อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560

เสวนาเรื่องอิบาดะฮฺมีบิดอะฮฮาซานะฮฺจริงหรือ (ตอนที่ 9)

Asan Binabdullah ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม #อ้างอิงจาก Asan Binabdullah 

#ชี้แจง สงสัยบังฮาสันคงมีอะไรติดในคอ ถึงไม่กล้าตอบคำถาม เพราะตัวเท่วโกหกเรื่องศาสนามานานนับสิบปี มาวันนี้พอเจอคำถามที่พันหลักตัวเองเลยตอบไม่ได้. #เมื่อ การถามด้วยตรรกะไม่ได้อยู่ในเงื่อนไข ผมขอถา
มดังเดิม.
1.บังฮาสันไปเอามาจากไหนว่า การกระทำของท่านอุมัร คือสุนนะห์คอลีฟะห์ในด้านอิสตีลาฮ 
2.บังฮาสันชอบพูดว่า บิดอะห์ทางภาษาคือบิดอะห์ดุนยา ฉะนั้นเมื่อบังฮาสันอ้างมาเองว่า การรวบรวมละหมาดตารอแวฮของท่านอุมัรคือบิดอะห์ดุนยา. อยากทราบว่า ตรงส่วนไหนของการละหมาดตารอแวฮคือเรื่องดุนยาครับ.
..............................

