อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

ชีวิตนี้เพื่อ.ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮุ



เราจะเห็นว่าทุกๆวินาที จะมีเสียงมุสลิมเรียกร้องเชิญชวน สู่การละหมาดจากมัสญิดนับล้านแห่งทั่วโลก โดยกล่าวเชิญชวนว่า“อัชฮ่ะดุ อันน่ะ มุหัมมะดัร ร่อสูลุ้ลลอฮฺ – ฉันขอปฏิญาณว่า มุหัมมัดเป็นรสูลของอัลลอฮฺ”

นี่ไม่ใช่มนุษย์ ทำให้ท่านมีอำนาจเช่นนั้น และท่านก็ไม่ได้อ้างตัวเองว่า เป็นเช่นนั้น ดังที่เฮอร์คิวลิสจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรม ได้ถามทูตมุสลิม ที่ไปเชิญชวนเขาสู่อิสลามว่า “กษัตริย์องค์ใดที่แต่งตั้งให้มุหัมมัดมีอำนาจเช่นนี้ ?” คำตอบนั้นเรียบง่าย และลึกซึ้งมาก “อัลลอฮฺ! อัลลอฮฺทรงประทานอำนาจนี้แก่ท่าน (ท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม)!”

ผมเติบโตในภาคกลางของแคนาดา ในเมืองวินนิเพก ผมเข้าเรียนในโรงเรียนประถม ที่วินนิเพก ช่วงประมาณ ปี ค.ศ.1980 ครอบครัวของผม อยู่ในสิ่งแวดล้อม ที่พวกเราถูกหัวเราะคิกคัก และได้รับการดูถูกดูแคลน จากผู้คนที่นั่น ตามถนนหนทาง ทางเดินสาธารณะ แม้กระทั่งจากรถที่ผ่านไปมา พวกเขาเหล่านั้น บ้างก็ตะโกนว่า “เฮ้ นินจาหญิง !” หรือ “เฮ้ ดูนั่นสิ ตัวอะไรก็ไม่รู้ หลุดออกมาจากทะเลทราย”

ตอนนั้นครอบครัวของผมเท่านั้น ที่เป็นคนที่มีสีผิวไม่เหมือนคนอื่น ผมยังจำได้ว่า มีเพื่อนคนหนึ่งให้ผมเดาว่า ชื่อคนชื่ออะไร ที่นิยมกันมากที่สุดในโลก เมื่อผมตอบเขาไปว่า ชื่อ มุหัมมัด เขาก็พูดกับผมว่า “เฮ้ย ไปไกลๆเลย ! นายเพียงคนเดียวเท่านั้น ในโรงเรียนนี้ ที่ชื่อนั้น มันต้องเป็นชื่ออย่าง จอห์น, ปีเตอร์, โรเบิร์ต หรืออะไรทำนองนี้” แต่ผมก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรเขา

อเมริกาเป็นแห่งหนึ่งในโลก ที่อิสลามเจริญเติบโต อย่างรวดเร็วที่สุด เวลาห้าสิบปีที่ผ่านมา มีประชากรมุสลิมเพิ่มขึ้นถึง 233 % ในอเมริกา จากประชากรมุสลิมทั่วโลก กว่าหนึ่งพันล้านคน

กุญแจที่ไขนำผู้คนสู่อิสลาม ก็คือคำกล่าวที่ว่า“ลาอิลาฮ่ะ อิ้ลลั้ลลอฮฺ, มุหัมมะดัร ร่อสูลุ้ลลอฮฺ –ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮฺ และมุหัมมัดเป็นรสูลของอัลลอฮฺ” ถ้อยคำเหล่านี้ ใช้เวลากล่าวเพียงไม่กี่วินาที แต่มันเป็นจุดเปลี่ยนผัน ของบรรดาชีวิตมุสลิม นับพันล้านคนทั่วโลก เฉพาะอัลลอฮฺเท่านั้น คือผู้ทรงสร้าง ผู้สมควรได้รับการเคารพสักการะ แต่เพียงองค์เดียว

