อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

เมื่อโกหกว่า"การไม่มีครูชัยตอนเป็นผู้นำทาง"ท่านนบีเป็นผู้พูดทั้งที่เป็นความเชื่อของซูฟีย์


ซูฟีย์


^^__^^ผมได้ฟังคุฏบะฮฺวันศุกร์หนึ่ง ได้ยินเคาะฏีบอ่านคุฏบะฮฺว่า ...“บุคคลใดก็ตามที่ไม่มีครู จงรู้ไว้เถิดผู้นำทางของเขาคือชัยฎอน” .... และอ้างว่าเป็นหะดิษจากท่านรอซูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และอธิบายว่าห้ามมุสลิมศึกษาเรียนรู้ศาสนาทางทีวี ทางอินเตอร์เน็ต ทางตำรา หรือทางใดก็แล้วแต่ที่ไม่มีครูคอยชี้แนะ

....ผมเคยได้ยินคำนี้มันเป็นความเชื่อของกลุ่มซูฟีย์ ...และก็ใช่ตามที่คิด ^^^กลุ่มซูฟีย์ มีความเชื่อว่า สิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของนักซูฟีย์ทั้งหลายคือต้องมีครู จนมีคำกล่าวว่า “บุคคลใดก็ตามที่ไม่มีครู จงรู้ไว้เถิดผู้นำทางของเขาคือชัยฎอน” นักซูฟีย์ได้ให้ความหมายในซูเราะห์ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 35 “โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงเกรงกลัวอัลเลาะห์ และจงแสวงหาสื่อไปสู่อัลเลาะห์” คำว่า “สื่อ” ในที่นี้นั้นนักซูฟีย์หมายถึง ครู และครูในที่นี้หมายถึงครูมุรซีร หรือ โต๊ะแซะห์ ผู้ที่สามารถพาเข้าใกล้ชิดอัลลอฮฺ ครูที่จะสามารถออกมุบายิอะฮฺได้

...การมุบายิอะฮฺนั้นเป็นการทำสัตยาบัน ระหว่างครูกับศิษย์ ว่าจะเป็นครูกับศิษย์กันไปตลอดทั้งดุนยาและอาคิเราะห์ ครูจะเป็นผู้ชี้แนะในการรู้จักอัลลอฮฺ เป็นสื่อกลางเชื่อมโยงไปสู่อัลลอฮฺ(วาซีตอฮฺ หรือ สื่อ) อีกทั้งจะต้องให้สัตยาบันกันว่าจะไม่ทรยศ หรือผิดสัญญากัน ต้องยะเก่นต่อครูอย่างหมดใจ ไม่มีความลับใดๆต่อครู ไม่อนุญาติให้ปฏิเสธคำพูดของครูแม้จะมีหลักฐานมายืนยัน หรือคำพูดของครูที่ไร้สาระไม่ประเทืองปัญญาก็จะต้องถือว่าเป็นเรื่องเฉพาะที่เฉพาะทาง ต้องยอมรับอย่างศิโรราบ

...สิ่งที่ผู้ที่นิยมแนวซูฟีย์ถวิลหาที่เรียกว่ามุบายิอะฮฺนั้น มีความหมายที่ลึกซึ้งเกินกว่าทำสัญญาเป็นศิษย์เป็นครูกัน มันหมายความถึงความมี บารอกะฮฺ ที่ซ่อนมากับการมุบายิอะฮฺด้วย มันมีความลับที่ซ่อนอยู่ที่ไม่สามารถจะอธิบายเป็นถ้อยความได้ สิ่งเหล่านี้จะถ่ายทอดกันระหว่างครูกับศิษย์....