ผมว่าแล้ว ว่าคนกลุ่มนี้เมือหมดกระสุน เจอทางทัน ก็งัดเอาวิชามารมาเล่น นี่ไม่ใช่เวทีสอบสัมภาษครับท่าน มาใช้ตรรกถามคู่สนทนาในเมื่อตนเองหมดปัญญา นำหลักฐานมาแสดงเพื่อซื้อเวลา และชวนทะเลาะหาทางลง มมันเป็นลูกไม้เก่าๆที่พวกอนุรักษ์บิดอะฮใช้มาตลอด
แค่คำว่า “บิดอะฮในทางภาษา ก็ยังไม่เข้าใจเลยท่านครูตาชั่ง มาดูข้อแตกต่างบิดอะฮในทางภาษาและบิดอะฮในทางศาสนา 
มาดูบิอะฮในทางศาสนา 
كل ما أحدث في الدين بعد النبي -عليه الصلاة والسلام-، كل ما أحدث في الدين مما لم يسبق له شرعية من كتاب أو سنة فهو بدعة
ทุกสิ่งที่ ถูกประดิษขึ้นใหหม่ในศาสนา หลังจากท่านนบี ศอ็ลฯ ,ทุกสิ่งที่ ถูกประดิษฐขึ้นใหม่ในศาสนา จากสิ่งที่ไม่มีบทบัญญัติจากอัลกุรอ่านหรืออัสสุนนะฮ มาก่อน สำหรับมัน มันคือบิดอะฮ - ดู ชัรหนัคบะตุลฟิกริ คร.อับดุลกะรีมอัลเคาะฎีร หน้า 7
สำหรับการละหมาดญะมาอะฮที่ท่านอุมัรทำ นั้น ไม่ใช่บิดอะฮเพราะ
1.ท่านนบีเคยทำ
2.การกระทำของเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน ท่านนบีสั่งเสียให้ปฏิบัติตาม และท่านนบีเรียกว่า สุนนะฮเคาะลิฟะฮ แต่อะฮลุลบิดอะฮมาบิดเบือนว่าเป็นบิดอะฮ
3. เป็นมติของเศาะหาบะฮ สิ่งที่เป็นมติของเศาะหาบะฮหรือ อัลอิจญมาอฺ ไม่มีนักวิชาการคนใดเรียกว่าบิดอะฮหะสะนะฮ ยกเว้นข้ออ้างพวกอนุรักษ์บิดอะฮ
Asan Binabdullah 4. การละหมาดตารอเวียะในรูปแบบญะมาอะฮท่านนบี ส่งเสริม ดังหะดิษ
การละหมาดตะรอเวียะ โดยการตามคนเดียว ท่านนบี ศอลฯ เคยทำแบบอย่างไว้แล้ว ดังหะดิษอบีบีซัรริน ร.ฎ อีกครั้ง
صُمْنَا مَعَ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ رَمَضَانَ ، فَلَمْ يَقُم
ْ بِنَا شَيْئًا مِنَ الشَّهْرِ حَتَّى بَقِيَ سَبْعٌ ، فَقَامَ بِنَا حَتَّى ذَهَبَ نَحْوٌ مِنْ ثُلُثِ اللَّيْلِ ، فَلَمَّا كَانَتِ اللَّيْلَةُ الثَّالِثَةُ لَمْ يَقُمْ ، فَلَمَّا كَانَتِ اللَّيْلَةُ الْخَامِسَةُ قَامَ بِنَا حَتَّى شَطْرِ اللَّيْلِ ، فَقُلْتُ : يَا رَسُولَ اللَّهِ ، لَوْ نَفَّلْتَنَا قِيَامَ هَذِهِ اللَّيْلَةِ ؟ قَالَ : فَقَالَ : إِنَّ الرَّجُلَ إِذَا قَامَ مَعَ الإِمَامِ حَتَّى يَنْصَرِفَ كُتِبَ لَهُ قِيَامُ لَيْلَتِهِ ، فَلَمَّا كَانَتِ اللَّيْلَةُ الرَّابِعَةُ لَمْ يَقُمْ ، فَلَمَّا كَانَ فِي اللَّيْلَةِ الثَّالِثَةِ جَمَعَ أَهْلَهُ وَنِسَاءَهُ ، فَقَامَ بِنَا حَتَّى خَشِينَا أَنْ يَفُوتَنَا الْفَلاحُ ، قُلْتُ : وَمَا الْفَلاحُ ؟ قَالَ : السَّحُورُ ، ثُمَّ لَمْ يَقُمْ بِنَا بَقِيَّةَ الشَّهْرِ
พวกเราได้ถือศีลอดเดือนเราะมะฎอน พร้อมกับท่านรซูลุลอฮ ศอลฯ แล้วท่านไม่ได้นำละหมาดพวกเราเลยสักคืน จากเดือน นั้น จนกระทั้ง เหลือเจ็ดคืน แล้วท่านได้นำละหมาดพวกเรา จนกระทั้งผ่านไปหนึ่งในสามของกลางคืน แล้วปรากฏว่าเมือเหลืออีกหกวัน ท่านไม่ได้นำละหมาดพวกเรา แล้วเมื่อเหลือห้าวัน ท่านได้นำละหมาดพวกเรา จนกระทั้งผ่านไปครึ่งคืน แล้วข้าพเจ้ากล่าวว่า”โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ ถ้าพวกเราอาสาจะลุกขึ้นละหมาดในคืนเหล่านี้(จะดีไหม)
แล้วท่านได้กล่าวตอบว่า “แท้จริงคนใดเมื่อเขาได้ละหมาดพร้อมกับอิหม่าม จนกระทั้งเสร็จ เขาจะได้รับการตอบแทนเท่ากับละหมาดทั้งคืน แล้วเมื่อเหลืออีกสี่คืน ท่านไม่ได้นำละหมาดพวกเรา แล้วเมื่อเหลืออีกสามคืน ท่านได้ชุมนุมครอบครัวของท่าน บรรดาภรรยาของท่านและบรรดาผู้คน แล้วท่านได้นำละหมาด พวกเรา จนกระทั้งพวกเราเกรงว่าจะชวดอัล-ฟัลลาห เขา(อบูซัร)กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า “อัล-ฟัลลาหนั้นคือ อะไร ท่านได้ตอบว่า คือ การรับประทานสะหูร แล้วคืนที่เหลือในเดือนนั้น ท่านก็ไม่ได้ละหมาดนำพวกเรา – หะดิษเศาะเหียะ รายงานโดยเจ้าของสุนัน
ประโยคที่ว่า
إِنَّ الرَّجُلَ إِذَا قَامَ مَعَ الإِمَامِ حَتَّى يَنْصَرِفَ كُتِبَ لَهُ قِيَامُ لَيْلَتِهِ
แท้จริงคนใดเมื่อเขาได้ละหมาดพร้อมกับอิหม่าม จนกระทั้งเสร็จ เขาจะได้รับการตอบแทนเท่ากับละหมาดทั้งคืน
…………..
สิ่งที่นบี ศอ็ลฯ สงเสริม เป็นบิดอะฮในศาสนาด้วยหรือ ท่านตาชั่ง หรือท่าน ฮัมดี สุหลง ท่านไม่เข้าใจศาสนาแล้วบ้ายอ จะมาดีเบตกับผม
ส่วนที่ท่านอุมัร กล่าวคำว่าบิดอะฮ นักวิชาการได้อธิบายไว้แล้วผมเสนอไปแล้วแต่นายตาชั่งปิดตอแล้วเอาหัวชนกำแพงดันทุรังอย่างเดียว
Asan Binabdullah ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม
#ชี้แจง. บังฮาสันผมทรรศนะท่านอิบนุอาซีร บังฮาสันต่างหากที่บิดเบือน เรามาดูกันใหม่
ท่านอิบนุ อัล-อะษีร กล่าวว่า "บิดอะฮ์ มี 2 ประเภท คือบิดอะฮ์ที่อยู่ในทางนำ และบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง เพราะฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่ขัดแย้งกับสิ่งที่อัลเ
...ดูเพิ่มเติม
ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม #ขออนุญาติเพิ่มคำถามครับ..