เราลองมาดูตัวอย่าง จากบรรดาชีวิตของผู้คนในอดีต ที่ชีวิตของพวกเขา เปลี่ยนไปด้วยกับคำเรียกร้องเชิญชวนนี้ สู่การอิบาดะฮฺ ต่ออัลลอฮฺเพียงองค์เดียว ท่านบิลาล ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุ ชาวอบิสสิเนียผิวดำซึ่งเป็นทาสของพวกมุชริกมักกะฮฺ เมื่อท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม มาพร้อมกับสาส์นเชิญชวนที่ว่า “ลาอิลาฮ่ะ อิ้ลลั้ลลอฮฺ” ท่านบิลาล ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุ ได้ประกาศยกเลิกการเคารพบูชาเจว็ดรูปปั้น ๓๖๐ รูปของชาวมักกะฮฺ แล้วได้อีมานศรัทธามั่น ในอัลลอฮฺองค์เดียว อุมัยยะฮฺ ซึ่งเป็นนายทาสของท่าน โกรธแค้นมาก ถึงกับขึงพืดท่านกลางทะเลทราย อันร้อนระอุ แล้วทรมานท่านต่างๆ นานา อย่างโหดเหี้ยม ท่านยืนหยัดอีมานของท่านอย่างมั่นคง โดยกล่าวอย่างอ่อนล้าแผ่วเบาว่า “พระองค์คือพระเจ้าองค์เดียว พระองค์คือพระเจ้าองค์เดียว” ซึ่งยิ่งเป็นการเพิ่มความเคียดแค้น แก่อุมัยยะฮฺ และการทรมานที่หนักขึ้นไปอีก แต่บั้นปลายเป็นอย่างไร ท่านบิลาล ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุ ได้รับการปลดปล่อย ให้เป็นไท โดยเพื่อนรักของท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม คือท่านอบู บักรฺ ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุ แล้วท่านก็กลับกลายเป็น มุอัซซิน คนแรกของอิสลาม

อีกตัวอย่างหนึ่ง คือสตรีมุสลิม ที่ชื่อว่า สุมัยยะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮา นางก็เป็นทาสเช่นกัน จากการที่นางสามีของนาง และลูกของนางเข้ารับอิสลาม โดยยอมรับว่า ไม่มีสิ่งถูกสร้างใดๆ ที่สมควรจะได้รับการเคารพสักการบูชา นอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น ซึ่งเป็นผู้สร้างเพียงองค์เดียว ครอบครัวของนางทุกคน จึงถูกทำร้ายร่างกาย และถูกทรมานอย่างแสนสาหัส มีอยู่วันหนึ่ง อบู ญะฮัล เดือดดาลอย่างเหลืออด เมื่อได้ยินนางกล่าวด้วยเสียงที่อ่อนล้า และแผ่วเบาว่า “ลาอิลาฮ่ะ อิ้ลลั้ลลอฮฺ” อบู ญะฮัล ถึงกับคว้าหอกมาปักที่กลางอกของนาง อย่างแรง เขาได้ทำให้สุมัยยะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮา เป็นคนแรก ที่พลีชีพภายใต้ร่มเงาของ “ลาอิลาฮ่ะ อิ้ลลั้ลลอฮฺ” ขออัลลอฮฺทรงประทาน ความโปรดปราน แก่นาง และครอบครัวของนาง

ทั้งๆ ที่เป็นที่อนุญาตแก่มุสลิม ให้โกหกได้ เพื่อให้ชีวิตรอดพ้นจากการทรมาน แต่ท่านทั้งหลายก็ได้เห็นแล้ว จากตัวอย่างของบรรดามุสลิมทั้งหลาย คนแล้วคนเล่าที่พวกเขายอมตาย มากกว่าจะยอมทิ้งความเชื่อของพวกเขาที่ว่า อัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเท่านั้น ที่คู่ควรแก่การเคารพสักการะ

