อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

หากสิ่งที่พวกอะชาอิเราะฮฺพูดกันคือความจริง ท่านนบีก็คงจะต้องถ่ายทอดและบอกต่อสิ่งนี้เอาไว้แล้ว



บทความนี้กล่าวขึ้นโดย อับดุ้ลมุ้ฮฺซิน อิบนุ ฮั้มดฺ อั้ลอั้บบ้าด อั้ลบั้ดรฺ 21/8/1427 (ฮ.ศ.)

อาบีดีณ โยธาสมุทร แปลและเรียบเรียง 23/2/1437 – มะดีนะฮฺ ร่อซูลิ้ลลาฮฺ –


*หมายเหตุ ข้อมูลนี้ ได้รับการอนุญาตอย่างถูกต้องแล้ว จากเจ้าของบทความให้ทำการแปลและเผยแพร่ได้ เมื่อวันที่ 28/4/1437 ตรงกับ 7/2/2016. -อาบีดีณ โยธาสมุทร ผู้แปลและเรียบเรียง-

بسماللهالرحمنالرحيم

الحمد لله رب العالمين، وصلى الله وبارك على رسوله وعلى آله وصحبه.وبعد،

เพื่อเป็นการให้คำตอบสำหรับคำถามที่เกี่ยวข้องกับพวกอะชาอิเราะฮฺที่ว่า: พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของอะฮฺลุ้ซซุนนะฮฺวั้ลญะมาอะฮฺหรือไม่? นั้น

ผมขอเรียนว่า: ชาวอะฮฺลุ้ซซุนนะฮฺวั้ลญะมาอะฮฺคือ บรรดาศ่อฮาบะฮฺผู้ทรงเกียรติ ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุม ตลอดจนบุคคลที่ดำเนินตนอยู่บนแนวทางของพวกท่านเหล่านั้น ดังที่ท่าน (นบี) ﷺ ได้บอกเอาไว้ในการชี้แจงถึงกลุ่มชนที่รอดพ้นและปลอดภัย (จากฟิตนะฮฺและการหลงทาง) ( الفرقة الناجية ) ที่ว่า : (( هم من كان على ما أنا عليه وأصحابي ))

((พวกเขาคือ บุคคลที่ตั่งมั่นอยู่บนสิ่งที่ข้าฯและเหล่าสหายของข้าฯตั่งมั่นอยู่บนนั้น))

ซึ่งหลักความเชื่อของพวกท่านเหล่านี้ในเรื่องบรรดาพระนามของอัลลอฮฺ อั้ซซะวะญั้ล และบรรดาพระลักษณะต่างๆของพระองค์นั้น ก็คือ การให้การยืนยันว่าอัลลอฮฺ อั้ซซะวะญั้ล ทรงเป็นไปตามข้อมูลที่อั้ลกิตาบและอั้ซซุนนะฮฺได้ให้การยืนยันเอาไว้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบรรดาพระนามและพระลักษณะของพระองค์ ซึ่ง(เป็นการให้การยืนยันที่)วางอยู่บนรูปแบบที่มีความเหมาะสมและคู่ควรกับอัลลอฮฺ ซุบอานะฮูวะตะอาลา โดยจะไม่เข้าไปลงรายละเอียดเสาะหาว่าเป็นอย่างไร หรือเข้าไปทำการเปรียบเทียบว่าพระองค์ทรงคล้ายหรือเหมือนกับอะไร และไม่เข้าไปทำการบิดเบือน, เปลี่ยนความหมาย,หรือปฏิเสธความหมาย(ของข้อมูลดังกล่าว)แต่อย่างใดทั้งสิ้น ดังที่อัลลอฮฺ อั้ซซะวะญั้ล ได้ตรัสไว้ว่า

لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ ۖ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ

((ไม่มีอะไรทั้งสิ้นเหมือนกับพระองค์ และพระองค์คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงมองเห็น))

ในอายะฮฺนี้ได้ระบุข้อมูลที่ให้การยืนยันเอาไว้ว่าอัลลอฮฺ พระผู้ทรงสูงส่ง ทรงมีพระลักษณะสองพระลักษณะ ซึ่งได้แก่ การได้ยินและการเห็น โดยอยู่ในพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า

وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ

(( และพระองค์คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงมองเห็น))

อีกทั้ง ยังได้มีการกำจัดความคล้ายคลึงกันให้หมดไประหว่างสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระองค์(อัลลอฮฺ)กับพระองค์(อัลลอฮฺ)เอง เอาไว้อีกด้วย โดยอยู่ในพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า

لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ ۖ

((ไม่มีอะไรทั้งสิ้นเหมือนกับพระองค์))

ส่วนพวกอะชาอิเราะฮฺนั้น พวกเขาคือ พวกที่สังกัดเข้าร่วมกับแนวคิดของ อบีฮะซัน อั้ลอั้ชอะรี่ยฺ ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ ซึ่งเกิดปีที่ – ฮ.ศ.270 – และเสียชีวิตปีที่ – ฮ.ศ.330 – แนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่มีขึ้นก่อนหน้าที่ท่าน(อบีฮะซัน)จะหวนกลับสู่แนวทางของชาวอะฮฺลุ้ซซุนนะฮฺวั้ลญะมาอะฮฺ

ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ ก็ได้แก่ การทำการเปลี่ยนแปลงความหมาย(ตีความ) ( تأويل ) พระลักษณะส่วนใหญ่จากบรรดาพระลักษณะของอัลลอฮฺนั่นเอง ซึ่งแนวคิดๆนี้เป็นแนวคิดที่ค้านกันกับแนวทางของชาวอะฮฺลุ้ซซุนนะฮฺวั้ลญะมาอะฮฺ

