อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555

หลักฐานการมีอยู่ของพระเจ้า


วิดีโอบรรยายแนะนำอิสลาม อธิบายมุมมองอิสลามว่าด้วยความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้า พร้อมการพิสูจน์หลักฐานว่าพระเจ้ามีจริง รวมถึงประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดย อ.ชารีฟ วงศ์เสงี่ยม  








พระเจ้ามีหรือไม่ มิใช่เรื่องความเชื่อ แต่เป็นเรื่องของหลักฐานที่พิสูจน์ได้

จะทราบได้อย่างไร..ว่าอิสลาม คือคำสั่งใช้ของพระเจ้าจริง 
พระเจ้ามีจริงหรือ? 
การจะพิสูจน์ว่าอิสลาม คือคำสั่งสอนและคำสั่งใช้ที่ มิได้มาจากการปั้นแต่งผูกเรื่องเรื่องราวขึ้นเองตามความคิดของมนุษย์? (ศาสดาหรือผู้รู้ศาสนา แต่งคำสั่งสอนขึ้นมาเอง) 
เราสามารถพิสูจน์ความเป็น “สัจธรรม” หรือความเป็น “ของจริง” ในบทบัญญัติอิสลามทั้งที่มาในรูปของพระคัมภีร์และจริยวัตรของศาสนทูต 
การพิสูจน์สามารถทำได้ทุกรูปแบบไม่จำกัดเพื่อให้ตระหนักว่าคำสั่งนั้นเป็นของจริงหรือไม่ เพื่อให้มนุษย์ได้สามารถปฏิบัติตามคำสั่งใช้นั้นด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริงไม่มีข้อตะขิดตะขวงใจ เนื่องจากการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้าอาจหมายถึงการที่มนุษย์ต้อง “เปลี่ยนแปลง” พฤติกรรมจากสิ่งที่ เคยชิน ชื่นชอบ ถูกจริต สะดวกสบาย ดังนั้นการพิสูจน์ให้สิ้นสงสัยในอิสลาม การยืนยันถึงความถูกต้องในวิถีปฏิบัติ และการมุ่งหวังต่อผลลัพธ์ที่ดีงามถาวรจากการปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า จึงเป็นสิ่งที่พระองค์ส่งเสริมให้ปฏิบัติ และตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ได้มีการพิสูจน์มาแล้วอย่างต่อเนื่องทุกยุคสมัยทุกวงการ ทั้งจากผู้ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าและจากผู้ปฏิบัติศรัทธา ด้วยภูมิปัญญาที่หลากหลายวงการ ด้วยบุคลากรระดับมันสมองมากมาย ด้วยเงินทองและทรัพยากรเกินกว่าจะคาดคำนวน! 
การพิสูจน์ความจริงแท้ของอิสลาม เริ่มกันตั้งแต่คำถามหลัก ๆ ว่า พระเจ้า(พระนามของพระองค์คือ “อัลเลาะห์”) มีจริงหรือ? 
ผู้ถามต้องการให้ผู้ศรัทธาพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าพระเจ้าที่อิสลามเรียกว่า อัลเลาะห์ มีอยู่จริงแม้จะไม่ได้บอกว่า “ช่วยพาฉันไปเจอหน่อย” แต่ความหมายก็คล้าย ๆ กัน คือคำถามนี้ต้องการบอกว่า ถ้ามีต้องเห็น หรือ ได้ยินเสียง หรือ สัมผัสได้ด้วยอะไรซักอย่างซิน่า... จะมีอยู่โดยไม่สามารถรับรู้ได้จะเป็นไปได้อย่างไร? 
คำถามของมนุษย์เกี่ยวกับเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้านั้น“เป็นเหตุเป็นผลอย่างยิ่ง” เพราะ หากมีต้องเห็น ได้ยิน จับต้องได้ พูดง่าย ๆ ว่าสัมผัสของเราทั้ง 5 ตา หู จมูก ลิ้น กายต้องสัมผัสได้ หรือ..... อย่างน้อยสัมผัสที่ 6 คือ “ใจ” ต้องสัมผัสได้ หากพระเจ้ามีต้องสัมผัสได้ด้วยอะไรซักอย่าง หากสัมผัสไม่ได้ด้วยอะไรทั้งสิ้นย่อมไม่มี!
ถ้าเช่นนั้น.... คำตอบในเรื่องนี้มีทางเลือกไม่มากคือ “มีพระเจ้า” กับ “ไม่มีพระเจ้า” และการตอบว่า “ไม่มี” ง่ายกว่า เพราะเมื่อตอบแล้วก็ไม่ต้องหาเหตุผลอธิบายอีก เคลมได้เลยว่าสัมผัสกับพระเจ้าไม่ได้ แต่หากจะตอบว่า “มีพระเจ้า” ก็ต้องหาทางอธิบายว่าเหตุใดจึงเชื่อว่ามีพระเจ้า หลักฐานคืออะไร อยู่ที่ไหน สัมผัสได้อย่างไรจะเข้าไปดูให้เห็น ฟังให้ได้ยิน สัมผัสให้รู้สึกถึงการมีอยู่ของพระเจ้าได้อย่างไร? 




