อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558

จุดยืนของผู้คนทั้งหลายต่อการสังหารท่านหุสัยนฺ

เรื่องที่สี่
จุดยืนของผู้คนทั้งหลายต่อการสังหารท่านหุสัยนฺ

            ไม่มีความสงสัยหรือคลางแคลงใดๆเลยว่า การสังหารท่านหุสัยนฺ ถือเป็นเรื่องร้ายแรงมากที่ประสบกับบรรดามุสลิม เพราะไม่มีหลานนบีบนแผ่นดินนี้อีกแล้วนอกจากท่าน ท่านถูกสังหารโดยไม่เป็นธรรม และการสังหารท่านสำหรับมุสลิมที่อยู่บนโลกเรานี้เป็นเรื่องร้ายแรง และการนี้ท่านจะได้รับการชะฮีด เกียรติยศ ได้เพิ่มระดับขั้น และใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ โดยที่ท่านเลือกทำเพื่อโลกหน้า เพื่อสวรรค์อันบรมสุขแทนที่ดุนยาที่มืดเทา
            และเราขอกล่าวว่า  ท่านไม่น่าออกเดินทางไปเลย และเพราะอย่างนี้ที่บรรดาเศาะหาบะฮฺอาวุโสในเวลานั้นจึงมาห้ามปรามท่าน และเพราะการออกไปในครั้งนี้ทำให้พวกอธรรมชอบกดขี่เหล่านั้นได้โอกาสกับผู้ที่เป็นหลานของท่านเราะสูลุลลอฮฺ สังหารท่านอย่างไม่เป็นธรรมและต้องมาตายชะฮีด และในการเสียชีวิตของท่านมีผลร้ายแรงมากกว่าการที่ท่านนั่งเฉยอยู่ที่แผ่นดินของท่าน
            แต่มันเป็นกำหนดของอัลลอฮฺ ผู้ทรงจำเริญผู้ทรงสูงส่ง สิ่งใดที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ ย่อมต้องเกิดขึ้น ไม่ว่ามนุษย์จะต้องการหรือไม่ก็ตาม
            แต่การสังหารท่านหุสัยนฺก็ไม่ได้ร้ายแรงไปกว่าการสังหารบรรดานบี ศีรษะของนบียะห์ยาบุตรของนบีซะกะรียาถูกมอบเป็นสินสมรสของคนชั่วช้าคนหนึ่ง และท่านนบีซะกะรียาก็ถูกสังหาร และเช่นกันอุมัร อุษมาน และอลีก็ถูกสังหาร บุคคลเหล่านี้ล้วนประเสริฐกว่าท่านหุสัยนฺทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่อนุญาตให้คนหนึ่งคนใดเมื่อนึกถึงการสังหารท่านหุสัยนฺแล้วทำการตบหน้า ฉีกเสื้อผ้า หรืออะไรทำนองนั้น ทว่าการกระทำทั้งหมดนั้นล้วนเป็นที่ต้องห้ามทั้งสิ้น เพราะท่านนบี ได้กล่าวว่า
«لَيْسَ مِنَّا مَنْ لَطَمَ الخُدُودَ، وَشَقَّ الجُيُوبَ»
“ไม่ใช่พวกเรา ผู้ที่ตบแก้ม และฉีกเสื้อผ้า”[1]
และกล่าวอีกว่า
«أَنَا بَرِئٌ مِنَ الصَّالِقَةِ وَالحاَلِقَةِ وَالشَّاقَّةِ»
“ฉันไม่เกี่ยวข้องใดๆกับศอลิเกาะฮฺ หาลิเกาะฮฺ และชากเกาะฮฺ”[2] และคำว่าศอลิเกาะฮฺ คือ ผู้หญิงที่ร่ำไห้คร่ำครวญ คำว่าหาลิเกาะฮฺคือผู้หญิงที่โกนศีรษะ และคำว่าชากเกาะฮฺคือ ผู้หญิงที่ฉีกเสื้อผ้าตัวเอง
และกล่าวอีกว่า
«النَّائِحَةُ إِذَا لَمْ تَتُبْ فَإِنَّهَا تَلْبَسُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ دِرْعًا مِنْ جَرَبٍ وَسِرْبَالاً مِنْ قَطِرَانٍ، »
“ผู้หญิงที่ร้องไห้คร่ำครวญ หากไม่กลับตัว ในวันกิยามะฮฺ นางจะได้สวมเกราะที่ทำจากโรคผิวหนัง และเสื้อผ้าที่ทำจากน้ำมัน”[3]
เป็นหน้าที่ของมุสลิมเมื่อมีเหตุการณ์ร้ายแรงแบบนี้เกิดขึ้นให้กล่าวเหมือนกับที่อัลลอฮฺตรัสไว้ว่า
﴿ ٱلَّذِينَ إِذَآ أَصَٰبَتۡهُم مُّصِيبَةٞ قَالُوٓاْ إِنَّا لِلَّهِ وَإِنَّآ إِلَيۡهِ رَٰجِعُونَ  ١٥٦ ﴾ [البقرة: ١٥٦]
"คือบรรดาผู้ที่เมื่อมีเคราะห์ร้ายมาประสบแก่พวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า แท้จริงพวกเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และแท้จริงพวกเราจะกลับไปยังพระองค์” {อัล-บะเกาะเราะฮฺ: 156}