1.เมื่อการที่ท่านอุมัรรวบรวมผู้ละหมาดตารอแวฮเป็นญามาอะห์ 20 รอกาอัตคืออิจมะของบรรดาซอฮาบัต. อยากทราบว่า การฝ่าฝืนอิจมะคือฮารอมหรือไม่.
...ดูเพิ่มเติม
Asan Binabdullah และ .. ต่อไปนี้ คือคำพูด - จริงๆ - ของท่านอิบนุ้ลอะษีรฺ ..

وَهِىَ عَلَى الْحَقِيْقَةِ سُنَّةٌ ! لِقَوْلِهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : عَلَيْكُمْ بِسُنَّتِىْ وَسُنَّةِ الْخُلَفَاءِ الرَّاشِدِيْنَ مِنْ بَعْدِىْ، .. وَقَوْلِهِ : إِقْتَدُوْا بِاللّ
َذَيْنِ مِنْ بَعْدِىْ، أَبِىْ بَكْرٍ وَعُمَرَ.. وَعَلَى هَذَاالتَّأْوِيْلِ يُحْمَلُ الْحَدِيْثُ اْلآخَرُ : كُلُّ مُحْدَثَةٍ بِدْعَةٌ .. إِنَّمَا يُرِيْدُ مَاخَالَفَ اُصُوْلَ الشَّرِيْعَةِ وَلَمْ يُوَافِقِ السُّنَّةَ .....
"และมัน (คือ ละหมาดตะรอเวี๊ยะห์ในลักษณะญะมาอะฮ์) ที่จริงแล้วคือซุนนะฮ !(หมายถึงซุนนะฮ์ของคอลีฟะฮ์) .. ทั้งนี้ เนื่องจากคำกล่าวของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมที่ว่า .. "จำเป็นสำหรับพวกท่านจะต้องตามซุนนะฮ์ของฉัน และ "ซุนนะฮ์ของคอลีฟะฮ์" ผู้ปราดเปรื่องหลังจากฉัน" .. และคำกล่าวของท่านที่ว่า .. "พวกท่านจงปฏิบัติตาม 2 ท่านหลังจากฉัน คือ "อบูบักรฺ และอุมัรฺ" ... ซึ่ง(คำว่าบิดอะฮ์จาก)หะดีษอีกบทหนึ่งที่ว่า "ทุกๆสิ่งที่ถูกริเริ่มขึ้นมาใหม่ เป็นบิดอะฮ์" .. ก็ให้ถือตามความหมายจากตามคำอธิบายนี้ .. (นั่นคือ) ท่านศาสดามิได้ประสงค์อื่นใด(จากคำว่าบิดอะฮ์ในหะดีษบทนี้) นอกจาก (หมายถึง) .. "สิ่งที่ขัดแย้งกับพื้นฐานของบทบัญญัติ และไม่สอดคล้องกับซุนนะฮ์ ....."
ท่านอิบนุ้ลอะษีรฺ กล่าวว่า وَهِىَ عَلَى الْحَقِيْقَةِ سُنَّةٌ ! (โดยใช้สรรพนามว่า هِىَ ) ซึ่งมีความหมายว่า "ละหมาดตะรอเวี๊ยะห์ในลักษณะญะมาอะฮ์นั้น - ตามความเป็นจริงแล้ว - คือซุนนะฮ์ ! "...
แต่พวกบิดเบือนหรืออะลุลบิดอะฮ บิดเบือนว่า 
และบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ในความเป็นจริงแล้วคือซุนนะฮ์..................นี่คือการบิดเบือนที่อันตราย