ดังนั้นคำตอบว่า “มีพระเจ้า” จึงผูกพันกับการตอบเรื่อง “หลักฐานของการมีพระเจ้า” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คราวนี้เรามาดูหลักฐาน.... 








หลักฐานที่บ่งชี้ว่ามีพระเจ้าอยู่จริงอาจพออธิบายได้ง่าย ๆ ดังนี้ 




หลักฐานที่ตั้งอยู่บนเหตุผล 




หลักฐานประเภทนี้จะก่อให้เกิดความเชื่อ(ศรัทธา) ซึ่งมนุษย์จะเกิดความเชื่อหรือศรัทธาต่อสิ่งใด ผู้ใด เรื่องใด มนุษย์ต้องได้สัมผัสกับสิ่งนั้นผ่านระบบสัมผัสทั้ง 5 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย) มาเสียก่อน ความเชื่อหรือศรัทธาจึงเกิดขึ้นมาได้ 




ตัวอย่างเช่น : คนที่เคยไปดูภูเขาน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือย่อมเชื่อถือ 100 % ว่ามีภูเขาน้ำแข็ง (แบบนี้สัมผัสด้วยตา) 




อย่างไรก็ตาม คนที่ไม่เคยไปดูมากับตา แต่ได้ฟังคำบอกเล่าจากคนที่ตนเชื่อถือ ได้อ่านจากหนังสือ ได้ดูจากTV, Internet หรือสื่ออื่น ๆ ที่ตนเองเชื่อถือว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่ไว้วางใจได้ ปัจจัยเหล่านี้ก็ทำให้คนที่ไม่เคยไปดูภูเขาน้ำแข็ง เกิดความเชื่อมั่น 100 %ว่ามีภูเขาน้ำแข็งได้เช่นกัน 




ความเชื่อว่ามีภูเขาน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือก็เกิดขึ้นได้ เพราะอะไร? 




เพราะเราเชื่อคนที่เล่าให้ฟัง เชื่อหนังสือ เชื่อทีวี เชื่ออินเตอร์เน็ท 




แล้วใครบอกเราว่า “มีพระเจ้า” มนุษย์เป็นผู้บอกเรางั้นหรือ? 




กรณีนี้คำบอกเล่าของมนุษย์ไม่น่าเชื่อถือเท่าไร เพราะมนุษย์ที่มาเล่าให้เราฟังไม่เคยไปพบพระเจ้ามาก่อน หนังสือที่เขียนผู้เขียนก็ไม่เคยเห็น ทีวีก็ไม่เคยจับภาพไว้ เว็นไซส์ต่าง ๆ ก็เช่นกัน 




ถ้าเช่นนั้นใครคือผู้บอกเล่าที่น่าเชื่อถือที่สุด? 




ตอบ ... “ธรรมชาติ” 




ธรรมชาติ มาบอกเราตั้งแต่เมื่อไร ธรรมชาติบอกเราว่ามีพระเจ้านานแล้ววันนี้ก็บอกและวันหน้าก็ยังจะบอกต่อไป “ธรรมชาติ” ธรรมชาติมิได้บอกเราด้วยคำพูดที่เปล่งออกมาเป็นเสียงของมนุษย์ หรือภาพ หรือวีดีโอ แต่ธรรมชาติทำยิ่งกว่านั้นอีกคือนำหลักฐานการมีอยู่ของพระเจ้ามาปรากฎกายให้เราเห็น ให้เราดม ชิม สัมผัสจับต้องได้ ด้วยตัวของเราเอง 




ใช่ครับ.... ดอกไม้ที่ธรรมชาติหยิบยื่นให้คุณนั่นแหละคือหลักฐานที่ธรรมชาตินำมาแสดงว่า “พระเจ้ามีอยู่จริง” ทำไมถึงคิดว่าธรรมชาติสื่อถึงเราอย่างนั้น? 




