อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

เมื่อวิญญาณออกจากร่างกายผู้ตาย!!!



         มุสลิมบางคน หรือบางพื้นที่ มีความเชื่อว่าเมื่อคนหนึ่งคนใดตายแล้ว วิญญาณของผู้ตายยังไม่ไปไหน ยังวนเวียนอยู่บริเวณศพของผู้ตาย ก็จะคอยบอกผู้ที่ยังมีชีวิตที่อยู่บริเวณศพว่า อย่าทำให้ศพได้รับกระทบ เจ็บปวด หรือทำความรุนแรงแก่ศพ โดยเฉพาะในช่วงอาบน้ำมัยยิต(ศพ)
ความเชื่อเหล่านี้ไม่ใช่หลักอะกีดะฮฺของอิสลาม หรืออะลุลสุนนะฮฺวัลญามาอะฮฺแต่อย่างใด แต่เป็นหลักความเชื่อวนเวียนว่ายตายเกิดของคนต่างศาสนิก อย่างพุทธศาสนา นั้นเอง


รวมถึงความเชื้อที่ว่าวิญญาณของผู้ตายในช่วง 40 วันแรกนับจากวันตาย ยังไม่ไปไหน ยังอยู่บริเวณบ้านผู้ตาย จะมีคนไปเฝ้ากุบูรฺ ไม่ให้มะลาอีกะฮฺเข้าไปในกุบูรฺ มีการเดินรำรอบบริเวณกุบูรฺของผู้ตาย พร้อมกล่าวบทเฉพาะเป็นภาษาอาหรับและภาษามลายูขณะเดินวนรอบกุบูรฺนั้นด้วย และเมื่อครบ 40 วัน ญาติๆก็จะมีพิธีส่งวิญญาณ ตอนก่อนฟ้าสาง ประมาณตี 3 จะไม่ส่งเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว จะทำให้วิญญาณร้อน โดยขณะเดินไปส่งวิญญาณผู้ตายจะมีการจุดเทียน หรือคบเพลิงไฟ นำทางวิญญาณผู้ตายไปยังกุบูรฺด้วย

ความเชื่อเหล่านี้มันช่างห่างไกลจากอิสลามยิ่งนัก


ต่อไปนี้คือหลักฐาน ที่ว่าเมื่อวิญญาณออกจากร่างกายของผู้ตาย วิญญาณจะไปไหน?

ท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
“จากนั้น (หลังวิญญาณออกจากร่างกายผู้ตาย) พวกเขา(มะลาอิกะฮฺ) ก็พาวิญญาณของผู้ตาย (ขึ้นสู่ฟากฟ้า) เมื่อพวกเขาพาวิญญาณนั้นผ่านมะลาอิกะฮฺท่านหนึ่งจากปวงมะลาอิกะฮฺ พวกเขาจะกล่าวขึ้นว่า นี้คือวิญญาณที่ดีงามใช่ไหม? มะลาอิกะฮฺที่พามาจะตอบว่า : เขาชื่อนี้ลูกของคนนั้น เป็นชื่อที่สวยงามที่สุด ซึ่งเขาเคยถุกเรียกชื่อดังกล่าว(ขณะอยู่) ในโลกดุนยา” 

เมื่อวิญญาณออกจากร่างกายผู้ตาย มะลาอิกะฮฺที่อยู่ระหว่างชั้นฟ้ากับแผ่นดิน และมะลาอิกะฮ์ที่อยู่ในชั้นฟ้าต่างขอพรให้แก่วิญญาณนั้น ซึ่งบรรดาประตูชั้นฟ้าจะถูกเปิดให้แก่วิญญาณนั้น” (บันทึกหะดิษโดยอิมามอะหฺมัด เลขที่ 19121 เป็นหะดาเศาะเฮียะฮฺ)

“ดังนั้นพวกเขา (มะลาอิกะฮฺ) ขอให้เปิดประตู(สวรรค์) สำหรับวิญญาณนั้น แล้วประตู (สวรรค์) ก็ถูกเปิดสำหรับพวกเขา, วิญญาณถุกนำเข้าไปทุกๆชั้นฟ้า ซึ่งเข้าไปยังชั้นฟ้าถัดไป ถัดไป จนกระทั้งไปถึงชั้นฟ้าที่เจ็ด (ตรงนั้น) พระองค์อัลลอฮฺทรงตรัสว่า : พวกเจ้า(มะลาอิกะฮฺ) จงบันทึกบัญชีบ่าวของฉันในอิลลียีน(บัญชีสูงสุด)เถิด และพวกเจ้าจงนำวิญญาณนั้นกลับไปยังพื้นดิน ซึ่งจากพื้นดินนั้น ฉันได้สร้างพวกเขามา และจากพื้นดินนั้นฉันจะนำพวกเขากลับมา และจากพื้นดินนั้นจะนำพวกเขาออกมาอีกครั้งหนึ่ง” (บันทึกหะดิษโดยอิมามอะหฺมัด เลขที่ 19038 เป็นหะดิษเศาะเฮียะฮฺ)

 ท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
“แท้จริงผู้ศรัทธาเมื่อความตายมาถึงเขา, เขาจะเห็นสิ่งที่จะได้เห็น เขาปรารถนาให้ (วิญญาณ) ของเขา (ออกจากร่าง) ไปพบพระองค์อัลลอฮฺ และพระองค์อัลลอฮฺทรงรักที่จะพบเขาเช่นกัน, แท้จริงวิญญาณของเขานั้นจะขึ้นไปสู่ฟากฟ้า (เวลานั้น) เหล่าวิญญาณของผู้ศรัทธาจะมาพบเขา, พวกเขาจะไถ่ถามเขาถึงผู้คน (ที่ยังมีชีวิต) ในโลกดุนยาที่พวกเขารู้จัก” (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบัซซารฺ เชคอัลบานีย์ระบุว่าเป็นหะดิษเศาะเฮียะฮฺ) 