::::ผมอยากถามว่า ทำไมเคาะฏีบถึงมาหลอกพี่น้องมุสลิมด้วยกันอย่างนี้
คนไม่รู้เขาก็เชื่อ เพราะเขาคิดว่าเป็นผู้รู้ที่เชื่อถือไว้วางใจ แต่ทำไมท่านถึงกับมาโกหกพี่น้องมุสลิมด้วยกันเช่นนี้ ท่านไม่รู้หรือว่า การโกหกโดยอ้างว่ามาจากท่านนบีทั้งที่ท่านไม่ได้พูด นั้นสาหัสเพียงใด?????!!!!!!

...รายงานจากท่านมุฆีเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ฉันได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
مَنْ كَذَبَ عَلَيَّ مُتَعَمِّدًا فَلْيَتَبَوَّأْ مَقْعَدَهُ مِنْ النَّارِ
“บุคคลใดโกหกต่อฉันอย่างตั้งใจ ดังนั้นเขาจงเตรียมที่นั่งของเขาในไฟนรก” (บันทึกโดยมุสลิม : 34 อิบนุมาญะฮฺ : 30 อะหฺมัด : 585)




!!!!!!ผมขอยืนยัน และขอสาบานต่ออัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตาอาลา ว่าผมได้ยินเคาะฏีบพูดอย่างที่ผมกล่าวไปจริงๆ

และเคาะฏีบได้ยืนยันชัดเจน ว่าเป็นหะดิษ และอธิบายสำนวนดังกล่าวว่า ห้ามไม่ให้ศึกษาศาสนาทางทีวี หรือทางอื่นที่ไม่มีครูคอยชี้แนะ



...ผมคิดหนักในเรื่องนี้ มันเป็นหะดิษจากท่านนบีจริงหรือ แล้วมันเป็นหะดิษเศาะเฮียะฮ์หรือไม่ เพราะผมเคยได้ยินสำนวนนี้ ว่าเป็นความเชื่อของกลุ่มซูฟีย์

หากมันเป็นหะดิษที่เศาะเฮียะฮ์จริง ละก็รายการศาสนาที่ถ่ายทอดทางทีวีมุสลิม หรือจากทีวีออนไลน์ อย่าง YATEEM TV TV , White Channel เป็นต้น ซึ่งรายการจากทีวีดังกล่าวก็มีวิทยากรที่มีความรู้ และเรียนจบศาสนาสูงๆทั้งนั้น อย่างเช่น อ.มุรีด จบจากอินเดีย อ.ฟารีด จบจากอิยิปต์ เชครีฎอ (ลูกครึ่งอียิปต์)จบจากอิยิปต์ อ.ชาริฟ จบจากอินเดีย เราก็คงดูไม่ได้



.....ผมครวญคิดเรื่องนี้อยู่หลายสัปดาห์ หายังไงก็ไม่เจอหะดิษในสำนวนนี้สักบทเดียวเลย จนผมไปเจอหนังสือของ ผูมีนามว่า รอบีอะห์ บาการี ซึ่งมีประมาณ 9 เล่ม มีชื่อหนังสือว่าดื่มดัมสู่อาลัมราวะฮ์ อีกเล่มหนึ่งชื่อ ประสบการแห่งอากีกัตเฉพาะกิจ เล่มที่เหลือมีชื่อทำนองนี้ รูปหน้าปก เล่มหนึ่งมีรูปผู้หญิง(คล้ายวิญญาณ)ไม่สวมเสื้อผ้า บางเล่มมีรูปผู้เขียน พ่อของ ผู้เขียน  และบางเล่มก็มีรูปปู่ของ ผู้เขียนภายในมีรูปมากมายตามความเชื่อแนวซูฟีย์ และหนังสือของเขาผู้นี้ มีหลักความเชื่ออากีดะฮ์ ตามแนวซูฟีย์ทั้งสิ้น และผมก็ได้พบคำตอบที่ผมต้องการหามานานจากหนังสือของเขาผู้นี้ ที่ว่า “บุคคลใดก็ตามที่ไม่มีครู จงรู้ไว้เถิดผู้นำทางของเขาคือชัยฎอน” และนี่คือสิ่งที่ผมค้นหามานาน และในหนังสือดักล่าว มีความเชื่อแปลกๆอีกมากมาย เช่น เซูฟีเน้นการหาทาง (ฎอริเกาะฮฺ, ตะริกัต) เข้าสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และผมยังได้ค้นพบในงานเขียนของ อ.ยาซีน แกละมงคล ซึ่งท่านไม่สนับสนุนในแนวคิดเช่นนี้อีกด้วย ...