จุดยืนของผู้คนทั้งหลายต่อการสังหารท่านหุซัยนฺ

คนทั้งหลายในเรื่องการสังหารท่านหุซัยนฺ แบ่งเป็นสามกลุ่ม
กลุ่มที่หนึ่ง : พวกเขาเห็นว่าท่านหุซัยนฺถูกสังหารด้วยความชอบธรรมแล้ว เพราะเขาออกจากผู้นำ และต้องการสร้างความแตกแยกให้กับมุสลิม พวกเขาพูดว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า
«مَنْ جَاءَكُمْ وَأَمْرُكُمْ عَلَى رَجُلٍ وَاحِدٍ، يُرِيدُ أَنْ يُفَرِّقَ جَمَاعَتَكُمْ، فَاقْتُلُوهُ كَائِنًا مَنْ كَانَ»
“ผู้ใดที่มาหาพวกท่าน ในขณะที่อำนาจของมุสลิมอยู่ในมือของคนๆเดียวแล้ว เขาต้องการทำให้กลุ่มของพวกท่านแตกแยก ก็จงสังหารเขา ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็ตาม”[4]
และท่านหุซัยนฺต้องการทำให้มุสลิมเกิดการแตกแยก โดยท่านเราะสูลกล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็ตาม ก็จงฆ่าเขา” ดังนั้นการสังหารท่านจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ทัศนะนี้เป็นทัศนะของพวกนาศิบะฮฺ[5] ที่โกรธแค้นท่านหุซัยนฺ บินอลี

กลุ่มที่สอง : พวกเขากล่าวว่า ท่านคือผู้ที่(ทุกคน)จำเป็นต้องเชื่อฟัง จำเป็นต้องส่งมอบอำนาจบริหารให้ท่าน เป็นทัศนะของพวกชีอะฮฺ

กลุ่มที่สาม : พวกเขาคือ อะฮ์ลุสสุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ พวกเขากล่าวว่า ท่านถูกสังหารอย่างไม่เป็นธรรม แต่ท่านก็ไม่ได้เป็นผู้ที่ได้รับอำนาจจากอัลลอฮฺ คือ ท่านไม่ได้เป็นอิหม่าม และไม่ได้ถูกสังหารในสภาพที่ออกจากผู้นำ ทว่าท่านถูกสังหารอย่างไม่เป็นธรรมและเป็นการตายชะฮีด ตามที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ กล่าวไว้ว่า
«الحَسَنُ وَالحُسَيْنُ سَيِّدَا شَبَابِ أَهْلِ الجَنَّةِ»
“หะสัน และหุสัยนฺ เป็นหัวหน้าของเด็กหนุ่มชาวสวรรค์”[6]
เพราะท่านต้องการถอนตัวกลับ หรือไปหายะซีดที่เมืองชามแล้ว แต่พวกเขาไม่ยอม จะให้ท่านยอมตกเป็นทาสเชลยให้กับอิบนุซิยาดเสียก่อน