และจากข้อมูลข้างต้นนี้นี่เอง จึงถือได้ว่า พวกอะชาอิเราะฮฺคือ ส่วนหนึ่งจากบรรดากลุ่มอิสลามที่เพี้ยนไปจากสิ่งที่ชาวอะฮฺลุ้ซซุนนะฮฺวั้ลญะมาอะฮฺได้ตั่งมั่นกันอยู่บนนั้น

มันไม่กินกับปัญญาเลยครับ กับการที่ความจริงและความถูกต้องได้ถูกปิดเอาไว้ไม่ให้คนที่เป็นศ่อฮาบะฮฺ ไม่ให้คนที่เป็นตาบิอีนหรือคนที่เป็นอั้ตบ๊าอิ้ตตาบิอีน (ยุคที่อยู่ถัดจากยุคตาบิอีน) ได้รับทราบกัน แต่แล้วความจริงและความถูกต้องนี้ กลับมาปรากฏตัวขึ้นในภายหลัง ท่ามกลางหมู่ชนที่เป็นผู้ที่ดำเนินตนตามหลักความเชื่ออะไรซักอย่างหนึ่ง ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาหลังจากยุคของพวกท่านเหล่านั้น

ท่านอั้ลฮาฟิ้ซ อิบนุฮะญั้รได้ถ่ายทอดข้อความจำนวนมากจากบรรดาสลัฟเอาไว้ใน ฟัตฮุ้ลบารียฺ ซึ่งพูดถึงหลักความเชื่อที่ถูกต้องที่วางอยู่บนอั้ลกิตาบและอั้ซซุนนะฮฺ และความเข้าใจของบรรพชนของอุมมะฮฺนี้ ( سلف الأمة )เอาไว้ โดยท่านได้ทำการปิดท้ายการถ่ายทอดบรรดาข้อความดังกล่าวด้วยคำพูดของท่านที่ว่า

” وقد تقدم النقل عن أهل العصر الثالث وهم فقهاء الأمصار، كالثوري والأوزاعي ومالك والليث ومن عاصرهم وكذا من أخذ عنهم من الأئمة ، فكيف لا يوثق بما اتفق عليه أهل القرون الثلاثة وهم خير القرون بشهادة صاحب الشريعة؟” ا.هـ (13/407)

“และที่ผ่านมานี้ ก็ได้มีการหยิบยกข้อมูลจากกลุ่มชนแห่งยุคที่สามมาถ่ายทอดเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งพวกท่านเหล่านี้ต่างเป็น นักวิชาการคนสำคัญของแต่ละมุมเมือง ( فقهاء الأمصار ) เช่นท่านอั้ซเซารียฺ ,ท่านอั้ลเอาซาอียฺ ,ท่านมาลิก , ท่านไล้ซฺและท่านอื่นๆที่อยู่ร่วมยุคสมัยเดียวกันกับพวกท่าน ตลอดจน(ข้อมูลจาก)บรรดาบุคคลชั้นนำทั้งหลายทั้งปวงที่เข้ามารับสืบถอดวิชาการไปจากพวกท่านเหล่านี้ก็ด้วยเช่นกัน ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะให้ไม่ยอมเชื่อถือและไม่ยอมวางใจต่อข้อมูลที่บรรดาบุคคลแห่งยุคสมัยทั้งสามได้เห็นพ้องเป็นมติที่ตรงกันไว้แล้วได้อย่างไรกัน ทั้งๆที่พวกท่านเหล่านี้คือ ยุคที่เยี่ยมที่สุดแห่งบรรดายุคสมัยทั้งปวง โดยการรับรองและการยืนยันจากผู้เป็นเจ้าของบทบัญญัติ?.”

ท่าน (อั้ลฮาฟิ้ซ อิบนุฮะญั้ร)ยังได้เล่าถึงข้อมูลจากท่านอั้ลฮะซัน อั้ลบั้ศรี่ยฺไว้อีกด้วยว่า ท่านได้กล่าวไว้ว่า:

” لو كان ما يقول الجعد حقاً لبلّغه النبي صلى الله عليه وسلم ” اهـ (13/504)

“ถ้าหากสิ่งที่อั้ลญ้ะอดฺพูดเอาไว้ คือความจริง ท่านนบี ﷺ ก็คงจะต้องถ่ายทอดและบอกต่อสิ่งนี้เอาไว้แล้วเป็นแน่”

อั้ลญ้ะอดฺคนนี้ หมายถึง ลูกชายของดิ้รฮัม ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งแนวคิดอั้ลญะฮฺมียะฮฺขึ้นมานั่นเอง

และผมเอง ก็ขอพูดเหมือนที่ท่านอั้ลฮะซัน ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ ได้พูดเอาไว้. ว่า:

” لو كان ما يقوله الأشاعرة وغيرهم من المتكلمين حقاً لبلغه الرسول صلى الله عليه وسلم “.

“ถ้าหากสิ่งที่พวกอะชาอิเราะฮฺและพวกอื่นๆที่มาจากพวกที่นิยมการใช้ตรรกะ ( المتكلمين ) ได้พูดกันไว้ คือความจริง ท่านร่อซู้ล ﷺ ก็คงจะต้องถ่ายทอดและบอกต่อสิ่งนี้เอาไว้แล้วเป็นแน่”



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น