การฆาตกรรม (قَتْلُ النَّفْسِ)
การฆาตกรรม คือ การประทุษร้ายต่อร่างกายหรืออวัยวะในร่างกายของบุคคลอันเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย หรือหมายถึงการฆ่าชีวิตมนุษย์นั่นเอง ในหลักศาสนาอิสลามถือว่าการฆาตกรรมเป็นสิ่งต้องห้าม และมีโทษร้ายแรงทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ทั้งนี้ เพราะการฆาตกรรมเป็นการละเมิดต่อชีวิตที่เป็นสิทธิของพระองค์อัลลอฮฺ และเป็นการคุกคามต่อความปลอดภัยของหมู่ชนตลอดจนวิถีชีวิตในสังคมมนุษย์
พระองค์อัลลอฮฺ ทรงดำรัสว่า
(وَلاَ تَقْتُلُواْ النَّفْسَ الَّتِي حَرَّمَ اللّهُ إِلاَّ بِالْحَقِّ الآية)
“และพวกสูเจ้าอย่าได้สังหารชีวิตซึ่งพระองค์อัลลอฮฺทรงบัญญัติห้ามเอาไว้ นอกจากด้วยสิทธิอันชอบธรรมเท่านั้น” (สูเราะฮฺ อัล-อันอาม อายะฮฺที่ 151)
การฆาตกรรมตามกฎหมายอิสลามมี 3 ชนิดคือ
1. การฆาตกรรมโดยเจตนา คือ การที่บุคคลมีเจตนาสังหาร (ฆ่า) บุคคลด้วยสิ่งที่ทำให้เสียชีวิตโดยส่วนใหญ่
2. การฆาตกรรมโดยกึ่งเจตนา หมายถึง การที่บุคคลมีเจตนาประทุษร้ายโดยมิชอบต่อบุคคลด้วยการใช้สิ่งที่ไม่ทำให้เสียชีวิตโดยส่วนใหญ่ แต่บุคคลถึงแก่ความตายด้วยการกระทำดังกล่าวนั้น อาทิเช่น การใช้ไม้ขนาดเล็กตีเบาๆแล้วผู้ถูกตีก็ถึงแก่ความตายเนื่องจากการตีนั้น
3. การฆาตกรรมโดยเกิดความผิดพลาด คือ การที่บุคคลได้กระทำสิ่งที่อนุญาตให้กระทำได้เช่น การยิงสัตว์ที่ถูกล่าแล้วพลาดไปโดนบุคคลเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายหรือมีความผิดพลาดโดยไม่มีเจตนาเกิดขึ้น
พระองค์อัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي) ทรงดำรัสว่า
وَمَن يَقْتُلْ مُؤْمِنًا مُّتَعَمِّدًا فَجَزَآؤُهُ جَهَنَّمُ خَالِدًا فِيهَا وَغَضِبَ اللّهُ عَلَيْهِ وَلَعَنَهُ وَأَعَدَّ لَهُ عَذَابًا عَظِيمًا
“และผู้ใดฆ่าผู้ศรัทธาโดยเจตนา การตอบแทนของผู้นั้นคือนรกอเวจีโดยที่เขาอยู่ในนั้นตลอดกาล และอัลลอฮฺทรงกริ้วผู้นั้น และทรงสาปแช่งเขา อีกทั้งทรงเตรียมการลงโทษทัณฑ์อันยิ่งใหญ่แก่ผู้นั้นแล้ว (สูเราะฮฺอัน-นิสาอฺ อายะฮฺที่ 93)
พระองค์อัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي) ทรงดำรัสว่า
“โอ้บรรดาศรัทธาชน การประหารชีวิตให้ตายตกตามกันไปในหมู่ผู้ถูกฆาตกรรมได้ถูกบัญญัติเหนือพวกสูเจ้าแล้ว เสรีชนต่อเสรีชน ทาสต่อทาส สตรีต่อสตรี ดังนั้นผู้ใดถูกอภัยให้แก่เขาผู้นั้น ซึ่งสิ่งหนึ่งจากพี่น้องของผู้ถูกฆาตกรรม ก็ให้ปฏิบัติตามความเหมาะสมและจ่ายค่าสินไหมทดแทนแต่โดยดี ดังกล่าวนั้นคือการผ่อนปรนจากพระผู้อภิบาลของพวกสูเจ้าและคือความเมตตา ดังนั้นผู้ใดละเมิดหลังจากนั้น ผู้นั้นย่อมได้รับการลงทัณฑ์อันเจ็บปวดยิ่ง” (สูเราะฮฺ อัล-บะกอเราะฮฺ อายะฮฺที่ 178)
وَمَن قَتَلَ مُؤْمِنًا خَطَئًا فَتَحْرِيرُ رَقَبَةٍ مُّؤْمِنَةٍ وَدِيَةٌ مُّسَلَّمَةٌ إِلَى أَهْلِهِ