บิดอะฮฺที่เกิดขึ้นใหม่สองประการ

            ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ กล่าวว่า
ภายหลังการสังหารท่านหุสัยนฺ ได้เกิดบิดอะฮฺขึ้นมาสองประการ
หนึ่ง บิดอะฮฺการแสดงความเสียใจ ร้องไห้คร่ำครวญในวันอาชูรออ์ โดยการตบตี ตะโกนร้อง ร่ำไห้ แสดงว่ากระหายน้ำ และขับกล่อมร้องเพลงรำพังรำพันถึงความสูญเสีย และนำไปสู่การด่าทอ และสาบแช่งสลัฟ และโยงคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับคนทำผิด จนกระทั้งด่าทอไปถึงผู้ที่รับอิสลามในช่วงแรกด้วย มีการอ่านข่าวว่ามีบางคนถึงขั้นเสียชีวิตทั้งที่จริงเป็นเรื่องโกหกเสียส่วนใหญ่ วัตถุประสงค์ของการสร้างรูปแบบนี้ขึ้นมาก็เพื่อเปิดประตูฟิตนะฮฺ และสร้างความแตกแยกให้กับอุมมะฮฺ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะมีความหมายอะไรได้อีกกับการหวนกลับมารำลึกเห็นการณ์นี้เป็นประจำทุกปี พร้อมกับการชโลมเลือด เทิดทูนจนคลั่งไคล้และยึดติดกับอดีต และจดจ่อกับกุโบร์

สอง บิดอะฮฺการเฉลิมฉลอง แสดงความดีอกดีใจ แจกขนมหวานในวันสังหารท่านหุสัยนฺ
ที่เมืองกูฟะฮฺมีกลุ่มคนที่สนับสนุนอะฮ์ลุลบัยตฺ โดยการนำของอัลมุคตาร บินอบูอุบัยดฺ ที่อ้างตนเป็นนบีเป็นจอมโกหก และกลุ่มคนที่โกรธแค้นอะฮ์ลุลบัยตฺ หนึ่งในนั้นก็มี อัลหัจญาจญ์ บินยูสุฟ อัษษะเกาะฟียฺ บิดอะฮฺหนึ่งต้องไม่ตอบโต้ด้วยกับอีกบิดอะฮฺหนึ่ง ทว่าต้องตอบโต้ด้วยการทำสุนนะฮฺของท่านนบี ตรงกับที่อัลลอฮฺตรัสคือ
﴿ ٱلَّذِينَ إِذَآ أَصَٰبَتۡهُم مُّصِيبَةٞ قَالُوٓاْ إِنَّا لِلَّهِ وَإِنَّآ إِلَيۡهِ رَٰجِعُونَ  ١٥٦ ﴾ [البقرة: ١٥٦]
"คือบรรดาผู้ที่เมื่อมีเคราะห์ร้ายมาประสบแก่พวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า แท้จริงพวกเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และแท้จริงพวกเราจะกลับไปยังพระองค์” {อัล-บะเกาะเราะฮฺ: 156}[7]







[1] เศาะหีห์ อัลบุคอรียฺ ว่าด้วยญะนาซะฮฺ เรื่องไม่ใช่พวกของเราผู้ที่ฉีกเสื้อผ้า หะดีษที่ (1294) และเศาะหีห์ มุสลิม ว่าด้วยอีมาน เรื่องห้ามตบตีแก้ม(103)
[2] เศาะหีห์ อัลบุคอรียฺ ว่าด้วยญะนาซะฮฺ เรื่องห้ามโกนศีรษะเมื่อมีประสบเคราะห์ หะดีษที่ (1296) และเศาะหีห์ มุสลิม ว่าด้วยอีมาน เรื่องห้ามตบแก้ม และฉีกเสื้อผ้า และดูอาอ์แบบญาฮิลียะฮฺ หะดีษหมายเลข(140/167)
[3] เศาะหีห์ อัลบุคอรียฺ ว่าด้วยญะนาซะฮฺ เรื่องห้ามการร้องไห้คร่ำครวญอย่างเด็ดขาด หะดีษหมายเลข (934)
[4] เศาะหีห์ มุสลิม ว่าด้วยการเป็นผู้ปกครอง เรื่องหุก่มของผู้ที่ทำให้มุสลิมแตกแยกขณะที่มันรวมกันอยู่ หะดีษหมายเลข (1852)
[5] นาศิบะฮฺ คือ พวกที่แสดงความเป็นศัตรูกับท่านอลี และวงศ์วานของท่าน
[6] บันทึกโดย ติรมิซียฺ ว่าด้วยความประเสริฐ เรื่องความประเสริฐของท่านหะสันและหุสัยนฺ หะดีษที่ (3768)
[7] มินฮาจญ์ อัสสุนนะฮฺ (5/554-555)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น