ในหมู่ทรราชย์มักกะฮฺ สมัยก่อนนั้น มีชายคนหนึ่งห้าวหาญ ดุดัน ไม่เกรงกลัวใคร ชื่ออุมัร อิบนิ อัล-ค็อฏฏอบ เขาเป็นศัตรูตัวฉกาจ ต่อบรรดามุสลิม เขามักจะอาสา ทำหน้าที่ทรมานบรรดาทาสมุสลิม วันหนึ่งเขาได้คว้าดาบ หมายจะไปฆ่าท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม ที่บ้านของท่าน ในระหว่างทางนั้น เขาได้พบกับนุอัยมฺ บิน อับดุลลอฮฺ ซึ่งแอบเข้ารับอิสลามอย่างลับๆแล้ว นุอัยมฺได้ถามว่าอุมัรว่า กำลังรีบจะไปไหน อุมัร ตอบว่า“ข้าจะไปหามุหัมมัด เขาทำให้คนในเผ่าของพวกเรา มีความเชื่อที่เปลี่ยนไป ไม่ให้ความสำคัญ ต่อบรรดาพระเจ้าของพวกเรา และดูถูกความเชื่อของพวกเรา ข้าจะฆ่าเขา” นุอัยมฺได้ยินดังนั้น ก็กลัวว่า ท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม จะเกิดอันตราย จึงรีบคิดแล้วกล่าวว่า“ทำไมท่านจึงไม่ไปเริ่มจัดการ ที่ครอบครัวของท่านก่อนล่ะ ! ท่านไม่รู้รึว่า น้องสาวของท่าน และสามีนาง ตอนนี้เข้ารับอิสลามแล้ว !”

อุมัรโกรธแค้นมาก ได้หันกลับไปยังบ้านน้องสาวตัวเอง ที่บ้านหลังนั้น ค็อบบาบ บิน อัล-อฺะรอต กำลังสอนดำรัสของอัลลอฮฺ แก่ทั้งสองอยู่ ขณะที่อุมัรไปถึงก็ได้ยินเสียงคนอ่านอัล-กุรอาน จึงตะโกนให้เปิดประตู ค็อบบาบ รีบซ่อนตัวในห้องข้างๆ ส่วนฟาฏิมะฮฺ ก็รีบซ่อนแผ่นที่เขียนอัล-กุรอานไว้

เมื่ออุมัรเข้าไปในบ้าน ก็มุ่งตรงไปยังน้องเขย แล้วถามว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าทั้งสอง ยอมรับมุหัมมัด และเชื่อฟังทำตามคำสอนของเขาแล้ว ใช่ไหม” แล้วก็ต่อยหน้าน้องเขย ฟาฏิมะฮฺเข้าไปขวาง อุมัรจึงตบหน้านางจนล้มลง แก้มของนางเลือดอาบกระจาย เลอะเสื้อผ้านาง นางจ้องมองยังพี่ชายของนาง และกล่าวทั้งน้ำตานองหน้าว่า “ใช่แล้ว อุมัร เราเป็นมุสลิมแล้ว เราศรัทธาในอัลลอฮฺ และรสูลของพระองค์ สิ่งที่ท่านเชื่อ ไม่ได้ถูกอย่างที่ท่านคิดหรอก”
อุมัรรู้สึกอับอาย ที่ทำร้ายน้องสาวตัวเอง จนบาดเจ็บ แล้วกล่าวว่า “อะไรคือสิ่งที่ข้าได้ยินพวกเจ้าอ่านกัน?” น้องสาวเขากล่าวว่า “ฉันไม่อาจให้มันอยู่ในมือท่านได้ เนื่องจากท่านยังสกปรกอยู่” หลังจากที่อุมัรได้ทำความสะอาดร่างกายแล้ว นางจึงส่งข้อความอัล-กุรอานนั้น ให้อุมัร แล้วเขาก็อ่าน

“ ฏอฮา เรามิได้ส่งอัล-กุรอานมายังเจ้า เพื่อให้เจ้าลำบาก นอกจากเพียงเป็นที่ตักเตือน แก่ผู้ที่เกรงกลัว เป็นการประทานลงมา จากผู้สร้างแผ่นดิน และชั้นฟ้าทั้งหลาย อันสูงส่ง (อัลลอฮฺ คือ) ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงอยู่บนบัลลังก์ สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสอง และสิ่งที่อยู่ใต้แผ่นดิน และถ้าหากเจ้ากล่าวเสียงดัง แท้จริงแล้วพระองค์ทรงรอบรู้ที่เร้นลับ และสิ่งที่ถูกซ่อนเร้น อัลลอฮฺ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากพระองค์ สำหรับพระองค์นั้น มีพระนามอันสวยงาม สูงส่ง” สูเราะฮฺ ฎอฮา : 1-8

