อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558

จุดยืนของอะฮ์ลุสสุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺที่มีต่อ ยะซีด บินมุอาวียะฮฺ

เรื่องที่ห้า
จุดยืนของอะฮ์ลุสสุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺที่มีต่อ ยะซีด บินมุอาวียะฮฺ

ยะซีดไม่ได้มีส่วนในการสังหารท่านหุสัยนฺ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการออกมาปกป้องยะซีด แต่เป็นการปกป้องความจริง ที่ผ่านมาเราได้อธิบายไปแล้วถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในการสังหารท่านหุสัยนฺ ยะซีดได้ส่งอุบัยดุลลอฮฺ บินซิยาดไปขวางไม่ให้ท่านหุสัยนฺไปถึงเมืองกูฟะฮฺ ไม่ได้สั่งการให้สังหารเขา ท่านหุสัยนฺเองก็คิดดีกับยะซีด ท่านถึงได้กล่าวว่า “ปล่อยให้ฉันไปหายะซีด เพื่อฉันจะได้วางมือของฉันที่มือของเขา”
ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ กล่าวว่า “ยะซีด บินมุอาวิยะฮฺไม่ได้สั่งให้สังหารท่านหุสัยนฺ จากการเห็นตรงกันของนักรายงานหะดีษ เขาเขียนคำสั่งไปให้อิบนุซิยาดยับยั้งไม่ให้ท่านมาปกครองอิรัก และเมื่อข่าวการสังหารหุซัยนฺไปถึงยะซีดแล้ว เขาก็แสดงความเจ็บปวดในเรื่องดังกล่าว และแสดงการร้องไห้ที่บ้านพักของเขา และไม่ได้จับภรรยาของท่านมาเป็นข้าทาส ทว่าให้เกียรติอะฮ์ลุลบัยตฺและให้ของกำนัลพวกเขาจนไปถึงส่งพวกเขากลับบ้านเมืองของพวกเขา”
ส่วนรายงานต่างๆที่ระบุว่า ผู้หญิงของอะฮ์ลุลบัยตฺได้รับการเหยียดหยามดูถูก และว่าพวกนางถูกนำตัวไปยังเมืองชามในสภาพข้าทาส และถูกดูถูกเหยียดหยามที่นั่น ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งสิ้น ทว่าที่จริงบนีอุมัยยะฮฺยกย่องให้เกียรติบนีฮาชิมอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เมื่อหัจญาจ บินยูสุฟแต่งงานกับฟาฏิมะฮฺ บินติอับดุลลอฮฺบินญะอฺฟัร กษัตริย์อับดุลมาลิก บินมัรวานจึงรับไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ และได้ออกคำสั่งไปยังหัจญาจให้ปล่อยนาง และให้หย่านาง พวกเขาให้เกียรติบนีฮาชิมมาก ทว่า ไม่เคยจับผู้หญิงจากบนีฮาชิมสักคนเลยมาเป็นข้าทาส”[1]
ผู้หญิงบนีฮาชิม พวกนางได้รับการยกย่องและได้รับเกียรติอย่างมากในยุคสมัยนั้น เรื่องเล่าและการกล่าวถึงที่ว่า ศีรษะของท่านหุสัยนฺถูกส่งไปให้ยะซีด เรื่องนั้นไม่มีการยืนยัน ทว่า ศีรษะของท่านหุสัยนฺคงอยู่กับอุบัยดุลลอฮฺ ในเมืองกูฟะฮฺ ท่านหุสัยนฺถูกฝังโดยที่ไม่มีใครรู้หลุมศพที่แท้จริง แต่ที่เข้าใจกันคือท่านถูกฝังที่กัรบะลาอ์ในที่ๆท่านถูกสังหาร