Asan Binabdullah ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม อ้างว่า
ท่านอิบนุหะญัร ได้กล่าว วิจารณ์คำกล่าวท่านอุมัร(ร.ฏ.) ที่ว่า نعمت البدعة هذه ดังนี้


البدعة: أصلها ما أحدث على غير مثال سابق، وتطلق في الشرع في مقابل السنّة فتكون مذمومة والتحقيق أنها إن كانت مما يندرج تحت مستحسن فى الشرع فهى حسنة وإن كانت مما يندرج تحت مستقبح فهى مستقبحة وإلا فهى من قسم المباح

ความว่า " บิดอะฮ ที่มาของมันคือ สิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ โดยไม่มีแบบอย่างมาก่อน และคำว่าบิดอะฮ์อย่างเดียว ( مطلق ) (คือพูดโดยใช้คำว่า"บิดอะฮ์"เพียงลำพังตัวเดียว)ในทางบทบัญญัติ ได้ถูกนำมาใช้เรียกกับสิ่งที่ตรงข้ามกับซุนนะฮ์ จึงถือว่าเป็นบิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิ จากการตรวจสอบพบว่า บิดอะฮ์นั้น หากมันเข้าไปอยู่ภายใต้สิ่งที่นับว่าดีตามหลักการของศาสนา มันก็คือ (บิดอะฮ์)หะสะนะฮ์(บิดอะฮ์ที่ดี) และหากว่ามันเข้าไปอยู่ภายใต้สิ่งที่ถือว่าน่ารังเกียจ มันก็คือบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจ และถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น(หมายถึงไม่เป็นทั้งบิดอะฮ์ทั้งสองประเภท) ก็ถือว่า มันเป็น ประเภทที่มุบาห์" ( ดู ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 4 หน้า 253)
.....................
ชี้แจง
ข้างต้นก็คือการบิดเบือนคำพูดอิบนุหะญัร เพราะท่านอิบนุหะญัร บอกว่า บิดอะฮในทางศาสนาคือ สิ่งที่ถูกตำหนิ
ข้างต้นอิบนุหะญัรกล่าวถึงความหมายกว้างๆของคำว่าบิดอะฮ ในทางภาษา แล้วท่านกล่าวถึงความหมายในทางศาสนบัญญัติว่า
، وَتُطْلَقُ فِي الشَّرْعِ فِي مُقَابِلِ السُّنَّةِ فَتَكُونُ مَذْمُومَة
และถูกกล่าว กว้างๆ(โดยไม่จำกัด)ในทางศาสนบัญญัติ ในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำว่า อัสสุนนะฮ เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกตำหนิ
................
กล่าวคือ คำว่าบิดอะฮ หมายถึง คำที่ตรงกันข้ามกับคำว่าอัสสุนนะฮ แบบนี้ เป็นสิ่งที่ถูกตำหนิ
แล้วท่านอิบนุหะญัร กล่าวสรุปว่า

والتحقيق أنها إن كانت مما يندرج تحت مستحسن فى الشرع فهى حسنة وإن كانت مما يندرج تحت مستقبح فهى مستقبحة وإلا فهى من قسم المباح