ก็เพราะว่ามันไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่นเลย หากธรรมชาติมิได้บอกต่อเราว่า “นี่ดอกไม้นี่คือหลักฐานว่ามีพระเจ้า(คือมีผู้สร้างมันขึ้นมา)” ธรรมชาติก็จะต้องบอกกับเราอีกอย่างหนึ่งว่า.... 




“นี่...ดอกไม้นี่มันเกิดขึ้นเอง” ธรรมชาติอาจพูดต่อไปว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดดอกแรกขึ้นตอนไหน(ว่ะ)” 




ผมกำลังบอกว่า...เราพบเห็นบ้านในสวนแห่งหนึ่งเราเชื่อทันทีว่า “ต้องมีผู้สร้าง” สัมผัสทั้ง 5 ของเราส่งข้อมูลปัจจุบันไปตรงกับข้อมูลเดิมที่เคยรู้มาแต่เด็กว่ามีบ้านต้องมีผู้สร้าง “เราเชื่อทันทีว่าต้องมีผู้สร้าง 




แต่เราพบดอกไม้ล้าน ๆ ดอก(ซึ่งมนุษย์ยังสร้างไม่ได้เลยซักดอก) ในสวนนับล้าน ล้าน ตร.กิโลเมตร เรากลับไม่เชื่อทันทีว่า “ต้องมีผู้สร้าง” 




ทำไมล่ะ? ก็เพราะข้อมูลเดิมของเราผิดพลาด 




เพราะเมื่อสัมผัสทั้ง 5 ของเราส่งข้อมูลไปว่า พบดอกไม้ล้านดอกเอ๊ะ...ใครสร้างดอกไม้นี้หนอ ข้อมูลเดิม(ผิด ๆ )ของเราก็ตะคอกกลับมาว่า “ธรรมชาติสร้าง! โง่จริงสอนเท่าไรไม่จำ” สัมผัสทั้ง 5 ของเราก็จ๋อยไปทันที 




ใครบอกคุณว่าธรรมชาติสร้าง? ธรรมชาติเคยบอกคุณหรือ? หรือเป็นเพียง 




“มนุษย์ที่ไม่รู้ความจริง หลาย ๆ คน สอนคุณผิดๆ จนคุณเกิดความเชื่อเช่นนั้น?” 




จนถึงวันนนี้ ธรรมชาติ ก็ไม่เคยพูดซักคำว่า “อั๊วสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา” 








แต่ที่ธรรมชาติ พูด บอก สื่อสารกับเราก็คือ “เราคือกฎ... กฎของการเกิดสิ่งต่าง ๆ” 




“การที่น้ำไหลออกจากแก้วที่คว่ำหน้า ปรากฎการนี้เกิดขึ้นเพราะกฎแรงดึงดูด” 




“เมื่อถึงเวลานอนมนุษย์ง่วง ปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะกฎของร่างกาย” 




“น้ำเดือดเมื่ออุณหภูมิสูงถึง 100 องศา ปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะกฎจุดเดือดของน้ำ” 




“และกฎที่มนุษย์ควรรู้ไว้อีกเรื่องหนึ่งคือ เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นมาย่อมต้องมีผู้สร้าง สิ่งนี้เรียกว่า กฎของการเกิด” 




กฎของการเกิด ก็คือ “ธรรมชาติ ธรรมะ + ชาติ” ธรรมชาติ คนที่เธอเคยเข้าใจผิดว่าเป็น “ผู้สร้าง” ฉันเป็นเพียงสิ่งถูกสร้างอีกชนิดหนึ่งที่เธอจับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น เหมือนที่เธอมองไม่เห็นกฎแรงโน้มถ่วง กฎการระเหย และกฎอีกมากมาย “กฎ” อย่างพวกเราถูกสร้างขึ้นมาทำหน้าที่ต่าง ๆ กันไป... ขอย้ำนะ... “ธรรมชาติ หรือ กฎของการเกิด ก็ถูกสร้างขึ้นมาเหมือนกับพวกมนุษย์นั่นแหละ....หยุดเข้าใจว่าเรา(ธรรมชาติ)คือ “ผู้สร้าง” เสียทีมันเป็นการเข้าใจผิด” 