* จุดยืนทางสายกลางต่อตัวของยะซีด
ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ กล่าวเอาไว้ว่า
“ผู้คนทั้งหลายในเรื่องของยะซีดมีสองขอบขั้ว และสายกลาง
คนกลุ่มที่หนึ่ง เข้าข้างอย่างหลับหูหลับตา รักใคร่เทิดทูน บ้างก็ถึงกับอ้างเป็นนบี เป็นมะอฺศูมเลยก็มี
คนกลุ่มที่สอง ไม่เอาเลย โกรธแค้น ถึงกับกล่าวหาว่าเป็นกาเฟรเลย พวกเขาเห็นว่าเขาเป็นมุนาฟิกเสแสร้งแสดงออกว่าเป็นอิสลาม แต่ซ่อนความกลับกลอกไว้ภายใน และเขาเกลียดนบี
กลุ่มนี้แต่งกวีแล้วป้ายว่าเขาเป็นคนพูด ตอนที่ท่านหุสัยนฺถูกสังหาร หรือตอนที่เกิดเหตุการณ์ร้ายกับชาวหัรเราะฮฺ(มะดีนะฮฺ)
กวีมีเนื้อความว่า
นี่ถ้าผู้อาวุโสที่(ถูกมุสลิมสังหารในสงคราม)บะดัรได้เห็น
ความหวาดกลัวของพวกค็อซร็อจจากเหตุการณ์ใหญ่นี้
เราได้สังหารตัวใหญ่ๆจากผู้นำของพวกเขา
เราได้คืนความเป็นธรรมกับบะดัร และแล้วความเป็นธรรมเกิดขึ้นจริง
และว่าเขากล่าวว่า
เมื่อสิ่งที่ถูกหิ้วมาถึง
และบรรดาศีรษะถูกพายังที่ปราการญัยรูล
อีการ้องเสียงดัง ฉันก็พูดขึ้นว่า จงร้องไปหรือไม่ร้องก็สุดแท้
แต่ฉันชำระหนี้(แค้น)ของฉันจากนบีแล้ว
จากนั้นอิบนุตัยมียะฮฺก็กล่าวว่า ทั้งสองบทนี้เป็นความเท็จ เพราะคนนั้นเขาเป็นกษัตริย์คนหนึ่งของมุสลิม เป็นเคาะลีฟะฮฺคนหนึ่งที่เป็นทั้งเคาะลีฟะฮฺและกษัตริย์ ไม่อาจพูดอย่างนี้ หรืออย่างนั้นออกมาได้ 
ส่วนการสังหารท่านหุสัยนฺนั้น ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าท่านถูกสังหารโดยไม่เป็นธรรมและเป็นการตายชะฮีดเหมือนกับคนอื่นๆที่ถูกสังหารโดยไม่เป็นธรรมและเป็นการตายชะฮีด การสังหารท่านหุสัยนฺเป็นการฝ่าฝืนอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์จากตัวผู้สังหาร หรือผู้ที่ให้การสนับสนุน หรือพอใจกับเรื่องดังกล่าว กับมุสลิมมันเป็นเคราะห์ร้ายอย่างหนึ่งที่ประสบกับคนในครอบครัวหรือกับคนอื่น แต่สำหรับท่านหุสัยนฺแล้วมันเป็นการตายชะฮีด การเป็นเพิ่มฐานันดร และยกสถานภาพสูงขึ้น

