสธการเห็นอัลลอฮฺ พวกเขากล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ที่อัลลอฮฺจะถูกมองเห็น พวกเขาเฃื่อะไรกัน ? หรือ พวกเขาปฏิเสธอายะฮฺอัล-กุรอาน ที่ว่า
“ในวันนั้นหลาย ๆ ใบหน้าจะเบิกบาน จ้องมองไปยังพระเจ้าของพวกเขา”
อัล-กุรอาน ซูเราะฮฺ อัล-กิยามะฮฺ อายะฮฺที่ 22-23
แท้จริงแล้ว พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธอายะฮฺนี้ เพราะใครก็ตามที่ปฏิเสธย่อมตกมุรตัด แต่พวกเขาปฏิเสธความหมายที่ปรากฏของอายะฮฺนี้ ซึ่งอัลลอฮฺกล่าวกับบรรดาผู้ศรัทธา ถึงการที่จะได้เห็นพระองค์ พวกเขาเบี่ยงเบนความหมายที่ปรากฏออกไป ซึ่งมันไม่ได้ทำให้อีมานสมบูรณ์ขึ้น หรือแข็งแรงขึ้นเลย
เหตุใดพวกเขาจึงปฏิเสธการมองเห็นอัลลอฮฺ? เพราะหัวใจของพวกเขาถูกจำกัดอยู่ในมโนคติที่ว่า บ่าวของอัลลอฮฺ จะไม่สามารถเห็นพระองค์ได้ ซึ่งทั้งหมดคือการที่มนุษย์คิดเอาเอง มันเหมือนกับการที่ บนีอิสรออีล เรียกร้องต่อนบีมูซา อะลัยฮิสสลาม ให้พวกเขาได้เห็นอัลลอฮฺ ดั่งที่อัลลอฮฺได้กล่าวไว้ในอัล-กุรอาน ว่า
“...แต่ทว่าเจ้าจงมองดูภูเขา นั้นเถิด ถ้าหากมันมั่นอยู่ ณ ที่ของมัน เจ้าก็จะเห็นข้า…”
อัล-กุรอาน ซูเราะฮฺ อัล-อะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 143
สติปัญญาของพวกนี้นั้นคับแคบมาก พวกเขาจึงต้องตีความอายะฮฺอัล-กุรอาน ต่างๆ ทำไมจึงเป้นเช่นนั้น ? เพราะอีมานของพวกเขาในเรื่องเร้นลับ(อัล-ฆอยบฺ)นั้นอ่อนแอ พวกเขาไม่รำลึกถึงคำพูดของอัลลอฮฺ ที่ว่า
“อะลิฟ ลาม มีม คัมภีร์นี้ ไม่มีความสงสัยใด ๆ ในนั้น เป็นคำแนะนำสำหรับบรรดาผู้ยำเกรงเท่านั้น คือบรรดาผู้ศรัทธาต่อสิ่งเร้นลับ และดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และส่วนหนึ่งจากที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขานั้น พวกเขาก็บริจาค”
อัล-กุรอาน ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 1-3
เรื่องของอัลลอฮฺ คือ สิ่งเร้นลับ(อัล-ฆอยบฺ) สติปัญญาของมนุษย์นั้นมีขีดจำกัด เป็นเรื่องที่เกินกว่าสติปัญญาของมนุษย์ ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่อัลลอฮฺกล่าวเกี่ยวกับพระองค์ เราจะต้องเชื่อและยืนยันตามนั้น แต่สำหรับ มุอฺตะซิละฮฺ (และพวกที่คล้ายๆกัน)พวกเขาไม่ตระหนักในความจริงดังกล่าว พวกเขาปฏิเสธความหมายที่ปรากฏหลายๆแห่งในอัล-กุรอาน หนึ่งในอายะฮฺเหล่านั้นก็คือ
“ในวันนั้นหลาย ๆ ใบหน้าจะเบิกบาน จ้องมองไปยังพระเจ้าของพวกเขา”