หลังจากนั้น ต่อมาอุมัรได้ไปหาท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม เมื่อเผชิญหน้ากันท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม ได้ช่วยถอดเสื้อคลุมของอุมัรให้ แล้วถามว่า“นี่ไม่ใช่เวลาที่ท่าน จะเป็นมุสลิมดอกหรือ?” อุมัรตอบว่า“ฉันมาหาท่านด้วยเหตุนี้ “ลาอิลาฮะ อิ้ลลั้ลลอฮฺ, มุหัมมะดัร ร่อสูลุ้ลลอฮฺ” ท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม ได้เปล่งเสียงดังออกมาว่า“อัลลอฮุ อักบัรฺ !” พอได้ยินเช่นนั้นทุกคน ที่อยู่นอกบ้านท่าน ต่างก็รู้ทันทีว่า อุมัร ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุ เป็นมุสลิมแล้ว !

ผมเคยอยู่ท่ามกลางฝูงคน จำนวนมาก มาหลายครั้ง ทั้งในแถบตะวันตก และตะวันออกกลาง แต่ไม่มีที่ใดจะยิ่งใหญ่ เท่าที่นครมักกะฮฺ ในมัสญิด อัล-หะรอม ฉันเห็นคนประมาณ 3 ล้านคน ในการละหมาดแต่ละเวลา ผู้คนเหล่านี้ ไม่ได้มาจากคนเชื้อชาติเดียว หรือจากคนที่พูดภาษาเดียวกัน ทุกวันนี้ท่านทั้งหลาย จะเห็นว่า เมื่อคน 3 ล้านคนนี้ ลุกขึ้นเพื่อละหมาด คนทั้ง 3 ล้านคนนี้ จะเข้าแถวเป็นแนววงกลม อย่างมีระเบียบ รอบบัยตุ้ลลอฮฺ และมัสญิดอัล-หะรอม เพื่ออิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ เท่าที่ผมเคยเห็นมา เมื่อเริ่มอิกฺอมะฮฺ ฝูงคนทั้งหมด จะยืนเป็นแนววงกลม อย่างมีระเบียบ ภายในเวลาไม่เกิน 50 วินาที ใครเป็นผู้รวบรวมจิตใจ ของคนจำนวนมากเหล่านี้ ? อัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเท่านั้น คน 3 ล้านคน จากต่างเชื้อชาติ ต่างชนชั้น ต่างสีผิวเหล่านี้ มิได้มาดิ้นรนเบียดเสียดกัน เพื่อเคารพสักการะสิ่งใด นอกจากอัลลอฮฺ พระผู้เป็นที่แท้จริง เพียงองค์เดียว

ในหุบเขาของมักกะฮฺ บริเวณเดียวกันนี้ ท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม ได้สุญูดต่ออัลลอฮฺเพียงองค์เดียว ละทิ้งพระเจ้าจอมปลอมทั้งหลาย ที่รายล้อมท่าน บรรดาพวกมุชริก มักกะฮฺ ต่างก็นั่งจ้องมองท่าน และรังเกียจภาพ ที่เห็นตำตาอยู่นั้น พวกเขาได้พูดกันเองว่า“พวกเราจะนั่งอยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้มุหัมมัดมาสุญูดอัลลอฮฺ ต่อหน้าต่อตาพวกเรา ได้อย่างไรกัน พวกเรามีใครไหม ที่จะทำให้เขาขายหน้า ?”