ห้ามการสาปแช่งยะซีด
เรื่องสำคัญที่สุดที่เกิดในสมัยยะซีดน่าจะเป็นเหตุการณ์อัล-หัรเราะฮฺ การต่อสู้กับอับดุลลอฮฺ บินอัซ-ซุเบร และการสังหารท่านหุสัยนฺ
ด้วยเหตุเหล่านี้จึงมีผู้ที่ออกมาอนุญาตให้สาปแช่งยะซีด บินมุอาวียะฮฺได้ แต่ก็มีผู้ที่ออกมาห้ามด้วยเช่นกัน ในส่วนของผู้ที่อนุญาตให้สาปแช่งยะซีดได้ เขาต้องยืนยันสามเรื่องนี้ให้ได้เสียก่อน
เรื่องที่หนึ่ง ยืนยันว่าเขาเป็นคนที่ละเมิดฝ่าฝืนจริง
เรื่องที่สอง ยืนยันว่าเขาไม่ได้กลับตัวจากการละเมิดฝ่าฝืนนั้น เพราะแม้แต่กาเฟรหากกลับตัว อัลลอฮฺก็ทรงรับการกลับตัวของเขา นับประสาอะไรกับคนที่ละเมิดฝ่าฝืน?
เรื่องที่สาม ยืนยันว่าอนุญาตให้สาปแช่งคนแบบเจาะจงได้
ตามหลักแล้วไม่อนุญาตให้สาปแช่งคนตายแบบเจาะจงกับบุคคลที่อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ไม่ได้สาปแช่ง เพราะมีหะดีษที่ได้รับยืนยันถึงท่านนบี ว่าท่านได้กล่าวว่า
 «لاَ تَسُبُّوا الأَمْوَاتَ، فَإِنَّهُمْ قَدْ أَفْضَوْا إِلَى مَا قَدَّمُوا»
“พวกท่านจงอย่าด่าทอคนตาย เพราะพวกเขาได้ถูกนำไปสู่สิ่งที่เขากระทำแล้ว”
และศาสนาของอัลลอฮฺไม่ได้อยู่บนหลักของการสาปแช่ง หากแต่อยู่กับคุณธรรมจริยธรรมอันงดงาม การด่าทอไม่ได้มีส่วนใดๆในศาสนาของอัลลอฮฺเลย ทว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม กล่าวเอาไว้ว่า
«سِبَابُ المُسْلِمِ فُسُوقٌ، وَقِتَالُهُ كُفْرٌ»
“การด่ามุสลิมเป็นการฝ่าฝืน และการสังหารเขาเป็นการปฏิเสธ”
ฉะนั้นการด่ามุสลิมก็เป็นการละเมิดฝ่าฝืนแล้ว และไม่มีใครเลยที่บอกยะซีดออกนอกแนวทางของอิสลาม ทว่าส่วนมากพูดถึงเขาว่า เขาเป็นคนละเมิดฝ่าฝืน
เรื่องนี้ตามที่เรากล่าวมาแล้ว วางอยู่บนหลักการพิสูจน์ความถูกต้องของคำพูดที่พูดถึงเขาว่าเป็นการฝ่าฝืน ส่วนความรู้ที่แท้จริงนั้นอยู่ที่อัลลอฮฺ ผู้ทรงจำเริญทรงสูงส่ง
แต่มีการยืนยันแล้วว่าท่านนบี ได้กล่าวว่า
«أَوَّلُ جَيْشٍ مِنْ أُمَّتِي يَغْزُونَ مَدِينَةَ قَيْصَرَ مَغْفُورٌ لَهُمْ»
“กองทัพแรกของอุมมะฮฺฉันที่เข้าทำสงครามกับเมืองก็อยศ็อร จะได้รับการอภัย”
และปรากฏว่ากองทัพนี้อยู่ภายใต้การนำทัพของยะซีด บินมุอาวิยะฮฺ และกล่าวกันว่าเศาะหาบะฮฺระดับแนวหน้าที่ไปกับเขาด้วยมี อิบนุอุมัร อิบนุซ-ซุเบร อิบนุอับบาส อบูอัยยูบ เหตุการณ์เกิดในปีฮ.ศ. 49
อิบนุกะษีร กล่าวว่า “ยะซีดได้ทำความผิดมหันต์จากการออกคำสั่งให้เจ้าเมืองของเขามุสลิม บินอุกบะฮฺกระทำการในเหตุการณ์อัล-หัรเราะฮฺ คือ ทำให้มะดีนะฮฺหะลาลสำหรับเข่นฆ่าเป็นเวลาสามวัน ผนวกกับผลที่ตามมาคือมีการฆ่าเศาะหาบะฮฺและลูกหลานเศาะหาบะฮฺเป็นจำนวนมาก”
สรุปคำพูดคือ เรื่องของยะซีดให้เป็นเรื่องอัลลอฮฺ ผู้ทรงจำเริญทรงสูงส่ง เขาก็เป็นอย่างที่ อัซ-ซะฮะบียฺ กล่าวไว้ คือ “เราไม่ด่าเขา แต่เราก็ไม่รักเขา”




[1] มินฮาจญ์ อัสสุนนะฮฺ (4/557-559)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น