"""""" สำหรับ เรื่องการโกหก การกุข่าวเท็จ ข่าวลือนั้น ผมทราบดี ว่าอิสลามห้ามไว้อย่างไร ผมจะไม่กุเรื่องนี้โดยไม่มีมูลเด็ดขาด

ท่านอุบาดะห์ บิน อัสศอมิต ...รายงานว่าแท้จริงท่านรอซูลุ้ลลออ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าว (ข้อความต่อไปนี้) ขณะที่มีศอฮาบะห์กลุ่มหนึ่งอยู่รอบตัวท่าน “เจ้าทั้งหลายจงให้สัตยาบันต่อฉันเถิด (1)ในการที่ท่านจะไม่นำสิ่งใดมาเป็นภาคีต่อพระองค์อัลลออ์ (2) จะไม่ลักขโมย (3) ไม่ละเมิดประเวณี (4) จะไม่ฆ่าลูกๆ ของพวกเจ้า (5) ไม่กุข่าวเท็จที่พวกเจ้าอุปโลกน์มันขึ้นมาใส่ความผู้อื่น (6) ไม่ฝ่าฝืนคำสั่ง...
(บันทึกหะดิษโดยบุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 18)

ฮัมมาม อิบนุลฮาริส รายงานว่า...ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ผู้ที่ปล่อยข่าวลือจะไม่ได้เข้าสวรรค์” (บันทึกหะดิษโดยมุสลิม ฮะดีษเลขที่ 0190)

"สูเจ้าทั้งหลายจงเกรงกลัวต่อการพูดเท็จเถิด แท้จริงการพูดเท็จนั้นอยู่พร้อมกับความเลวทราม และมันทั้งสองอยู่ในนรก"
(รายงานโดย อิบนุมาญะห์ และนะซาอี)

และท่านนบี(ซล.)ยังได้กล่าวอีกว่า "แท้จริงการพูดเท็จนั้นคือประตูหนึ่ง จากบรรดาประตูแห่งนิฟาก(กลับกลอก)"
(รายงานโดย อิบนุอาดี)

อับดุลลอฮ์ อิบนิอัมร์ รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลออ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “สี่ประการที่ผู้ใดมีอยู่ในตัวของเขาแล้ว, เขาก็กลายเป็นคนสับปลับอย่างแท้จริง และผู้ใดมีบางประการ ก็เท่ากับเขามีลักษณะความสับปลับอยู่ในตัว จนกว่าเขาจะละทิ้งมัน คือ เมื่อพูดก็โกหก, (โกหกเป็นนิจ) เมื่อเขาได้รับมอบหมายก็บิดพลิ้ว, เมื่อสัญญาก็ผิดสัญญา และเมื่อเขาทะเลาะกับผู้ใดก็จะหันเหออกจากความจริง”
(บันทึกหะดิษโดยมุสลิม ฮะดีษเลขที่ 0111)

อบูฮุรอยเราะห์ รายงานว่า แท้จริงท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “เครื่องหมายของผู้สับปลับ สามประการคือ เมื่อพูดก็โกหก, (โกหกเป็นนิจ) เมื่อสัญญาก็ผิดสัญญา, และเมื่อได้รับความไว้วางใจก็ทรยศ
(บันทึกหะดิษโดยมุสลิมฮะดีษเลขที่ 0112)

ซูฟีย์



วัลลอฮุอะลัม


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น