ชายคนหนึ่งชื่ออุตบะฮฺ กล่าวว่า“ข้าเอง” แล้วเขาก็ไปเอาเครื่องในสดๆ ของลูกแกะ ที่พวกเขาใช้บูชายันต์ เพื่อพระเจ้าของพวกเขา เทลงบนศีรษะของท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม ขณะที่ท่านกำลังสุญูดอยู่ แล้วพวกเขาก็พากันหัวเราะเยาะ อย่างสะใจ โดยที่ท่านยังคงสุญูดอยู่อย่างนั้น จนเมื่อลูกสาวของท่าน ที่ชื่อฟาฏิมะฮฺมาเห็นเข้า ซึ่งขณะนั้นนางยังเป็นสาวรุ่นอยู่ นางถึงกับร้องไห้โฮออกมา แล้วก็เอาปฏิกูลนั้น ออกไปจากศีรษะของบิดา นางได้สาปแช่งพวกมุชริกีนเหล่านั้น ด้วยน้ำตาที่นองหน้า

นี่เป็นตัวอย่างของการหัวเราะเยาะ ที่มีต่อท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม และบรรดามุสลิมที่สอน และเชิญชวนมนุษยชาติว่า ไม่มีสิ่งใดที่คู่ควร แก่การเคารพสักการะ นอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเท่านั้น

บรรดามุชริกีนมักกะฮฺ ได้ใช้สื่อต่างๆ ของพวกเขา ต่อสาธารณชน แม้กระทั่งใช้บทกลอนบทกวี เพื่อต่อต้านเสียงเรียกร้อง “ลาอิลาฮะ อิ้ลลั้ลลอฮฺ” มีหมอคนหนึ่ง ชื่อดะเมาดฺ จากเผ่าอัซฺดฺ ได้ไปทำหัจญ์ที่มักกะฮฺ เมื่อเขาถึงบริเวณใกล้บัยตุ้ลลอฮฺ สื่อของพวกมุชริกมักกะฮฺ ได้มีมาเตือนเขาว่า อย่าไปฟังคำพูดของมุหัมมัด “เขาเป็นมายากล” “เขาเป็นคนบ้า” ดะเมาดฺนึกอยู่ในใจว่า “พวกเขาขู่เราเสียจนกระทั่งเราแทบจะต้องเอาผ้ามาอุดหู คิดดูอีกที เราเองก็เป็นหมอ เคยรักษาคนบ้ามาแล้ว ...บางทีเราอาจจะรักษามุหัมมัดให้หายก็ได้”

หลังจากที่เขาเวียนรอบกะอฺบะฮฺเสร็จแล้ว เขาก็แลเห็นท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม นั่งสงบอยู่ที่ลาน เขาเดินเข้าไปหาท่าน แล้วพูดอย่างนุ่มนวลว่า“มุหัมมัด ฉันเป็นหมอรักษาคนที่ป่วย อย่างเดียวกับท่านมาแล้ว และอัลลอฮฺได้ทรงให้ฉัน รักษาคนป่วยแบบนี้ หายหลายคนแล้ว ฉันจะรักษาท่านให้เอาไหม ?”

ท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม หันไปยังเขาแล้วกล่าวว่า “แท้จริง บรรดาการสรรเสริญทั้งหลาย เป็นของอัลลอฮฺ เราขอบคุณอัลลอฮฺ และเราขอความคุ้มครองจากพระองค์ ให้รอดพ้นปลอดภัยจากสิ่งต่างๆ ผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงนำทาง ไม่มีใครสามารถทำให้เขาหลงได้ ส่วนผู้ใดที่อัลลอฮฺปล่อย ให้เขาหลง ก็ไม่มีใครสามารถนำทางเขา สู่ทางที่เที่ยงตรงได้ ฉันขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ที่มีค่าคู่ควรแก่การเคารพสักการะ นอกจากอัลลอฮฺ และ (ฉัน) มุหัมมัดเป็นรสูลของพระองค์”

ดะเมาดฺอ้าปากค้าง เขากลืนน้ำลายลงคอ พร้อมกับกล่าวว่า “ท่านช่วยกล่าวทวนซ้ำ ให้ฉันฟังอีกครั้งได้ไหม ?” แล้วท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม ก็กล่าวซ้ำอีก จากนั้นดะเมาดฺก็ยิ้ม และประกาศออกมาว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันเคยได้ยินคำพูดของนักพยากรณ์ เคยได้ยินคำพูดของนักมายากล และเคยได้ยินบทกลอนบทกวี มามากต่อมากแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินคำพูดเช่นนี้มาก่อนเลย ! ได้โปรดส่งมือของท่านมาให้ฉัน ฉันจะปฏิญาณตนเข้ารับอิสลาม “ลาอิลาฮะ อิ้ลลั้ลลอฮฺ , มุหัมมะดัร ร่อสูลุ้ลลอฮฺ !”

