หลักฐานศาสนาคือกิตาบุลลอฮ์และสุนนะฮ์
ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
إن الله فرض فرائض فلا تضيعواها وحد جدودا فلا تعتدوها وحرم أشياء فلا تنتهكوها وسكت عن أشياء رحمة لكم عير نسيان فلا تبحثوا عنها
“แท้จริงอัลลอฮ์ได้กำหนดข้อบัญญัติใดๆไว้ พวกเจ้าก็อย่าละเลย และพระองค์กำหนดขอบเขตใดๆไว้ พวกเจ้าก็อย่าละเมิด และพระองค์ทรงห้ามสิงใดไว้ พวกเจ้าก็อย่าฝ่าฝืนมัน และสิ่งที่พระองค์ไม่ได้บัญญัติไว้คือความเมตตาที่มีต่อพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าก็อย่าไปค้นหามัน” ฮะดีษบทนี้รายงานโดย อัดดารุ กุฏนีย์ และท่านอื่นๆ ซึ่งบรรดานักฮะดีษให้สถานะว่า ฮะดีษฮะซัน
######
ข้อความในฮะดีษที่ว่า (และสิ่งที่พระองค์ไม่ได้บัญญัติไว้คือความเมตตาที่มีต่อพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าก็อย่าไปค้นหามัน) ในประเด็นนี้รวมถึงเรื่องการ “กิยาส” ด้วย เพราะมิได้หมายความว่า ใครจะนำเรื่องใดมาเปรียบเทียบกับเรื่องใดก็ได้ตามความต้องการของแต่ละคน แต่ ญุมฮุรอุลามาอ์ (ปวงปราชญ์โดยส่วนใหญ่) ก็อนุญาตให้ กิยาสได้เมื่อมีเหตุของความจำเป็น โดยจะต้องพิจารณา ถึง อิลละห์, ชุรูฏ และกฏเกณฑ์อื่นๆของการกิยาสอย่างรอบคอบ
หลักฐานทางศาสนานั้น คือ อัลกุรอาน และฮะดีษหรือซุนนะห์ของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และหรือซุนนะห์ของบรรดาคอลีฟะห์ที่ท่านนบีให้การรับรอง ส่วนเรื่องการกิยาสนั้นคือวิธีการ ซึ่งบางคนเรียกว่า การอนุมาน หรือการเปรียบเทียบ
สำหรับบรรดานักวิชาการมีทัศนะแตกต่างกันการนำเสนอทัศนะของนักวิชาการบางท่าน ก็เป็นเพียงการแสดงทัศนะด้านหนึ่งเท่านั้น แต่ทั้งหมดไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็มิใช่หลักฐานศาสนาทั้งสิ้น
เราจะต้องยึดอุลามาอ์ทีปรากฏหลักฐาน ไม่ยึดอุลามาอ์เฉพาะที่ตนชื่นชอบ และตรงกับสติปัญญาของตน แต่ปราศจากหลักฐาน
วัลลอฮุอะลัม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น