ท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
“มะลาอิกะฮฺก็พาวิญญาณนั้นขึ้นสู่ฟากฟ้า ครั้นเมื่อพาวิญญาณนั้นผ่านมะลาอิกะฮฺหนึ่งจากบรรดามะลาอิกะฮฺทั้งหลาย พวกเขาจะกล่าวขึ้นว่า นี่เป็นวิญญาณที่เลวใช่ไหม? มะลาอิกะฮฺ(ที่พามา) ตอบว่า เขาชื่อนี้บุตรของคนนี้ เป็นชื่อน่ารังเกียจที่สุด ซึ่งเขาเคยถูกเรียกชื่อดังกล่าวในโลกดุนยา จนกระทั้งวิญญาณนั้นถุกพามายังชั้นฟากฟ้าดุนยา แล้วถุกให้เปิดประตูดุนยา ทว่าประตูมุถุกเปิดให้แก่เขา จากนั้นท่านรสูลุลลอฮฺ อ่านอายะฮฺที่ถูกตรัสว่า ‘บรรดาประตูชั้นฟ้าจะไม่ถูกเปิดให้แก่พวกเขา และพวกเขาจะไม่ได้เข้าสวรรค์ จนกว่าอูฐจะลอดเข้าไปในรูเข็ม(เสียก่อน)”{อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัลอะอฺรอฟ อายะฮฺ 40} และพระองค์อัลลอฮฺทรงตรัสแก่มะลาอิกะฮฺว่า พวกเจ้าจงบันทึกบัญชีของเขาในสิญญีน (บัญชีต่ำสุด)..แล้ววิญญาณของเขาถูกโยนลงมา...หลังจากนั้นวิญญาณของเขาจะถูกนำกลับไปยังร่างของเขา” (บันทึกหะดิษโดยอิมามอะหฺมัด เลขที่ 19038 เป็นหะดิษเศาะเฮียะฮฺ)


จากหลักฐานหะดิษข้างต้น จะเห็นได้ว่า ภายหลังที่วิญญาณออกจากร่างกายของผู้ตายแล้ว มะลาอิกะฮฺจะนำวิญญาณของเขาขึ้นไปยังฟากฟ้า หากเขาเป็นวิญญาณผู้ศรัทธามั่น บรรดามะลาอิกะฮฺก็จะต้อนรับเขา บรรดามะลาอิกะฮฺก็จะตอนรับเขา พระองค์อัลลอฮฺทรงตรัสว่า : พวกเจ้า(มะลาอิกะฮฺ) จงบันทึกบัญชีบ่าวของฉันในบัญชีสูงสุด
แต่ถ้าเป็นวิญญาณของผู้ฝ่าฝืน หรือผู้ปฏิเสธ วิญญาณของเขาจะถูกรังเกียจ พระองค์อัลลอฮฺทรงตรัสแก่มะลาอิกะฮฺว่า พวกเจ้าจงบันทึกบัญชีของเขาในบัญชีต่ำสุด

หลังจากนั้นวิญญาณนั้นจะกลับลงสู่พื้นดิน ยังร่างกายของเขา เพื่อรับการสอบสวนของมะลาอิกะฮฺมุนกัรฺ และนะกีรฺในกุบูรฺ

จึงแตกต่างกับหลักความเชื่อของมุสลิมบางคน บางกลุ่ม หรือบางพื้นที่ ที่เชื่อว่าวิญญาณของผู้ตายอยู่กับผู้ตายตลอดเวลาหลังจากออกจากร่างกาย และหลังจากทำการฝังมัยยิต(ศพ) แล้ว วิญญาณของผู้ตายจะอยู่กับร่างของเขาในกุบูรฺขณะนั้นทันที และจะถูกสอบสวนจากมะลาอิกะฮฺแห่งการสอบสวนในกุบูรฺ(มุนกัรฺ และนะกีรฺ) ไม่ใช่อยู่บริเวณบ้านของผู้ตายจนถึง 40 วัน หลังจากผู้ตายได้เสียชีวิตลงแล้ว และมีการนำส่งวิญญาณไปยังกุบูรฺหลังครบ 40 วันแต่อย่างใด


ดังหลักฐานที่ว่า หลังจากฝังมัยยิตแล้ว ท่านรสูลได้บอกล่าวกล่าวแก่ผู้ที่ไปส่งมัยยิต และฝังมัยยิตว่า ให้ต่างขอดุอาอ์อภัยโทษให้แก่ผู้ที่ตายนั้น เพราะขณะนั้นมัยยิตกำลังถูกสอบสวนอยู่นั้นเอง

ท่านอุษมาน บุตรอัฟฟาน (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ) เล่าว่า
“เมื่อท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เสร็จสิ้นจากการฝังมัยยิต ท่านรสูลจะยืนปากหลุ่มศพ พลางกล่าวว่า:พวกท่านจงขออภัยโทษให้แก่พี่น้องของพวกท่าน และจงขอดุอาอ์ตัสบีตให้แก่เขาเถิด (เพราะ)ขณะนี้เขา (มัยยิต) กำลังถูกสอบสวนอยู่” (บันทึกหะดิษโดยอิมามอบูดาวูด เลขที่ 3223 เป็นหะดิษที่เศาะเฮียะฮฺ)



والله أعلم بالصواب



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น