ท่านทั้งหลาย จะเห็นได้ว่าในอัล-กุรอานอายะฮฺแล้วอายะฮฺเล่า ได้เปิดดวงตาของมนุษยชาติ ให้เห็นความจริงที่ว่า มีพระเจ้าเพียงองค์เท่านั้น

ท่านญุบัยรฺ บิน มุฏอิม ยืนอย่างเงียบสงบ ด้านหลังท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม ในวันหนึ่งขณะกำลังละหมาดมัฆริบ และฟังอายะฮฺอัล-กุรอาน ที่ท่านท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม กำลังอ่านในละหมาด ซึ่งเป็นสูเราะฮฺ อัฏ-ฏูร และได้ยินอายะฮฺที่ความว่า “หรือพวกเขาถูกบังเกิดขึ้นมา โดยไม่มีผู้สร้าง หรือพวกเขาเป็นผู้สร้างตัวพวกเขาเอง หรือพวกเขาเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดิน ? หาใช่เช่นนั้นไม่ พวกเขาไม่เชื่อมันต่างหาก หรือว่าพวกเขามีขุมทรัพย์ แห่งพระผู้อภิบาลของเจ้า หรือว่าพวกเขา เป็นผู้มีอำนาจดูแลจัดการมัน” สูเราะฮฺ อัฏ-ฏูร : 35-37

ท่านญุบัยรฺ กล่าวว่า“เมื่อฉันได้ยินอายะฮฺเหล่านี้ ฉันรู้สึกราวกับว่า หัวใจของฉันมีปีก ที่กำลังโบยบิน โหยหาความจริง ซึ่งฉันได้พบมันแล้วในอิสลาม”

พี่น้องมุสลิมีนและมุสลิมาตทั้งหลาย อีก 100 ปีข้างหน้า พวกท่านจะอยู่ ณ ที่ใด ? พวกท่านคงต้องตายอย่างแน่นอน และเมื่อ 100 ปีที่ผ่านมา พวกท่านอยู่กันที่ไหน ? ไม่มีอะไรเลย

“มิได้มีช่วงระยะเวลาหนึ่ง มายังมนุษย์ดอกหรือ เมื่อเขามิได้เป็นสิ่งที่ถูกกล่าวถึงเลย ? แท้จริง เราได้สร้างมนุษย์ จากหยดหนึ่งของน้ำเชื้อ ที่ผสมแล้ว เพื่อเราจะได้ทดสอบเขา ดังนั้น เราจึงทำให้เขาเป็นผู้ได้ยิน และเป็นผู้มองเห็น แท้จริงเราได้นำทาง แก่เขาแล้ว อยู่ที่เขาว่า จะเป็นผู้ที่กตัญญูรู้คุณหรือจะเป็นผู้เนรคุณ” สูเราะฮฺ อัล-อินสาน : 1-3

ในยุคเริ่มแรกของอิสลาม ท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม มักจะออกไปหาผู้คน จากเต้นท์หนึ่ง ไปยังอีกเต้นท์หนึ่ง จากผู้คนเผ่าหนึ่ง ไปยังอีกเผ่าหนึ่ง เพื่อป่าวประกาศแก่พวกเขาว่า “จงกล่าวเถิด ลาอิลาฮะ อิ้ลลั้ลลอฮฺ (ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮฺ ) แล้วความสำเร็จ จะเป็นของพวกท่าน” ทุกวันนี้เวลาล่วงเลยมากว่า 1400 ปีแล้ว ในฐานะที่พวกเรา เป็นผู้ดำเนินรอยตามมุหัมมัดศ็อลลั้ลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม และศรัทธาในอัลลอฮฺ ขอให้พวกเราสืบสาน คำกล่าวของท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม แก่ผู้คนทั้งหลายในทุกวันนี้ว่า “จงกล่าวเถิด ลาอิลาฮะ อิ้ลลั้ลลอฮฺ (ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮฺ) แล้วความสำเร็จ จะเป็นของพวกท่าน!”

............................
สุวัฒน์ อิสมาแอล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น