เอาล่ะครับท่านผู้อ่าน ผมได้บอกให้ฟังแล้วว่า ธรรมชาติ นำหลักฐานนานาชนิดมาปรากฎต่อหน้าเรา เพื่อให้เราได้รู้ถึงการมีอยู่ของพระเจ้า หรือ พระผู้สร้าง และก็ทำให้เราก็ทราบว่า “ธรรมชาติ” หรือ “กฎของการเกิด” ก็เป็นสิ่งที่ถูกสร้างมาบนโลกนี้เช่นกัน 




ดังนั้นทั้งสิ่งถูกสร้างที่เรามองเห็นได้ สัมผัสได้ หรือสิ่งถูกสร้างที่เรามองไม่เห็น เช่น กฎสภาวะต่าง ๆ ก็ล้วนแล้วแต่ถูกสร้างมาทั้งสิ้น หากไม่แน่ใจก็ให้ลองถามตัวเองอีกครั้ง.... 




ถามตัวเองดูซิว่า อยู่ดี ๆ สิ่งต่าง ๆ ในโลก ในสุริยจักรวาล และมหาจักรวาลอันไกลโพ้นสุดคำนวนนับ มันเกิดแว๊บ! .... แล้วก็ปรากฎขึ้นมาแทนที่ความว่างเปล่า(ที่มีอยู่เดิม) 




ปรากฎขึ้นทั้งประเภทจับต้องได้ และจับต้องไม่ได้ แล้วก็ร่วมกันวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ทุกอย่างเกิดจากความว่างเปล่าไม่มีอะไรมาก่อน แล้วอยู่ดี ๆ ก็มี? ไม่มีใครไปทำอะไรทั้งนั้น... 


Φเราจะศรัทธา(เชื่อ)แบบนั้นหรือ? นั่นเป็นคำตอบของผู้มีปัญญาหรือ ?



ความมีตัวตนของพระเจ้าในมุมมองนักคณิตศาสตร์ และ Decision Theory


ตอนเรื่องของเลขศูนย์นั้น บอกว่าเลขศูนย์นั้นเป็นเรื่องท้าทายมาก เพราะว่าถ้าบอกว่าเลขศูนย์นั้นมี ก็เท่ากับว่าบอกว่าเรายอมรับถึงอินฟินิตี้ แล้วก็เลยไปท้าทายกับความคิดของอริสโตเติลที่บอกว่า พระเจ้าเป็นคนหมุนโลก และด้วยความคิดนี้แหละครับ ที่ทำให้เลขศูนย์นั้นไม่แพร่หลาย 
แต่แล้วอยู่ดีๆครับ ก็มีนักคณิตศาสตร์คนหนึ่งคิดพิเรนทร์ขึ้นมา ใช้คณิตศาสตร์มาบอกว่า ถึงจะมีเลขศูนย์ ถึงจะมีอินฟินิตี้ก็ไม่เป็นไร ยังไงๆ เราก็ต้องเชื่อว่าในโลกนี้มีพระเจ้าอยู่ดี เขาคนนั้นเป็นนักคณิตศาสตร์ชื่อดังที่เรารู้จักกันดีครับ ชื่อว่า ปาสคาล


แล้วทำไมปาสคาลถึงบอกแบบนั้น ??? 
ปาสคาลให้ concept ของ expected value ครับ คำว่า expected value คืออะไร 


expected value ถ้าเทียบกับฟิสิกส์ก็คือจุดซีจี (center of gravity) หรือ จุดศูนย์ถ่วงของวัตถุ ถ้าเทียบในทางความน่าจะเป็น ก็คือค่าเฉลี่ยเมื่อทำการทดลอง เช่น
โยนเหรียญ ทอดลูกเต๋า 
แล้ววิธีการหา expected value เป็นยังไง วิธีคิดก็คือการหาค่าเฉลี่ยแบบมีน้ำหนัก (weighted average) นั่นแหละครับ 