อัล-กุรอาน ซูเราะฮฺ อัล-กิยามะฮฺ อายะฮฺที่ 22-23
และอีกหลายอายะฮฺ เช่น
“สำหรับบรรดาผู้กระทำความดี จะได้รับ ฮุสนา และ ซิยาดะฮฺ”
อัล-กุรอาน ซูเราะฮฺ ยูนุส อายะฮฺที่ 26
อัล-ฮุสนา ตามหลักภาษานั้น แปลว่า สิ่งที่ดีงาม แต่จากหะดีษ หมายถึง สวรรค์ ซิยาดะฮฺ ตามหลักภาษา แปลว่า การเพิ่มขึ้น แต่จากหะดีษ หมายถึง การมองเห็นอัลลอฮฺ แต่พวกเขา(อะชาอิเราะฮฺ)ได้ ตะอฺวีล(ตีความ) อายะฮฺนี้ออกไปจากความหมายที่ท่านรอซูลลุลลอฮฺ ﷺ ได้กล่าวเอาไว้ เพราะท่านรอซูลลุลลอฮฺ ﷺ ได้กล่าวไว้ว่า
“บรรดาผู้ที่กระทำ ความดีนั้น พวกเขาจะได้รับ อัล-ฮุสนา คือ สวนสวรรค์ และได้รับ ซิยาดะฮฺ คือ การมองเห็นอัลลอฮฺ”บันทึกโดย อิม่าม อะหฺมัด
บรรดา มุอฺตะซิละฮฺ ตลอดจนกลุ่มชีอะฮฺ พวกเขาปฏิเสธความเชื่อ ในการมองเห็นอัลลอฮฺ พวกเขาปฏิเสธความเชื่อดังกล่าวนี้ และพวกเขาได้ตีความไปเป็นความหมายต่างๆ ให้บิดเบือนออกไปจากที่ปรากฏ และพวกเขาปฏิเสธหะดีษศอฮิหฺหลายๆหะดีษ ที่กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้(พวกมุอฺตะซิละฮฺ อะชาอิเราะฮฺ และที่คล้ายๆกัน จะปฏิเสธ หะดีษอาฮาด ในเรื่องอะกีดะฮฺ) พวกเขาเหล่านั้น คือกลุ่มที่แยกออกไปจากคำพูดของรอซูลลุลลอฮฺ ﷺ ที่กล่าวถึงกลุ่ม อัล-ญะมาอะฮฺ ว่า
“ผู้ที่ดำรงอยู่บนแนวทางของฉัน(นบี) และที่ศอหาบะฮฺของฉันดำรงอยู่”บันทึกโดย อัต-ตริมีซียฺ
ฉันขอกล่าวว่า หะดีษ ที่กล่าวเกี่ยวกับ การได้เห็นอัลลอฮฺของผู้ที่ศรัทธาในวันกิยามะฮฺนั้น ได้ถูกบันทึกไว้ใน ศอฮิหฺ ของอัล-บุคอรียฺ และ มุสลิม และเล่มอื่นๆอีกมากมาย และมันถูกรายงานตรงกันโดยศอหาบะฮฺกลุ่มใหญ่ เช่น ท่าน อบู บักรฺ อัศ-ศิดดีก อะมีรุลมุอฺมินีน ท่าน อบู สะอีด อัล-คุดรียฺ รฎ. เป็นต้น และฉันจะขอกล่าวถึงในรายงานของท่าน อบู บักรฺ อัศ-ศิดดีก อะมีรุลมุอฺมินีน ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลลุลลอฮฺ ﷺ ได้กล่าวว่า
“พวกท่านจะเห็น พระผู้อภิบายของท่านในวันกิยามะฮฺ ประหนึ่ง พวกท่านเห็นดวงจันทร์เต็มดวง ในยามค่ำคืน และจะไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นการมองเห็นของท่าน”
นี่คือสิ่งยืนยันในเรื่อง การมองเห็นอัลลอฮฺ สำหรับวพกที่ปฏิเสธหะดีษนี้ พวกเขามีอีมานที่อ่อนแอ พวกเขาใช้สติปัญญา(ไม่ถูกที่ถูกทาง)เป็นหลักในเรื่องนี้ นอกจากนี้ กลุ่ม คอวาริจญ์ ก็ปฏิเสธความเชื่อเรื่องการมองเห็นอัลลอฮฺ เช่นเดียวกัน ปัจจุบันกลุ่มคอวาริจญ์ ได้แตกสาขาออกไปเป็น กลุ่มอิบาดียะฮฺ พวกเขาจะ ตักฟีร(ตัดสินว่าเป็นกาฟิรอย่างชุ่ยๆ) บรรดามุสลิม พวกเขาแตกออกเป็นหลากหลายสาขา ตั้งแต่ อดีตถึงปัจจุบัน พวกเขาปฏิเสธการมองเห็นอัลลอฮฺในสวรรค์