“และผู้ใดได้สังหารผู้ศรัทธาโดยผิดพลาดแล้ว ก็ให้ปลดปล่อยทาสผู้ศรัทธา 1 คนให้เป็นไทแก่ตน และจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ถูกส่งมอบไปยังครอบครัวผู้ศรัทธาที่ถูกสังหารนั้น” (สูเราะฮฺ อัน-นิสาอฺ อายะฮฺที่ 92)
( وَمَنْ قُتِلَ مَظْلُوْمًا فَقَدْ جَعَلْنَا لِوَلِيِّهِ سُلْطَانًا فَلاَ يُسْرِفْ فِي الْقَتْلِ إِنَّهُ كَانَ مَنْصُوْرًا )
“และผู้ใดถูกฆ่าโดยไม่เป็นธรรม ดังนั้นเรา (อัลลอฮฺ) ได้ให้อำนาจแก่ทายาทหรือผู้ปกครองของเขา (ที่จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด) ฉะนั้นเขาจงอย่าล่วงเกินขอบเขตในเรื่องการฆ่า เพราะแท้จริงเขาเป็นผู้ที่ถูกช่วยเหลือ (ให้ได้รับสิทธิอยู่แล้ว)” (สูเราะฮฺ อัล-อิสรออฺ อายะฮฺที่ 33)
“และผู้ใดถูกฆ่าโดยไม่เป็นธรรม ดังนั้นเรา (อัลลอฮฺ) ได้ให้อำนาจแก่ทายาทหรือผู้ปกครองของเขา (ที่จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด) ฉะนั้นเขาจงอย่าล่วงเกินขอบเขตในเรื่องการฆ่า เพราะแท้จริงเขาเป็นผู้ที่ถูกช่วยเหลือ (ให้ได้รับสิทธิอยู่แล้ว)” (สูเราะฮฺ อัล-อิสรออฺ อายะฮฺที่ 33)
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
مَنْ قَََتَلَ مُتَعَمِّدًادُفِعَ إِلىَ أَوْلِيَاءِ الْمَقْتُوْلِ ، فَإِنْ شَاﺅُوْاقَتَلُوْهُ ، وَإِنْ شَاﺅُوْاأَخَذُواالدِّيَةَ وَهِىَ ثَلاَثُوْنَ حِقَّةً ، وثَلاَثُونَ جَذَعَةً وَأَرْبَعُونَ خَلِفَة - الحديث
“ผู้ใดฆ่าโดยเจตนา ผู้นั้นย่อมถูกผลักไปยังบรรดาทายาทของผู้ถูกฆ่า ดังนั้นหากบรรดาทายาทประสงค์ให้ประหารก็ให้ประหารชีวิตผู้นั้น และหากพวกเขาประสงค์ค่าสินไหมทดแทน พวกเขาก็เอาค่าสินไหมทดแทนนั้น คือ อูฐอายุ 3 ปีบริบูรณ์ 30 ตัว , อูฐอายุ 4 ปีบริบูรณ์ 30 ตัว และอูฐที่ตั้งท้อง 40 ตัว...” (รายงานโดย อัตติรมิซี -1387-)
( شِبْهُ الْعَمْدِ قَتِيْلُ السَّوْطِ وَالْعَصٰا ، فِيْهِ مِائَةٌمِنَ اْلإِ بِلِ ، مِنْهَا أَرْبَعُوْنَ فِى بُطُوْنِهَاأَوْلاَدُهَا )
“กึ่งเจตนาคือ ผู้ที่ถูกสังหารด้วยแส้และไม้เท้า ในการสังหารนี้คืออูฐ 100 ตัว จาก 100 ตัวนั้นคืออูฐ 40 ตัว ที่ในท้องของมันมีลูก” (รายงานโดย อัน-นะสาอี)
ในกรณีที่ฆาตกรมีหลายคน กล่าวคือ เป็นหมู่คณะ ก็ให้ตัดสินประหารชีวิตฆาตกรทั้งหมด ดังปรากฏว่า :
1. ท่านอุมัร (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ) ได้ตัดสินประหารชีวิตชาย 7 คน หรือ 5 คน ที่ร่วมกันสังหารชายผู้หนึ่ง
2. ท่านอะลี (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ) ได้ตัดสินประหารชีวิตชาย 3 คน ที่ร่วมกันสังหารชายผู้หนึ่ง เป็นต้น
ทั้งนี้บรรดาอิหม่ามทั้ง 4 ท่านได้เห็นพ้องตรงกันว่า จำเป็นต้องประหารชีวิตกลุ่มคณะบุคคลที่ร่วมกันสังหารบุคคลเพียงคนเดียว เพื่อเป็นการปิดหนทางในการอาศัยช่องว่างทางกฏหมายที่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่มีการตัดสินเช่นนี้
والله أعلم بالصواب
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น