และพิสูจน์ได้ว่า บิดอะฮ์นั้น หากมันเข้าไปอยู่ภายใต้สิ่งที่นับว่าดีตามหลักการของศาสนา มันก็คือ หะสะนะฮ์(บิดอะฮ์ที่ดี)และหากว่ามันเข้าไปอยู่ภายใต้หลักการที่ถือว่าน่ารังเกียจ มันก็คือบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจ และถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น(หมายถึงไม่เป็นทั้งบิดอะฮ์ทั้งสองประเภท) ก็ถือว่า มันเป็นบิดอะฮ์ ประเภทที่มุบาห์" ดู ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 4 หน้า 253

ข้างต้น เราต้องมาดูจุดสำคัญที่การกระทำของท่านอุมัรเป็นหลัก เพราะการกระทำของท่านอุมัร ไม่ใช่บิดอะฮ ในทางศาสนาบัญญัติแต่เป็นความหมายในเชิงภาษา
Asan Binabdullah มาดูคำอธิบายคำว่าบิดอะฮ ของอิบนุหะญัรเองดังนี้

أما "البِدَع" : فهو جمع بدعة ، وهي كل شيء ليس له مثال تقدّم ، فيشمل لغةً ما يُحْمد ، ويذمّ ، ويختص في عُرفِ أهل الشرع بما يُذمّ ، وإن وردت في المحمود : فعلى معناها اللغوي

สำหรับ คำว่า “อัลบิดอุ” มัน เป็นคำพหุพจน์ ของคำว่า “บิดอะฮ และมันคือ ทุกสิ่ง ที่ไม่มีแบบอย่างมาก่อน ,ในทางภาษา ครอบคลุมสิ่งที่ถูกสรรเสริญ และสิ่งที่ถูกตำหนิ และได้ถูกเจาะจงในนิยามของนักนิติศาสตร์อิสลาม ด้วยสิ่งที่ ถูกตำหนิ และ หากปรากฏ ใน แง่ของการสรรเสริญ ความหมายของมันคือ บิดอะฮในทางภาษา –ฟัตหุลบารี 13/340
อิบนุหะญัร แบ่งไว้ชัดเจน ว่า บิดอะฮ มี 2 ประเภท คือ บิดอะฮในทางศาสนา มันถูกตำหนิ และ ถ้าปรากฏว่าเป็นบิดอะฮที่ดี หมายถึงบิดอะฮในทางภาษา ซึ่ง หมายถึง การริเริ่ม หรือฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ดังที่ท่านอุมัรได้ฟื้นฟูสุนนะฮของท่านนบี ที่นบีเคยปฏิบัติ
และที่มายืนยันข้างต้น คือ 
อัลหาฟิซอิบนุหะญัรอัลอัสเกาะลานีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า

فالبدعة في عرف الشرع مذمومة ، بخلاف اللغة ، فإن كل شيء أُحدث على غير مثال يسمى بدعة سواء كان محموداً ، أو مذموماً

บิดอะฮในนิยามของศาสนบัญญัตินั้น คือ สิ่งที่ถูกตำหนิ ต่างกับบิดอะฮในทางภาษา เพราะทุกสิ่ง ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ โดยไม่มีแบบอย่างมาก่อนนั้น ถูกเรียกว่า บิดอะฮ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ถูกชมเชยและถูกตำหนิก็ตาม - ดูฟัตหุลบารีย์ 13/253
Asan Binabdullah ต้องขอมาอัฟผู้อ่านและเจ้าของสถานที่ด้วย เพราะคู่เสวนาเล่นตุกติก โพสต์แช่ แล้วไปแล้วมาโพสต์ต่อโดยไม่บอกให้คู่สนทนารู้ 3 ชั่วโมงครึ่งที่ผมรอ
Ibnu Sorlaeh ขอมาอัฟนะครับ อาจารย์ทั้งสองทานถ้าโพสเสร็จหรือชี้แจงเสร็จให้สัญญานด้วยนะครับขอบคุณครับ
Asan Binabdullah สามชั่วโมง แก่มาโพสต์แล้วไป แล้วมาใหม่ โดยไม่บอก ถามก็ไม่ตอบ เป็นวิธีขัดขวางไม่ให้คู่เสวนาโพสต์ 6 โมงเช้า จน9 โมงแก่ยังไม่เสร็จ
ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม ไหนครับ คำถามคุณ... แค่คำถามผมคุณยังไม่ตอบสักคำ....อะไรติดคอหรือครับ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น