ฉันจะขอกล่าวถึงอีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มก็อดยานียฺ พวกเขาคือกลุ่มหลงผิดอีกกลุ่มหนึ่ง พวกเขากล่าว “لا إله إلا الله محمد رسول الله” พวกเขาละหมาดฟัรฎู 5 เวลา พวกเขาละหมาดวันศุกร์ พวกเขาทำฮัจญ์แลอุมเราะฮฺที่บัยตุลลอฮฺ พวกเขาดูเหมือนกับเราทุกอย่าง แต่อย่างไรก็ตามพวกเขามีความเชื่อว่า มุหัมมัด ไม่ใช่รอซูลท่านสุดท้าย พวกเขาได้นำชายคนหนึ่งจากเมือง กอดยาน ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งใน อินเดีย พวกเขากล่าวว่า ใครเชื่อชายผู้นี้เป็นรอซูลต่อจากมุหัมมัด คือ กาฟิร พวกเขาไม่ตระหนักถึงอายะฮฺ อัล-กุรอานที่ว่า
“มุฮัมมัดมิได้เป็นบิดาผู้ใดในหมู่บุรุษของพวกเจ้า แต่เป็นร่อซูลของอัลลอฮฺและคนสุดท้ายแห่งบรรดานะบี”
อัล-กุรอาน ซูเราะฮฺ อัล-อะหฺซาบ อายะฮฺที่ 40
และพวกเขาจะกล่าวว่าอย่างไร กับหะดีษที่บอกว่า “ไม่มีนบีอีกแล้ว หลังจากฉัน” พวกเขาได้ตีความ ความหมายของอัล-กุรอาน และหะดีษออกไปจากความเข้าใจของอัส-สะลาฟุศศอลิหฺ จนกระทั่งพวกเข้าหลงผิดไปเชื่อว่า ชายผู้หนึ่งคือ มิรซา ฆุลาม อะหฺมัด อัล-กอดยานียฺ คือ นบีคนต่อมาจากท่านนบีมุหัมมัด
ﷺ
ฉันขอกล่าวกับท่านว่า ขอให้พวก่ท่านกลับไปสู่แนวทางสะลัฟ พร้อมกับการเรียกร้องเชิญชวนสู่แนวทางนี้ ท่านจะต้องเข้าใจอัล-กุรอานและซุนนะฮฺ ตามความเข้าใจของสะลัฟ เพราะนี่คือแนวทางอันเที่ยงตรง ท่านพึงระลึกไว้เสมอว่า
“แนว ทางที่เที่ยงตรง คือ แนวทางของสะลัฟ และผู้ติดตามพวกเขาด้วยกับการกระทำดี ในขณะที่แนวทางอันชั่วร้าย คือ แนวทางบิดเบือนต่างๆ ของบรรดาเคาะลัฟ(ชนยุคหลังสะลัฟ)”
อัลลอฮฺ อัซซะวะญัล ได้กล่าวว่า
“แท้จริงในการนั้น แน่นอนย่อมเป็นข้อตักเตือนแก่ผู้มีหัวใจ หรือรับฟังโดยที่เขามีความตั้งใจจริง”
อัล-กุรอาน ซูเราะฮฺ กอฟ อายะฮฺที่ 37
มวลการสรรเสริญทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ขององค์อัลลอฮฺ ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก ขอความสันติความเมตตาจากอัลลอฮฺมีแด่ท่านนบีมุหัมมัด ﷺ และวงศ์วานของท่าน และสหายของท่าน และผู้ปฏิบัติตามท่านด้วยดี จนกระทั่งวันกิยามะฮฺ
ถอดความจาก ไฟล์บรรยายของเชคอัลบานีย์
ที่มา
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=zxWHrVCyRDM
ญาซากัลลอฮุค๊อยรอนค่ะ..สำหรับบทความดีดี ค่ะ
ตอบลบ