คือ E(X)=Σxp(x) เมื่อ E(X) คือ expected value 
หรือ expectation ของ X, x คือค่าตัวเลขใน sample space ของเรา 
และ p(x) คือ ความน่าจะเป็นหรือโอกาสที่ x จะเกิดขึ้น (อันนี้ใช้กับเฉพาะ x ที่เป็น discrete คือ x เป็นตัวๆ นะครับ)
ยกต้วอย่างเช่น 
ทอยลูกเต๋า มี 6 หน้าใช่ไหมครับ ดังนั้นเราสามารถหา ค่า expected value ได้ 
E(X)=1*(1/6)+2*(1/6)+...+6*(1/6)= 3.5 
หรือยกตัวอย่างใหม่ 
โยนเหรียญหัวก้อย ถ้าออกหัวให้แทนด้วย 1 ก้อย ให้แทนด้วย 0 แต่สมมติต่อไปว่า หัวมีโอกาสออกได้มากกว่าก้อย สามเท่า 
E(X)=1*(3/4)+0*(1/4)=0.75 
ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ 


เอาล่ะ คราวนี้เรามาดูกันว่าแล้วคุณปาสคาล เขาคิดยังไง 
พระเจ้ากับ Expectated Value
►เขาบอกว่า เอาล่ะในโลกนี้มีสองกรณี 


กรณีแรก พระเจ้ามีจริง 


กรณีที่สอง พระเจ้าไม่มีจริง 




แล้วในแต่ละกรณีก็มีสองความเชื่อ ซึ่งก็คือ เราเชื่อในพระเจ้า กับเราไม่เชื่อ


۩คราวนี้เรามาสมมติกันในกรณีแรกก่อนคือเราเชื่อในพระเจ้า 
กรณีแรกพระเจ้ามีจริง ผลลัพธ์ ตายไปเราขึ้นสวรรค์ ให้ค่าความสุข เป็น อินฟินิตี้ ∞ 


۩กรณีที่สอง ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง ตายไปไม่เกิดอะไรขึ้น ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก ให้ค่าความสุขได้ 0
แต่ถ้าจะหาค่า expected value ได้ เราต้องให้ค่าความน่าจะเป็นด้วย อ่ะให้โอกาสที่พระเจ้ามีจริงนั้น แค่ 1%
E(X)=0.01*∞+0.99*0=∞ 


Θสรุป
แล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอแค่มีโอกาสความน่าจะเป็นว่าพระเจ้ามีจริง ยังไงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ค่า Expected value ก็ ∞ ถูกไหมครับ 


☻เอาล่ะมาดูในกรณีที่เราไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริงบ้าง
แต่พระเจ้ามีจริง ผลลัพธ์ ตายไปก็ตกนรกสิครับ ให้ค่าความสุข เป็น -อินฟินิตี้ (-∞)
กรณีที่สอง พระเจ้าไม่มีจริง ตายไปไม่เกิดอะไรขึ้น ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก ให้ค่าความสุขได้ 0
ดังนั้น เราก็จะสามารถหา Expected value ได้ ว่า -∞
เอาล่ะแล้วมาดูกันครับ ในทาง Decision Theory 
ตอนแรกเราก็มาสร้างตารางกันก่อน วิธีการสร้างตารางก็ง่ายๆครับไม่ยุ่งยาก 


หลักให้เป็น state of the world หรือเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ (ในกรณีนี้ก็คือ พระเจ้ามีจริงหรือเปล่า)
แถวให้เป็น ตัวเลือกที่เราตัดสินใจ (เลือกจะเชื่อหรือเปล่า) 
อย่างที่เห็นในตารางด้านล่างครับ 
เชื่อ/พระเจ้า มีจริงๆไม่ได้โม้ โม้แหกตา
เชื่อ ∞ ** 0
ไม่เชื่อ -∞ 0


วิธีการตัดสินใจนั้นก็มีหลายแบบครับ 
เอาแบบง่ายที่สุดก่อน เรียกว่า Maximum Payoff หรือก็คือเลือกการตัดสินใจที่มีประโยชน์มากที่สุด ดูจากตารางนะครับ แล้วก็เลือกเอาอันที่มากที่สุด (ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า ช่องที่มี ∞ นั้น ให้ค่ามากสุด) เพราะฉะนั้น เราก็ต้องเลือกที่จะเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง


เอาล่ะมาอีกกรณีเรียกว่า Maximax อันนี้ ก็คล้ายๆกับ Maximum Payoff ครับ แต่วิธีนี้นั้นจะเลือกเอา ค่าสูงสุดของบรรดาค่าสูงสุดทั้งหมด ดังนั้นวิธีนี้ ขั้นตอนการหาประกอบด้วย สองวิธีครับ 


ขั้นแรกคือการหาประโยชน์สูงสุด แล้วขั้นก็สองก็คือเลือกเอาอันที่มากที่สุด (จริงๆแล้ว ค่าที่ได้ก็จะได้เหมือน Maximum Payoff ครับ)
เชื่อ/พระเจ้า มีจริงๆไม่ได้โม้ โม้แหกตา ค่าผลประโยชน์สูงสุด 
เชื่อ ∞ 0 ∞ **
ไม่เชื่อ -∞ 0 0


ดังนั้นวิธีนี้เราก็จะเลือกเชื่อพระเจ้าอีกเหมือนกัน 
อีกวิธีหนึ่งครับ เรียกว่า Maximin อันนี้ จะเลือกเป็นการหาโดยการเลือกเอาค่าที่มากที่สดของบรรดาค่าที่น้อยที่สุด วิธีการคล้ายๆกับ Maximax ครับ คือแต่แทนที่จะหา ค่าผลประโยชน์มากสุด ในแต่ละการตัดสินใจมา อันนี้เอาค่าประโยชน์น้อยสุดมา แล้วก็เลือกเอาค่าผลประโยชน์ที่มากสุดครับ 
ดูตามตารางข้างล่างนะครับ 
เชื่อ/พระเจ้า มีจริงๆไม่ได้โม้ โม้แหกตา ค่าผลประโยชน์น้อยสุด
เชื่อ ∞ 0 0 **
ไม่เชื่อ -∞ 0 -∞


เราก็จะเลือกได้อีกเหมือนกันว่า ต้องเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง
เอาละ ในนี้จะมีอีกสองวิธีครับ คือ Minimin ซึ่งก็เลือกเอาค่าที่น้อยที่สุดของค่าที่น้อยที่สุด และอันสุดท้ายคือ Minimax ซึ่งก็เลือกเอาค่าที่น้อยที่สุดของผลประโยชน์มากสุด แต่สองกรณีนั้นเหมาะกับการใช้การตัดสินใจกับค่าเสียประโยชน์ เช่น ค่าใช้จ่ายมากกว่าครับ 
วิธีสุดท้ายครับ เรียกว่า Minimax Regret 
Regret แปลว่าเสียใจครับ แต่ถ้าจะให้แปลแบบลูกทุ่งก็คือ เลือกเอาอันที่เราเสียใจน้อยสุดนั่นแหละครับ วิธีการคือเราต้องการ Regret ก่อนครับ Regret นั้นหาได้จากว่า เอาค่าที่มากที่สุดลบกับค่าผลประโยชน์ที่ได้ในในแต่ละ state of the world ครับ
เชื่อ/พระเจ้า มีจริงๆไม่ได้โม้ โม้แหกตา Max Regret
เชื่อ ∞-(∞)=0 0-0=0 0 **
ไม่เชื่อ ∞-(-∞)=2∞ 0-0=0 2∞


แล้ววิธีการหา Minimax ก็คือการเอาค่าน้อยที่สุดของค่ามากที่สุดครับ
ซึ่งก็เหมือนเดิมเลยคือการเลือกที่จะตัดสินใจว่า เชื่อว่าพระเจ้ามีจริงนั้นจะได้ผลดีที่สุด 
เอาล่ะครับ ทั้งหมดก็คือมุมมองของพระเจ้าในแง่มุมของคณิตศาสตร์และทฤษฏีการตัดสินใจครับว่าทำไม บางคนถึงเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง 


ที่มา Seife, C. Zero The biography of a dangerous idea, Penguin Book, NY 2000 ISBN0-14-029647-6
Bernstein, P. L. Agaist the Gods: The remarkable history of risk. John Wiley & Sons Inc. NY 1996 ISBN 978-0471121046 
หนังสือเกี่ยวกับ Decision Theory นั้นหาได้ทั่วไปครับ หรือไม่ก็อาจจะหาอ่านจากหนังสือพวก Operation Research ก็ได้ครับ




อ้างอิงจากเวบ
gotoknow.org/blog/mathbeauty/91696 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น